วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การรักษาโรคมะเร็ง


การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันทำโดย การฉายรังสี และ เคมีบำบัด  ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยทรมาน  แต่ยังมีวิธีการรักษาอีกวิธีหนึ่ง  ซึ่งง่ายและไม่มีผลข้างเคียงหรือมีเพียงเล็กน้อย  วิธีนี้เรียกว่า pH บำบัด  มีการทดลองรักษาด้วยวิธีนี้ในหนูและมนุษย์ และมีกรณีตัวอย่างซึ่งมีผลเป็นที่น่าพอใจมาก
(หมายเหตุ : pH เป็นค่าที่ใช้วัดความเป็นกรด/อัลคาไลน์ ของสารละลาย  มีค่าตั้งแต่ 1 – 14  น้ำมีค่า pH เป็นกลางเท่ากับ 7  สารละลายใดที่มีค่า pH ต่ำกว่า 7 มีสภาวะเป็นกรด  ส่วนสารละลายใดที่มีค่า pH สูงกว่า 7 มีสภาวะเป็นอัลคาไลน์)

บทความนี้นำมาจาก http://www.mwt.net/~drbrewer/highpH.htm
จากหนังสือ Pharmacology Biochemistry & Behavior, v. 21, Suppl., 1, โดย A. Keith Brewer, Ph.D.,เรื่อง " The High pH Therapy for Cancer, Tests on Mice and Humans," หน้าที่ 1-5, Copyright 1984,
การบำบัดโรคมะเร็งด้วย pH สูง
การทดลองในหนูและมนุษย์
The High pH Therapy for Cancer
Tests on Mice and Humans
A. KEITH BREWER, Ph.D.
A. Keith Brewer Science Library,
325 N. Central Ave., Richland Center, WI 53581

การศึกษาด้วย สเปกโตรกราฟฟิกและไอโซโทป แสดงว่า สาร โปแตสเซียม และ รูบิเดียม  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีเซียมมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเซลมะเร็ง  โดยมีวิตามิน C และ A รวมทั้ง เกลือของสังกะสีและซีลีเนียม เป็นตัวช่วย  ซีเซียมในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้ระดับ pH ของเซลมะเร็งสูงขึ้นเป็น 8   ซึ่งทำให้กระบวนการแบ่งตัวของเซล (mitosis )หยุดลงและชีวิตของเซลสั้นลง  การทดสอบในหนูด้วยการให้ซีเซียมและรูบิเดียมทำให้ก้อนเนื้อร้ายสลายไปภายใน 2 สัปดาห์  และหนูไม่แสดงว่ามีอาการข้างเคียงของการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีนี้
ได้มีการทดสอบในมนุษย์มากกว่า 30 คน (หมายเหตุ  การทดสอบนี้ไม่ได้กระทำโดย Dr. Brewer)  ในผู้ป่วยแต่ละคน  ก้อนเนื้อร้ายได้หายไปภายใน 12 – 36 ชั่วโมง  แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการบำบัดทางเคมี (chemotherapy) และให้มอร์ฟีนมาก่อน   จะใช้เวลานานขึ้นกว่าที่ก้อนเนื้อร้ายจะหมดไป การศึกษาเกี่ยวกับการรับประทานอาหารของผู้คนในบริเวณที่อัตราการเป็นโรคมะเร็งต่ำ  แสดงให้เห็นว่าควรใช้การรักษาด้วยการบำบัดด้วย pH สูง

กลไกการทำงานของสารก่อมะเร็ง

ข้อมูลจากการทดลองแสดงอยู่ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว  ซึ่งบอกถึงผลของไอโซโทป  การวิเคราะห์ด้วยแมสสเปกโตรกราฟฟิก , การให้ฟลูออเรสเซนต์และฟอสโฟเรสเซนต์  ประกอบกับข้อมูล pH ที่ได้มาจาก Von Ardenne [23-25]  ทำให้สามารถทราบกลไกการทำงานของสารก่อมะเร็ง  กลไกนี้แตกต่างเป็นอย่างมากจากความคิดเดิมที่ยอมรับกันว่ามีบางสิ่งที่เข้าไปในเซลและไปทำงานที่ DNA  กลไกนี้จะไม่อธิบายลึกในรายละเอียดของข้อมูลที่ได้จากการทดลอง

