คริสตชนคนหนึ่งได้เขียนจดหมายไปถึงบรรณาธิการนิตยสารคาทอลิกฉบับหนึ่ง
และได้ตีพิมพ์จดหมายฉบับนี้ในคอลัมน์ “จดหมายจากผู้อ่าน”
เนื้อความในจดหมายพรรณนาถึงความรู้สึกผิดหวังจากการไปวัดวันอาทิตย์
เขาเขียนว่า “ผมไปวัดเป็นประจำทุกอาทิตย์เป็นเวลา
30 ปี ตลอดเวลาผมได้ฟังบทเทศน์มากกว่า 3,000
ครั้ง แต่ผมจำไม่ได้สักบทเดียว ดังนั้น
ผมคิดว่าผมกำลังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
และพระสงฆ์กำลังเสียเวลาในการเทศน์สอนเช่นกัน”
จาก prayer for beginner โดย ปีเตอร์ ครีฟท์ เขียนไว้ว่า
“ถ้าเราพึ่งพิงสิ่งอื่นนอกจากความเชื่อเพื่อปฏิบัติกิจศรัทธาต่อพระเป็นเจ้า เราจะไม่ประสพผลสำเร็จ ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เช่น
ความรู้สึกของเรา
ประสบการณ์ของเรา ความจริงใจ ความตั้งใจดี
หรือเหตุผล เหตุที่สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้เราประสพผลสำเร็จ
ในขณะที่ความเชื่อทำให้เราประสพผลสำเร็จได้ ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นหลัก แต่ความเชื่อขึ้นอยู่กับพระเป็นเจ้า
เป็นพระพรของพระเป็นเจ้า...ไม่ใช่สิ่งที่เราสร้างขึ้นมา”
และน. ฟรังซิส เดอ ซาลส์ เขียนว่า
“สิ่งที่ทำให้การเจริญเติบโตฝ่ายจิตของเรามีความยากลำบากก็คือ การรักตัวเอง
และ การเชื่อถือตัวเองมากเกินไป เพราะมันทำให้หัวใจของเราไม่โอนอ่อนลงในเวลาที่เราสวดภาวนาและในการพิจารณาไตร่ตรองตามที่เราปรารถนา เรารู้สึกเศร้าใจ
เราพบว่าแม้แต่ในการทำความดีก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเรา เหมือนมีบางสิ่งคอยกีดขวางเจตจำนงของเรา เราต้องบังคับตัวเองมากขึ้นเพื่อเอาชนะมัน ทำให้เราวิตกกังวล ทำไมจึงเป็นเช่นนี้เล่า? ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นเพราะเรารักและปรารถนาการปลอบประโลมใจ, ต้องการอะไรที่ง่ายๆ
และสะดวกสบาย เราต้องการให้การสวดภาวนา เป็นเหมือนกับเรากำลังอาบน้ำ และต้องการให้การทำความดีเหมือนกับเรากำลังกินอาหาร เหตุนี้เราจึงไม่สามารถเพ่งพินิจถึงพระเยซูเจ้าได้ พระองค์ผู้ทรงถ่อมองค์นอนบนกางเขน
พระโลหิตและน้ำไหลออกมาจากพระวรกายอันประเสริฐซึ่งเจ็บปวดแสนสาหัส(มก. 14:35; ลก. 22:44).”
เมื่อจิตใจของเราอยากได้อะไรที่รวดเร็วทันใจ เราก็เผชิญกับสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ เพราะมันเป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่าเหตุผล ผู้เป็นคาทอลิกแต่เพียงผิวเผิน
มักใช้ความรู้สึกนำทางในการปฏิบัติกิจทางศาสนา ไม่เพียงแต่ในเรื่องการสวดภาวนาเท่านั้น แต่ในเรื่องความเชื่อทั่วๆไปด้วย เช่น
การมีส่วนร่วมในพิธีกรรม
ความตระหนักเรื่องคำสอนทางสังคม
และการรับรู้ในเรื่องบาป
ดังนั้น
เมื่อความเชื่อของเราขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกแต่เพียงอย่างเดียว
ความสัมพันธ์ของเรากับพระเป็นเจ้าก็ไม่มั่นคง
เรือที่ผู้ขับไม่ยึดพวงมาลัยไว้ให้มั่นก็จะถูกลมพัดใบเรือให้แล่นไปตามกระแสลมและคลื่น ถ้าความยินดียังคงอยู่ในจิตใจเรา ทุกสิ่งก็ดูจะไปด้วยดี แต่เมื่อความขมขื่นหรือความแห้งแล้งเข้ามาแทนที่
เราก็ดิ้นรนด้วยความทุกข์ อันเนื่องมาจากสภาวะที่เกิดขึ้นภายในและภายนอกตัวเรา
และอาจทำให้เราไปแสวงหาความยินดีอันอนิจจังจากที่อื่น แต่นี่หมายความว่าเราไม่ควรมีความยินดีในความเชื่อของเราหรือในขณะที่จิตใจของเราลอยขึ้นสู่เบื้องสูง? ไม่ใช่แน่นอน
เราเป็นประชากรแห่งอิสเตอร์และเพลงอัลเลลูยาเป็นบทเพลงของเรา น.ฟรังซิส เดอ
ซาลส์แนะนำว่า
เราต้องมีความยินดีในสันติสุขและต้องไม่ยอมให้ใครมาขโมยสันติสุขในพระคริสต์ไปจากเรา มันไม่ใช่สันติสุขของโลก จงยอมรับไว้เป็นดังพระพรเถิด
เมื่อชิวิตฝ่ายจิตของบุคคลนั้นดำเนินต่อไป โดยที่เขาปรารถนาให้ชีวิตจิตของเขามีแต่การปลอบประโลมใจปราศจากความแห้งแล้ง ยิ่งไปกว่านั้น
การให้อารมณ์ความรู้สึกเป็นศูนย์กลางแทนความเชื่อ จะสร้างอุปสรรคใหญ่ต่อการเจริญเติบโตฝ่ายจิต บางคนอาจคิดว่าเขาได้สูญเสียพระเป็นเจ้า เพราะเขาไม่รู้สึกถึง “การปรากฏ”ของพระองค์ (เพราะไม่มีความยินดีในจิตใจ)
น.ฟรังซิส เดอ
ซาลส์ จึงกล่าวว่า
“ในชีวิตนี้ของเรา
เราต้องกินสมุนไพรที่ขมมากกว่ากินน้ำผึ้งที่หวาน แต่เราทำดังนี้เพราะเห็นแก่พระเป็นเจ้า เราทำด้วยความเพียรทนอันศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างคอยขัดขวางเรา
พระจิตเจ้าจะทรงปลอบประโลมใจเราในระยะเวลานี้....ความมั่นใจนี้จะช่วยเสริมพละกำลังของเราทำให้เราสามารถยืนหยัดและรับทนความทุกข์ด้วยความกล้าหาญในยุทธนาการที่เผชิญอยู่ ไม่ว่ามันจะสาหัสสักเพียงไร”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น