วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

ดร.กลอเรีย โปโล (ตอนที่ 8)

จงรักเพื่อนบ้าน
ไม่เคย, ไม่เคยเลย  ที่ฉันจะรักหรือสงสาร เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนพี่น้องของฉัน  ฉันไม่เคยคิดพิจารณาเกี่ยวกับคนเจ็บป่วยและความโดดเดี่ยวของเขา  ฉันไม่เคยคิดถึงบรรดาเด็กๆที่ขาดแม่  บรรดาเด็กกำพร้า....เด็กทารกจำนวนมากที่กำลังทนทุกข์  ฉันควรจะพูดว่า  ข้าแต่พระเป็นเจ้า  โปรดให้ลูกมีส่วนร่วมในความเจ็บปวดของพวกเขาด้วยเถิด...แต่เปล่า  ไม่มีเลย  หัวใจของฉันแข็งกระด้าง  ไม่เคยคิดถึงความทุกข์ของผู้อื่น  ร้ายยิ่งกว่านั้น ฉันไม่ได้ทำสิ่งใดที่แสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์...ตัวอย่างเช่น  ฉันใช้จ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อสิ่งของในห้างสรรพสินค้าเพื่อมอบให้คนยากจนและคนที่ต้องการ  แต่ฉันไม่ได้ทำเพราะความรัก   ฉันมีเงินมากมายและนี่ไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนอะไร  ฉันทำเพราะคนอื่นจะได้มองเห็น  และพวกเขาจะพูดว่าฉันเป็นคนดี  ฉันเป็นนักบุญ  และฉันยังหาประโยชน์จากคนยากจนเหล่านั้น  ฉันไม่ได้ให้สิ่งใดโดยไม่รับผลตอบแทน  ในความจริงฉันบอกพวกเขาว่า “ฉันทำสิ่งนี้ให้คุณ  แต่คุณต้องตอบแทนฉัน จงไปที่นั่น  ที่โรงเรียนของฉัน  ไปหาลูกของฉัน  ไปห้องประชุม  เพราะฉันไม่มีเวลา...เอาจดหมายหรือใบเสร็จรถยนต์ไปด้วย...ทำสิ่งนี้ให้ฉันนะ...”  ฉันทำเช่นนี้กับทุกคน  ฉันทำเป็นคนมีเมตตาเพื่อที่จะได้รับประโยชน์ตอบแทน   ไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้นยากจนน่าสงสาร  ยิ่งไปกว่านั้น  มันทำให้หลายคนพูดยกย่องชมเชยว่า  ฉันเป็นคนดี  และบางคนถึงกับบอกว่า ฉันเป็นนักบุญ  คนที่พูดเช่นนี้เป็นคนที่รู้จักฉันเป็นอย่างดีด้วย  พระเยซูเจ้าทรงตรวจสอบฉันด้วยพระบัญญัติสิบประการ  ฉันได้เห็นว่าความชั่วทั้งหมดของฉันมีสาหตุมาจากความโลภ  ฉันตาบอดด้วยความปรารถนาในเงินทอง  ฉันอยากได้เงินมากๆ  เพราะคิดว่าจะมีความสุขมากถ้ามีเงินมาก  แต่ความเลวร้ายก็คือ  ในช่วงเวลาที่ฉันมีเงินมาก  จิตวิญญาณของฉันก็ตกต่ำลง  จนถึงขั้นที่คิดจะฆ่าตัวตาย  ทั้งๆที่ฉันร่ำรวย  แต่ฉันกลับรู้สึกโดดเดี่ยว  ว่างเปล่า  ขมขื่น  ว้าวุ่น  ละโมบโลภมาก  ความปรารถนาในเงินทองนำทางชีวิตของฉันด้วยมือของปีศาจตนหนึ่ง  ทำให้ฉันอยู่ห่างไกลและถอนมือของฉันออกจากพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า  พระองค์ตรัสกับฉันว่า “เจ้ามีพระเจ้าของเจ้า  พระเจ้าของเจ้าคือเงินตรา  และเพราะมัน เจ้าจึงได้สาปแช่งตัวจ้าเอง  เพราะมัน เจ้าจึงจมดิ่งลงสู่ห้วงอเวจี  และอยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้าแท้จริงของเจ้า”
เมื่อพระองค์ตรัสกับฉันว่า “พระเจ้าเงินตรา”...ใช่แล้ว,  เรามีเงินมากมาย  แต่ยิ่งไปกว่านั้น  เรามีใบเรียกเก็บเงินมากด้วย  เรามีหนี้สิน  แล้วฉันก็ไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่แดงเดียว  แล้วฉันก็ร้องออกมาว่า “เงินอะไรกัน?  สิ่งที่ฉันเหลือทิ้งไว้บนโลก  ก็มีแต่เพียงหนี้สินเท่านั้น!....”