กลไกที่นำเสนอมีอยู่ 4 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1
โมเลกุลของสารก่อมะเร็งไปสัมผัสกับผิวของเยื่อเมมเบรนของเซล  โดยมีปัจจัยสองอย่างคือ  1.โมเลกุลหลักของสารก่อมะเร็งที่เป็นชนิดโพลีไซคลิก  และ 2. เมมเบรนอยู่ในสถานะตื่นตัว (energized state) ซึ่งอาจมีผลมาจากการถูกระคายเคืองเป็นเวลานาน  เมื่อโมเลกุลนั้นสัมผัสกับเมมเบรน  กลูโคส สามารถเข้าไปในเซลได้  แต่ออกซิเจนเข้าไม่ได้  เซลจึงอยู่ในอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน

ขั้นตอนที่ 2
เมื่อขาดออกซิเจน  กลูโคสก็หมักกับกรดแลคติก  ค่า pH ของเซลลดลงเป็น 7 และต่ำลงจนถึง 6.5

ขั้นตอนที่ 3
ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด  DNA สูญเสียประจุบวกและประจุลบของมันอย่างต่อเนื่อง  กรดอะมิโนที่เข้าไปในเซลเปลี่ยนสภาพ  และทำให้ RNA เปลี่ยนแปลงไปด้วย  ทำให้เซลสูญเสียการควบคุมกลไกอย่างสมบูรณ์  โครโมโซมเกิดความผิดปกติ

ขั้นตอนที่ 4
ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด  เอ็นไซม์ของเซลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์  Von Ardenne ได้แสดงให้เห็นว่า เอ็นไซม์โลโซโซมได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นสารประกอบที่เป็นพิษ  สารพิษนี้ฆ่าเซลในก้อนเนื้อร้าย  เนื้อร้ายจึงประกอบด้วยชั้นบางๆของเซลที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วล้อมรอบเนื้อที่ตายแล้ว    สารพิษที่เป็นกรดรั่วไหลออกจากก้อนเนื้อร้ายและเป็นพิษต่อเจ้าบ้าน(ผู้ป่วย)  มันทำเกิดการบาดเจ็บมากขึ้น และทำตัวเป็นสารก่อมะเร็ง

การบำบัดด้วย pH สูง และ ต่ำ

ทั้งสองวิธีการนี้มีประสิทธิภาพทั้งคู่  Von Ardenne ได้เสนอวิธีการ บำบัดด้วย pH ต่ำ et al. [23-25]  และ pH สูง  ซี่ง writer  เป็นผู้พัฒนาขึ้นมา

การบำบัดด้วย pH ต่ำ
กลูโคสถูกฉีดเข้าไปในกระแสเลือด  ค่า pH ของเซลมะเร็งค่อยๆต่ำลงเป็น 5.5  ผู้ป่วยถูกนำไปไว้ใกล้เตาไฟเพื่ออบด้วยความร้อนที่อุณหภูมิ 104 องศาฟาเรนไฮต์ เป็นเวลา 23-25 ชั่วโมง  ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่าจะใช้เวลาในการอบน้อยกว่า  ผู้ป่วยได้รับอนุญาตให้หายใจด้วยอากาศเย็น   ทำการให้ความร้อน (Diathermy) บริเวณก้อนเนื้อร้ายซึ่งไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยง  ทำให้อุณหภูมิของก้อนเนื้อสูงขึ้น 106 องศาฟาเรนไฮต์  ด้วยการอบที่อุณหภูมิสูงและเซลอยู่ในตัวกลางที่เป็นกรด  ทำให้ชีวิตของเซลมะเร็งสั้นลงมาก  ข้อเสียเปรียบของการบำบัดนี้ก็คือไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ในกรณีที่มีการเป็นพิษอย่างรุนแรงซึ่งอาจสืบเนื่องมาจากการรั่วไหลของสารพิษที่เป็นกรดภายในก้อนเนื้อร้าย (23-25)

