วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ความชั่วมีอยู่จริงหรือ ?


             ความชั่วมีอยู่จริงหรือ ?
ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้ถามนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์.
"พระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ?" ศาสตราจารย์ถาม
"จริง", นักศึกษาตอบ.
ศาสตราจารย์พูดต่อว่า , "ถ้าหากพระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจริง ดังนั้นพระเป็นเจ้าก็สร้างความชั่วร้ายขึ้นมาด้วย และเนื่องจากความชั่วร้ายมีอยู่จริง ตามหลักตรรกะที่เราเรียนมา พระเป็นเจ้าก็คือความชั่วร้ายนั่นเอง นักศึกษาพากันเงียบกริบ ศาสตราจารย์ดูมีท่าทีพึงพอใจและคุยโวว่า เขาได้พิสูจน์อีกครั้งว่าความเชื่อทางคริสตศาสนานั้นเป็นแต่เพียงเรื่องงมงายเท่านั้น
 
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นและขอพูด "ผมจะขอถามคำถามท่านเรื่องหนึ่งได้ไหมครับศาสตราจารย์?"
"ได้ซิ แน่นอน", ศาสตราจารย์ตอบ .
นักศึกษาคนนั้นยืนขึ้น, "ศาสตราจารย์ครับ, ความเย็นมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"
"เธอถามคำถามอะไรของเธอนี่ ? แน่นอนมันย่อมมีอยู่จริงนะซิ. เธอไม่เคยรู้สึกหนาวเย็นบ้างเลยหรือไง?" นักศึกษาคนอื่นๆต่างงุนงงในคำถามของหนุ่มคนนั้น
 
นักศึกษาหนุ่มพูดต่อ , "ความจริงนะครับ , ความเย็นไม่มีอยู่จริง. ตามกฎทางฟิสิกส์, สิ่งที่เราเรียกว่าความเย็นนั้นแท้ที่จริงคือการขาดความร้อน สสารสามารถส่งผ่านและถ่ายเทความร้อนกันได้ และความร้อนก็ถ่ายเทจากสสารหนึ่งไปสู่สสารหนึ่ง ศูนย์องศาสมบูรณ์ (Absolute zero = -460 degrees F) ก็คือการขาดความร้อนโดยสิ้นเชิง ในสภาวะเช่นนั้นสสารจะเฉื่อยและไม่มีปฏิกิริยาต่ออุณหภูมิ-- ความเย็นไม่มีอยู่จริง เรานิยามคำนี้ขึ้นเพื่ออธิบายถึงความรู้สึกเมื่อเราขาดความร้อนเท่านั้นครับ."
 
และนักศึกษาหนุ่มก็พูดต่ออีก , "ศาสตราจารย์ครับ แล้วความมืดมีอยู่จริงหรือไม่ครับ? "
ศาสตราจารย์ตอบ "ใช่......มันมีอยู่จริง."
นักศึกษาจึงพูดขึ้น , "ท่านตอบผิดอีกครั้งแล้วครับ , ความมืดไม่มีอยู่จริงหรอก . แท้จริงความมืดก็คือการขาดแสงสว่าง เราสามารถศึกษาเรื่องของแสงได้ แต่เราไม่สามารถศึกษาเรื่องความมืดได้เลย เราใช้แก้วปริซึมในการแยกแสงออกเป็นหลายสีและศึกษาช่วงความถี่ของแสงแต่ละสีได้ แต่คุณไม่สามารถวัดค่าของความมืด รังสีของแสงสามารถเข้าไปในโลกของความมืดและทำให้มันสว่างไสว ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอวกาศมืดมากน้อยแค่ไหน? ก็โดยการวัดปริมาณของแสงสว่างที่มีอยู่ใช่ไหม? ความมืดเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายถึงสิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่มีแสงสว่างนั่นเอง ."
 
นักศึกษาหนุ่มคนนี้ก็ถามคำถามอีก, "ท่านครับ แล้วความชั่วมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"

คราวนี้ศาสตราจารย์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ "แน่นอน ตามที่ฉันบอกเอาไว้แล้ว เราก็เห็นอยู่ทุกๆวันนี่นา ในชีวิตประจำวันของเรา มีอาชญากรรมและความรุนแรงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกซึ่งก็คือความชั่วร้ายนั่นแหละ."
นักศึกษาตอบอีก , "ความชั่วไม่มีอยู่จริงหรอกครับท่าน, หรือมิฉะนั้นมันก็ไม่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง. ความชั่วก็คือการขาดพระเป็นเจ้า มันก็เหมือนกับความมืดและความเย็นนั้นแหละครับ มันเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้อธิบายถึงการขาดพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา ความชั่วร้ายแตกต่างจากความเชื่อหรือความรักซึ่งมีอยู่จริง เช่นเดียวกับแสงสว่างและความร้อน ความชั่วร้ายเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ไม่มีความรักของพระเจ้าในหัวใจของเขา เช่นเดียวกับความเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความร้อน หรือความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความสว่างนั้นแหละครับ ."
ศาสตราจารย์หย่อนตัวลงนั่ง นิ่งอึ้งไป.
**************************