ในการตรวจสอบด้วยพระบัญญัติสิบประการนี้  ฉันสอบไม่ผ่านเลยแม้แต่ข้อเดียว  ช่างน่ากลัว  น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก  ฉันอยู่ในสถานการณ์ของความจริงที่สับสนวุ่นวาย!....อย่างไรเล่า?....ตัวฉันหรือ?  ฉันไม่เคยฆ่าใครหรือ?  ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนหรือ?  นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดเอาเอง...แต่แท้ที่จริง  ฉันได้ฆ่าคนไปมากมาย!

หนังสือแห่งชีวิต
หลังจากการตรวจสอบด้วยพระบัญญัติสิบประการแล้ว  พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็น “หนังสือแห่งชีวิต”  ฉันอยากจะหาคำพูดมาอธิบายให้เห็นชัดเจนได้จริงๆ  มันช่างน่ามหัศจรรย์  เราได้เห็นชีวิตทั้งหมดของเราเอง  การกระทำทุกอย่างทั้งที่ดีและไม่ดี  ต่อตัวเองและต่อผู้อื่น  อารมณ์และความคิดของเราและของผู้อื่นด้วย  เหตุการณ์ทั้งหมดผ่านเข้ามาเหมือนดูภาพยนตร์ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การปฏิสนธิ  เราได้เห็นชีวิตของเราตั้งแต่ตอนนั้น  ในเวลาปฏิสนธิเราถูกมอบถวายไว้ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า  ในเวลาที่เราปฏิสนธินั้นเอง  มีแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ที่สวยงามระเบิดขึ้น  และวิญญาณก็ก่อกำเนิด  ขาวบริสุทธิ์....แต่ไม่ใช่ความขาวเหมือนที่เรารู้จัก  ฉันบอกว่าเป็นสีขาวเพราะมันดูคล้ายมากที่สุด  แต่แสงนั้นเจิดจ้าจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้  ช่างสวยงามและเจิดจรัส....วิญญาณสวยงามมาก  เต็มไปด้วยแสง  น่าหลงใหล  รัศมีแผ่ไปและเต็มไปด้วยความรักของพระเป็นเจ้า.....ฉันเพ่งพินิจด้วยความพิศวงในความรักของพระเป็นเจ้า  พวกคุณเคยสังเกตไหมว่าเด็กทารกแรกเกิดเป็นอย่างไร  เมื่อพวกเขายิ้มและส่งเสียงเล็กๆออกมา  คุณรู้ไหม?  พวกเขากำลังคุยกับพระเป็นเจ้านะ  ถูกต้อง  เพราะพวกเขาอยู่ในพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม   พวกเราก็อยู่ในพระจิตเจ้าด้วยเช่นกันแต่คนละแบบ  ในความบริสุทธิ์ไร้เดียง สาของเด็กทารก  พวกเขารู้ด้วยจิตวิญญาณถึงการปรากฏของพระเป็นเจ้า
พวกคุณไม่อาจจินตนาการได้หรอก  ถึงความมหัศจรรย์ในการที่ได้เห็นช่วงเวลาที่พระเป็นเจ้าทรงเนรมิตสร้างฉัน  ในครรภ์ของคุณแม่  วิญญาณของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้าพระบิดา  ฉันได้รู้ว่าพระบิดาช่างทรงสวยงามเหลือเกิน  น่ามหัศจรรย์และทรงอ่อนโยนยิ่งนัก  ทรงเอาใจใส่และน่ารัก  ทรงดูแลฉันตลอด 24 ชั่วโมง  ทรงรักและปกป้องฉัน  และทรงมาหาฉันเสมอเมื่อฉันตีตัวออกห่างจากพระองค์  ด้วยความอดทนไม่มีสิ้นสุด  ส่วนฉันมองเห็นแต่เพียงการลงโทษ  ในขณะที่พระองค์มีแต่เพียงรักเท่านั้น  พระองค์ทรงมองดูที่วิญญาณไม่ใช่เนื้อหนัง  และพระองค์ทรงเห็นว่าฉันออกนอกทางแห่งความรอดมากสักเพียงไร
แม่ของฉันแต่งงานนาน 7 ปี แต่ก็ยังไม่มีลูก  ในตอนนั้นท่านลำบากมาก  เนื่องมาจากความไม่ซื่อสัตย์ของคุณพ่อ  ท่านวิตกกังวลและเครียดในเวลาที่ท่านรู้ว่าท่านตั้งครรภ์  ท่านร้องไห้เป็นทุกข์ส่งผลถึงฉันที่อยู่ในครรภ์  ฉันไม่เคยรู้สึกถึงความรักของแม่มากเท่านี้มาก่อนเลย  และท่านยังคงรักและทำดีต่อฉันเสมอ  แต่ฉันกลับพูดว่าท่านไม่ได้รักฉันเลย  ฉันอยู่ในความสับสนนี้  มีเพียงพระหรรษทานจากศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้เท่านั้นที่ช่วยพวกเราได้  เมื่อฉันได้รับการล้างบาป  มีงานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่ในสวรรค์  ทารกได้รับตราประทับบนศีรษะ  คือตราประทับการเป็นลูกของพระเป็นเจ้า  มันเป็นไฟ  ไฟแห่งการเป็นของพระเยซูคริสตเจ้า