การบำบัดด้วย pH สูง
Writer ใช้ ซีเซียมและรูบิเดียม กับ เซลมะเร็งเพื่อบำบัดด้วย pH สูง  วิธีการคือให้ผู้ป่วยทาน CsCl (ซีเซียมคลอไรด์)หรือ RbCl (รูบิเดียมคลอไรด์) วันละ 6 กรัม  ควบคู่กับทานวิตามินซี และ เอ  ซึ่งเป็นกรดอ่อน  เมื่อก้อนเนื้อร้ายดูดซึมสารเหล่านี้จะก่อให้เกิดศักยภาพทางลบไปทั่วเยื่อเมมเบรน  ในขณะเดียวกัน  เกลือของสังกะสีและซีลีเนียม ที่ถูกดูดซึมจะเคลื่อนที่ไปอยู่บนผิวของเมมเบรน  และทำหน้าที่เป็นผู้ให้ประจุลบที่มีความแรง  สารประกอบทั้งสองชนิด (วิตามินซีและเอ) แสดงผลลัพท์ให้เห็นในหนูอย่างน่าประทับใจ  มันช่วยกระจายประจุอิออนของซีเซียมและรูบิเดียม
ปริมาณที่เป็นอันตรายของ CsCl คือ 135 กรัม  ดังนั้นการให้ CsCl ในปริมาณเพียง  6 กรัมจึงไม่เป็นอันตราย  มันมีประสิทธิภาพในการทำให้ค่า pH สูงขึ้นในเซลมะเร็ง  ทำให้อายุของเซลมะเร็งสั้นลง  อาจเป็น 8 วันหรือมากกว่านั้น  นอกจากนั้นการใช้ เกลือของซีเซียมและรูบิเดียมฉีดเข้าไปในของเหลวในร่างกายจะช่วยลดการรั่วไหลของสารพิษที่เป็นกรดออกจากก้อนเนื้อร้ายและทำให้มันเป็นกลาง  กลายเป็นสารไม่มีพิษ

การทดสอบการบำบัดด้วย pH สูงในหนูและมนุษย์.

การทดสอบในหนู
การทดสอบในหนูกระทำเป็นครั้งแรกโดย American University in Washington, DC   โดยการฝังเนื้อร้ายมะเร็ง ปริมาณ 2 ลบ.มม. ซึ่งนำมาจากสัตว์เลือดอุ่นลงในช่องท้องของหนูและปล่อยให้มันเติบโตเป็นเวลา 8 วัน
แบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม  ให้อาหารแก่หนูทั้งสองกลุ่มแบบเดียวกัน  ให้สารละลายรูบิเดียมคาร์บอเนต 1.11 กรัมต่อวันทางปากของหนู  หลังจาก 13 วันกว่าๆ  หนูทุกตัวตาย  ทำการผ่าเอาก้อนเนื้อร้ายออกจากหนูทุกตัวและนำไปชั่งน้ำหนัก  ผลที่ได้คือน้ำหนักของก้อนเนื้อร้ายจากหนูเหลือเพียง  1 ใน 11 ของน้ำหนักเริ่มต้น  การทดสอบไม่พบว่ามีอาการข้างเคียงใดๆปรากฏในหนู

การทดสอบในมนุษย์
มีการทดสอบหลายครั้งในมนุษย์โดย H. Nieper จาก Hannover, Germany และโดย H. Sartori จาก Washington, DC  และแพทย์อื่นๆอีกหลายคนด้วย  ผลที่ได้รับเป็นที่น่าพอใจมาก  เป็นที่น่าสังเกตว่าความเจ็บปวดเนื่องจากมะเร็งได้หายไปภายใน 12 – 24 ชั่วโมง  มียกเว้นเพียงไม่กี่รายที่ได้รับการฉีดมอร์ฟีนซึ่งทำให้ต้องใช้เวลานานกว่า  ในการทดสอบเหล่านี้  2 กรัมของ CsCl  ถูกนำไปให้ผู้ป่วยรับประทาน วันละสามครั้ง  ให้วิตามินซี 5 – 10 กรัม  ให้วิตามินเอ 100,000 ยูนิต  ให้สังกะสี 100 มิลลิกรัม  Nieper และ Sartori  ได้ให้ nitrilosides ในรูปของ laetrile (วิตามิน B 17) แก่ผู้ป่วยด้วย  มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่า วิตามิน B17 มีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินอื่นๆในการจับกับซีเซียมและกระจายในเซล
อาการเจ็บปวดของผู้ป่วยหายไป  ผลลัพท์ด้านร่างกาย  ก้อนเนื้อร้ายสลายไป  สารที่อยู่ในก้อนเนื้อร้ายถูกขับถ่ายออกเป็นกรดยูริดในปัสสาวะ  ปริมาณกรดยูริคในปัสสาวะเพิ่มขึ้นมาก  ก่อนหน้าการบำบัด  ผู้ป่วยประมาณ 50 % ถูกระบุว่าไม่สามารถทำงานได้  หลังการบำบัด  ส่วนมากสามารถกลับไปทำงานได้
สังเกตเห็นอาการข้างเคียงเพียงสองอย่างในผู้ป่วยบางคน  คือ  อาการคลื่นไส้  และอาการท้องร่วง  ทั้งสองอาการขึ้นอยู่กับสภาวะการย่อยอาหาร  Nieper รู้สึกว่าอาการคลื่นไส้สามารถป้องกันได้โดยการให้ซีเซียมในสารละลายซอร์บิทอล  ส่วนอาการท้องร่วงน่าจะมีผลมาจากวิตามินซี

