วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ราชินีชาวอินเดียที่เป็นคาทอลิก

;
รูปภาพอยู่ที่พิพิทธภัณท์ Victoria and Albert Museum, London 2017

พระราชินี เบกัม ซัมรู Begum Samru ทรงปกครองจังหวัดทางตอนเหนือของอินเดีย เป็นจังหวัดที่กว้างใหญ่และร่ำรวยซึ่งทำให้บริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษยังต้องรู้สึกขยาดกลัว
 
สำหรับคาทอลิกทั่วไปอาจประหลาดใจเมื่อรู้ว่า ครั้งหนึ่งเคยมีพระราชินีชาวอินเดียที่เป็นคาทอลิกซึ่งทรงปกครองแผ่นดินกว้างใหญ่และร่ำรวยในทางตอนเหนือของอินเดีย.
 
สิ่งที่ทำให้พระนางแตกต่างจากบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายของอินเดียก็คือการที่พระนางทรงนับถือคริสตศาสนาคาทอลิก เป็นผู้ปกครองเพียงพระองค์เดียวของอินเดียเท่านั้นที่เป็นคาทอลิก นอกจากนั้น ก็มีแต่ผู้ปกครองที่นับถือพราห์ม-ฮินดู , พุทธศาสนา . ซิกส์
 
พระนางทรงปกครองแคว้นซาร์ทานา Sardhana อยู่ใกล้กับเมืองมีรุตแห่งอุตรประเทศ Uttar Pradesh’s Meerut ในระหว่างศตวรรษที่ 18 - 19.
 
พระราชินี เบกัม ซัมรู ฟาร์ซานา เซ็บ อุน-นิสสา Begum Samru Farzana Zeb un-Nissa (1753) เป็นธิดาของข่านลาทิฟ อาลี Latif Ali Khan ซึ่งมาจากอาราเบียและเข้ามาจัดตั้งเมืองโกทานาขึ้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของมีรุต เมื่อพระนางทรงมีพระชนมายุ 6 พรรษา ก็ทรงสูญเสียพระราชบิดา และได้รับการเลี้ยงดูจากพี่ชายต่างมารดาของพระราชบิดา พระมารดาพร้อมด้วยพระนางได้ทรงย้ายไปอยู่ที่เมืองเดลลี เมื่อทรงเจริญวัยได้เรียนด้านการเต้นรำและมีพระโฉมงดงาม เป็นที่ต้องใจของ Walter Reinhardt Sombre ผู้เป็นทหารรับจ้างชาวยุโรป ทั้งสองได้แต่งงานกันในวันที่ 7 พ.ค. 1781 เมื่อพระชนมายุ 40 พรรษา ทรงได้รับศีลล้างบาปในพระนามว่า Joanna Nobilis Sombre แต่นิยมเรียกพระนามว่า Begum Samru
 
ในฐานะที่เป็นทหารรับจ้าง วอล์เตอร์ได้ย้ายจาก Lucknow ไปยัง Rohilkhand (ใกล้กับ Bareilly) และย้ายไปยังอีกหลายแห่ง สุดท้ายกลับมาอยู่ที่ Doab วอล์เตอร์ได้กลายเป็นผู้ปกครองของ Agra เขาได้สร้างกองทัพทหารรับจ้างที่เข้มแข็ง ต่อมาจักรพรรดิของอินเดีย Shah Alam ทรงอนุญาติให้เขาปกครองแผ่นดินส่วนใหญ่ของ Sardhana แต่วอล์เตอร์มีชีวิตไม่ยืนยาวนัก เขาเสียชีวิตวันที่ 4 พ.ค. 1778
 
พระนาง เบกัม ซัมรูทรงฝังศพสามีที่เมือง Agra. พระนางได้รับกองทัพทหารรับจ้างเป็นมรดกและได้เป็นผู้ปกครอง Sardhana. Samru ซึ่งถึงแม้จะเป็นเมืองไม่ใหญ่นัก แต่กองทัพทหารนั้นเข้มแข็ง พระนางทรงนำกองทัพในสงครามด้วย และดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานกำลังทหารนี้ได้ พระนางจึงทรงครอบครองฝั่งซ้ายของ Mahratta line ในสงคราม battle of Assaye กองทหารของพระนางเป็นกองทหารเดียวที่ไม่เคยถอยในสมรภูมิ กองทหารได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนั้น
 
หลังจากการล่มสลายของ Aligarh ในเดือนกันยายน 1803 พระนางได้รับการชักนำให้ยอมจำนนต่อนายพลลอร์ดเลกของอังกฤษ หลังจากนั้นก็เกิดความสงบสุขขึ้น พระนางทรงต้อนรับอาคันตุกะหลายท่าน เช่น พระสังฆราชแห่งกัลกัตตา , Reginald Heber , และผู้บัญชาการกองทัพอินเดีย ลอร์ด คอมเบอร์มีร์ ฯลฯ พระนางเป็นผู้ปกครองที่ทรงอำนาจในแผ่นดินกว้างใหญ่ของ Sardhana
 
พระนางทรงมีบทบาทสำคัญทางการเมืองและการทหาร แม้แต่นายพลลอร์ดเลคแห่งกองทัพอังกฤษยังรู้สึกเคารพยำเกรงพระนาง เมื่อนายพลพบกับพระนางในปี 1802 ท่านจุมพิตที่พระหัตถ์ของพระนาง แต่พระนางทรงถ่อมพระองค์ตรัสว่า “นี่เป็นการจุมพิตของบิดาต่อบุตรที่สำนึกผิด”
 
พระนางทรงสร้างพระราชวังที่ Sardhana เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทั้งหลายในระหว่างการครองราชย์ของจักรพรรดิ Mughal Emperor พระองค์ถือว่าพระนางเบกัม ซัมรู เป็นเหมือนบุตรสาวของพระองค์ เพราะพระนางเบกัม ซัมรู ได้ปกป้องเมืองเดลีจากการรุกรานของทหารซิกส์ 30,000 นายในปี 1783
 
พระนางเบกัม ซัมรู ยังได้สร้างอาสนวิหารแม่พระแห่งพระหรรษทาน Basilica of Our Lady of Graces ด้วย ภายในอาสนวิหารได้เก็บรักษาจดหมายของพระสันตะปาปาเกรโกรี่ที่ 16 ทรงเขียนว่า “เราภูมิใจที่จะกล่าวว่า อาสนวิหารมีความสวยงามมากที่สุดในอินเดีย สรรสร้างด้วยหินที่มีค่ามีชีวิตชีวาราวกับเสาหินวีรันดา 18 ต้นของกรีก พระแท่นที่ยกขึ้นภายในโดมเสตนกลาส สามโดมทรงโรมันและยอดแหลมสองยอด ทั้งหมดดูอลังการ” สถาปนิกชาวอิตาลีนาย Anthony Reghelini เป็นผู้ออกแบบ และใช้เวลา 11 ปีจึงเสร็จสิ้น 
 
ต่อมาพระราชวังได้เปลี่ยนไปเป็นโรงเรียน มหาวิทยาลัยและโรงแรม
 
พระนางเบกัม ซัมรู สิ้นพระชนม์เมื่อ 27 มกราคม 1836 ทรงมีพระชนมายุ 90 พรรษาและพระศพถูกฝังไว้ใต้อาสนวิหารแม่พระแห่งพระหรรษทาน
 
*******************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น