แต่ฉันก็ยังได้เห็นในหนังสือแห่งชีวิต  ในเวลาที่ยังเป็นเด็ก  ฉันรู้สึกถึงบาปของคุณพ่อที่ทำผิดต่อศีลแต่งงาน  นั่นเป็นบาปที่ฉันเริ่มรู้จัก  อาทิเช่น  ท่านพูดโกหก  ดื่มสุรา ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา  และทำให้คุณแม่เป็นทุกข์  ทั้งหมดนี้ฉันรับรู้และทำให้ฉันมีอารมณ์และพฤติกรรมที่ไม่ดี

เงินตาแลนท์ (ความสามารถ)
พระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า “เจ้าได้ทำอะไรกับเงินตาแลนท์ที่เราให้กับเจ้าบ้าง?....นี่ไม่ใช่เงินของโลกหรอก  เงินตาแลนท์นี้มีกลิ่นหอมอบอวลน่ามหัศจรรย์ด้วยเครื่องหอมราคาแพงที่ไม่เคยใช้ประพรมผ้าใดมาก่อน....เงินตาแลนท์ น่ะหรือ?  ฉันมาสู่โลกด้วยภารกิจอย่างหนึ่ง  นั่นคือ เพื่อปกป้องอาณาจักรแห่งความรัก  แต่ฉันลืมไปว่าฉันมีวิญญาณ  ฉันได้รับไม่แต่เพียงเงินตาแลนท์เท่านั้น  ฉันยังอยู่ในพระหัตถ์อันเมตตาของพระเป็นเจ้าด้วย  ฉันไม่เคยรู้เลยว่าความดีทั้งหลายที่ฉันละเลยไม่กระทำนั้น  เป็นสาเหตุแห่งความเศร้าพระทัยของพระเยซูเจ้า  ฉันได้เห็นว่าเงินตาแลนท์นั้นเป็นอัศจรรย์ที่พระเป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในตัวของฉัน  และพวกเราทุกๆคนด้วย  มันเป็นสิ่งมีค่าเป็นอย่างมากต่อพระเป็นเจ้า  พระองค์ทรงรักพวกเราทุกคน  และแต่ละคนเป็นพิเศษ  พวกเราทุกคนมีภารกิจในโลกนี้  ฉันเห็นปีศาจมันวิตกกังวลมาก  เพราะเงินตาแลนท์นี้ที่พระเป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในพวกเราเพื่อนำมารับใช้พระเยซูเจ้า
  คุณทราบไหมว่าพระเยซูเจ้าทรงขอให้ฉันยอมรับและมีความรับผิดชอบต่อเรื่องใดมากที่สุด?  ก็คือเรื่องการที่ฉันขาดความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์  พระองค์ตรัสกับฉันว่า “การตายฝ่ายจิตของเจ้าเริ่มต้นเมื่อเจ้าไม่รู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์  เจ้าเช่นกันจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้  เจ้าจะมีชีวิตแต่ตายไปแล้ว”  ถ้าคุณได้รู้ว่าการตายฝ่ายจิตเป็นอย่างไรละก็....วิญญาณที่มีแต่ความเกลียดชังนั้น  น่าเกลียดน่ากลัว น่าสะอิดสะเอียน  มันรบกวนและทำร้ายทุกคน  เป็นความเจ็บปวดยิ่งนักเมื่อได้เห็นวิญญาณของเราเองที่เต็มไปด้วยบาป....ฉันได้เห็นวิญญาณของตัวเอง:(สะอื้น)...ภายในมีเหล็กไนอันใหญ่มหึมาและจมดิ่งลงไปสู่ห้วงมหาสมุทรแห่งนรก  นี่เป็นสาเหตุของความขมขื่นและความทรมานเป็นอย่างมาก  พระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า “การตายฝ่ายจิตของเจ้าเริ่มต้นเมื่อเจ้าไม่เห็นอกเห็นใจพี่น้องของเจ้า  ซึ่งสามารถรับรู้ได้เมื่อเจ้าเห็นเหตุร้ายเกิดแก่พี่น้องของเจ้าไม่ว่าในที่ใด  หรือเมื่อเจ้าได้ยินข่าวจากสื่อมวลชนเกี่ยวกับการฆาตกรรม  การทำทารุณกรรม..แต่เจ้ากลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน  เจ้าพูดแต่เพียงว่า  โอ  คนที่น่าสงสาร  แต่หัวใจของเจ้าไม่รู้สึกเศร้าเสียใจ  ไม่รู้สึกอะไรเลย  หัวใจของเจ้าเป็นหิน  และนั่นเป็นบาปของความใจแข็ง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น