กรณีตัวอย่าง ที่นำเสนอในที่นี้คือ  สตรีผู้หนึ่งมีก้อนเนื้อร้ายสองชิ้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 - 10 ซม.  ชิ้นหนึ่งอยู่ที่ต่อมไทรอยด์ และอีกชิ้นหนึ่งอยู่ในบริเวณทรวงอก  เธอถูกระบุว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 – 6 เดือน  เธอได้รับการบำบัดด้วยเคมีบำบัด ( คีโม chemotherapy )  แต่ทำไม่ต่อเนื่องเพราะการบำบัดทำให้เธออ่อนแอลง  เธอได้รับประทาน laetrile (วิตามิน B17) ด้วยตัวเธอเอง  หมอได้ให้ ขวดบรรจุ CsCl ปริมาณ 50 กรัมและบอกให้เธอทานวันละ 4 กรัม  เธอได้ส่งรายงานในปีถัดมา  ซึ่งน่าตกใจ คือเธอทานทั้ง 50 กรัมหมดภายในหนึ่งสัปดาห์  และในวันสุดท้ายของการทานยา  ก้อนเนื้อร้ายอ่อนนุ่มลงมาก  ดังนั้นเธอจึงได้รับขวดบรรจุ CsCl 50 กรัมอีกหนึ่งขวด  และเธอได้ทานหมดในหนี่งสัปดาห์ต่อมา  หลังจากนั้นไม่พบก้อนเนื้อร้ายอีกเลย  และสองปีต่อมาก็ไม่มีสัญญาณว่ามันกลับมาอีก
บริเวณที่ประชากรมีอัตราการเป็นมะเร็งต่ำ

มีบางแห่งที่พบว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งมีจำนวนน้อยมาก  อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการวิจัยเกี่ยวกับอาหารของผู้คนในบริเวณเหล้านั้น  ในปี 1978 ในการประชุมที่กรุงสต๊อกโฮมเกี่ยวกับอาหารกับโรคมะเร็ง  ได้สรุปว่ามีประเด็นที่เกี่ยวข้องกันระหว่างทั้งสองอย่างนั้น  แต่ความสัมพันธ์ของมันยังไม่เป็นที่เข้าใจ  จึงไม่สามารถสรุปได้  ผู้เขียนเองได้ทำการศึกษาลักษณะอาหารที่ให้ pH สูงในสถานที่ต่างๆ   ผลลัทท์ที่พบเกี่ยวกับบริเวณที่ประชากรมีอัตราการเป็นมะเร็งต่ำเป็นดังนี้

อินเดียนแดงเผ่า Hopi  ในอริโซนา
ผู้ป่วยมะเร็งมีเพียง 1 ใน 1000 คน ซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐทั้งหมดที่เป็น 1 ใน 4 คน พบว่าอาหารของพวกเขามีสารอาหารแร่ธาตุที่จำเป็นมากกว่าอาหารสำเร็จรูป  มีโปแตสเซียมสูงและสารรูบิเดียมสูง  เนี่องจากดินแถวนั้นเป็นดินภูเขาไฟซึ่งอุดมด้วยซีเซียม  ชนเผ่านี้ปลูกข้าวโพด calico  พวกเขาไม่ใช้ เบกกิ้งโซดา baking soda  แต่ใช้ขึ้เถ้าของใบ chamisa แทน  ในการวิเคราะห์ขี้เถ้านี้พบว่ามีสารรูบิเดียมจำนวนมาก  ชนเผ่านี้กินผลไม้มากด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะกิน แอปริคอท  ทุกวัน   ผลลัทพ์จากการสังเกตพบว่าอาหารที่พวกเขาทานเป็นอาหารประเภท pH สูง