ความเป็นมา : สำหรับผู้มีความเชื่อ คำถามที่ใหญ่และยากที่จะหาคำตอบประการหนึ่งก็คือ เป็นไปได้อย่างไรที่ความชั่วร้ายและความทุกข์เกิดขึ้นและเป็นอยู่อันเนื่องมาจากพระผู้สร้างทรงความรัก? คำตอบอันเป็นตรรกะต่อคำถามที่ศึกษากันนี้เราเรียกว่า เทววิทยา, เป็นคำตอบที่ได้จากการแสวงหาความจริงของผู้ใฝ่รู้ในความเชื่อต่างๆ เป็นความท้าทายที่จะหาคำตอบตามหลักตรรกะว่า พระผู้ทรงความดีสูงสุดและเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งจะอยู่ร่วมกับความชั่วร้ายได้อย่างไร คำตอบมีหลากหลายอาทิ:

  • จิตอิสระ (Free Will) – พระเจ้าทรงประทานจิตอิสระให้แก่บุตรทั้งหลายของพระองค์ที่จะตัดสินใจเลือกว่าจะเป็นอะไร แต่ก็มีความรับผิดชอบในการเลือกของเขาด้วยเช่นกัน และก็มีบางคนที่เลือกในทางที่เสื่อมทราม.
  • ความดีสมบูรณ์ของพระผู้สูงสุด - พระเป็นเจ้าทรงสรรสร้างให้มีสิ่งต่างๆและเหตุการณ์ต่างๆในจักรวาลที่มีความหลากหลายมากมาย  แต่เนื่องด้วยพระองค์ทรงฤทธานุภาพ พระองค์ทรงยินยอมให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น  และพระองค์สามารถจัดการกับสิ่งที่ไม่ดีนั้นได้
  • ปีศาจ - ความชั่วร้ายแฝงเข้าไปในจิตที่อ่อนแอ และเอาชนะจิตใจของคนที่มีมลทินทำให้เขากลายเป็นพวกของมันซึ่งจะทำการล่อลวงคนอื่นต่อไป ส่วนพระเป็นเจ้าจะทรงมีชัยชนะในสงครามกับความชั่วร้ายและบรรดาปรปักษ์ของพระองค์ในครั้งสุดท้าย อันจะเป็นเวลาที่ความชั่วร้ายถูกทำลายไปตลอดกาล.
  • " ความดี" มีอยู่ในตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด  หลักศีลธรรมและความยุติธรรมมีอยู่ในมโนสำนึกและเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้กระจ่างแจ้ง เพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจในพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าได้อย่างครบถ้วน มนุษย์จึงควรที่จะยึดมั่นในมโนธรรมซึ่งจะช่วยให้ตัดสินว่าสิ่งใดถูกต้องหรือไม่ถูกต้องได้.
ในอินเตอร์เนตมีการเสนอหัวข้อกระทู้ในลักษณะแบบเดียวกับเรื่องดังกล่าวมานี้หลายเรื่องด้วยกัน เรื่องข้างบนนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ศาสตราจารย์ที่ไม่เชื่อในพระเป็นเจ้าถามคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบและคำอธิบายได้ เช่น ความชั่วร้ายมีอยู่จริงหรือไม่ ? และก็มีนักศึกษาหนุ่มได้ตอบโต้ -- อัลเบริต ไอน์สไตน์ถูกสมมุติให้เป็นนักศึกษาคนนั้น ไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงผู้นี้ที่ให้คำอธิบายเรื่องดังกล่าว แต่อย่างน้อยคำอธิบายนี้ก็ให้ข้อคิดอะไรได้บ้าง
ศาสตราจารย์คนนั้นเป็นตัวแทนของผู้ทีไม่เชื่อในพระเป็นเจ้าจำนวนมากมายในโลกซึ่งพยายามหาคำถามต่างๆนาๆซึ่งไม่สามารถหาคำตอบมาอธิบายในเรื่องของพระเป็นเจ้าตามประสพการณ์ของพวกเขา โดยที่เขาลืมคิดไปว่า พระเป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะสามารถเข้าใจได้ และไม่มีใครที่จะรู้จักพระเป็นเจ้าได้โดยครบถ้วน มนุษย์ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะศึกษาเรียนรู้ถึงเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมหัศจรรย์ของร่างกาย พืช สัตว์ แร่ธาตุ ฯลฯ ความรู้ของมนุษย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยของสรรพความรู้ทั้งหลายมากมายที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลเท่านั้น
"ศาสตราจารย์ที่ไม่มีความเชื่อในพระเป็นเจ้า" หวังจะพิสูจน์ให้ผู้ที่อยู่ที่นั่นเห็นว่าพระเป็นเจ้าไม่มีจริง ด้วยการตั้งคำถามหลายแบบ อาทิเช่น "คุณเคยเห็นพระเจ้าหรือ?" "คุณเคยรู้สึกสัมผัสถึงพระเจ้าหรือ?" "คุณเคยได้ยินพระเจ้าตรัสกับคุณหรือ?" เมื่อไม่มีใครตอบได้ เขาก็จะพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นพระเจ้าก็น่าจะไม่มีอยู่จริง"
 
********************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น