ชาวอินเดียนแดงเผ่า Pueblo ในอริโซนา  
เมื่อ 20 ปีก่อน  ชนเผ่านี้มีอัตราผู้ป่วนเป็นมะเร็งเหมือนชาวอินเดียนเผ่า Hopi  เพราะอาหารของพวกเขาเหมือนกัน  แต่ต่อมาเผ่า Pueblo ได้รับอารยธรรมจากภายนอก เช่นมี ห้างสรรพสินค้า  ทุกวันนี้ อัตราการเกิดมะเร็งในเผ่านี้จึงสูงขึ้นเป็น 1 ใน 4 คน เท่ากับอัตราของสหรัฐ  อาหารซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้านั้นมีแร่ธาตุ ซีเซียมและรูบิเดียม และโปแตสเซียมต่ำมาก

เผ่า  Hunza ในปากิสถานเหนือ
ชนเผ่านี้ไม่รู้จักโรคมะเร็งเลย  เมื่อพูดคุยกับบางคนของเผ่านี้และศาตราจารย์ชาวฮินดูซึ่งอยู่ที่นั่นนานพอสมควร  สรุปได้ว่าอาหารของที่นั่นมี pH สูง  พวกเขาเป็นมังสวิรัติ  และกินผลไม้มาก  พวกเขากินผล แอปริคอท 40 ผลต่อวัน  พวกเขากินเมล็ดพืชมีเปลือก  ดื่มน้ำแร่อย่างน้อย 4 ลิตร  และเมื่อวิเคราะห์น้ำแร่พบว่ามีซีเซียมมาก

อเมริกากลางและอเมริกาใต้
ชาวอินเดียนที่อาศัยในเปรูและเอกวาดอร์ มีผู้ป่วยมะเร็งน้อยมาก  ดินที่นั่นเป็นดินภูเขาไฟ  ผลไม้ได้รับการวิเคราะห์พบว่ามีรูบิเดียมและซีเซียมมาก  มีรายงานว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมะเร็งที่ไปอาศัยอยู่กับชาวอินเดียนพวกนี้  ก้อนเนื้อร้ายของผู้ป่วยได้หายไปภายในไม่กี่เดือน  อาหารของพวกเขามี pH สูง
โดยสรุป   การบำบัดด้วย pH สูง  ดังกล่าวได้มาจากการทดลองต่อเซลมะเร็งและเซลปกติ  การทดสอบพบว่าการบำบัดด้วยวิธีนี้มีประสิทธิภาพในการกำจัดเซลมะเร็งทั้งในหนูและมนุษย์  ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า เกลือของ   Cs และ Rb  เมื่ออยู่ในของเหลว จะทำให้ pH ของเซลมะเร็งสูงขึ้นจนทำให้ชีวิตของเซลสั้นลง  และยังทำให้สารพิษที่เป็นกรดซึ่งอยู่ในก้อนเนื้อร้ายเป็นกลางและไม่มีพิษในที่สุด
______________________________________

ผมไม่ทราบว่าทำไมทางการแพทย์จึงไม่ใช้วิธีนี้ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง  ซึ่งง่ายและไม่มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย  คุณพ่อปีโอเคยทำนายว่า “จะมีการค้นพบวิธีรักษาโรคมะเร็งซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายมาก  จนนายแพทย์เองก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาจึงไม่คิดถึงวิธีนี้มาก่อน”  วิธีการที่กล่าวมานี้อาจเป็นวิธีที่คุณพ่อปีโอพูดถึงก็ได้  ผู้ป่วยสามารถรักษาตัวเองได้โดยการเลือกทานอาหารที่มี pH สูงเหมือนชนเผ่าต่างๆที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  การรับประทานผักใบเขียวและใบสีที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ  ผลไม้  เมล็ดพืช  ธัญพืช  งดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์  พร้อมทั้งการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ  หายใจอากาศที่บริสุทธิ์  อย่าให้เกิดความเครียด  ทำจิตใจให้แจ่มใส  ก็จะช่วยรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้  และไม่กลับมาเป็นอีก
มีตัวอย่างที่น่าสนใจของ อาจารย์ วัลลภ  ปิยมโนธรรม  นักจิตวิทยาชื่อดัง  เมื่อทราบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งระยะที่ 3 ในกระเพาะอาหารและลามไปยังส่วนอื่นๆของร่างกาย  โดยมีสาเหตุจากความเครียดในการทำงาน  นอนหลับไม่เพียงพอ  รับประทานอาหารขยะ  ท่านตัดสินใจไม่ใช้วิธีรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือ การฉายรังสี  แต่ใช้วีธีหยุดการทำงานไปพักผ่อนที่บางแสน  รับประทานผักใบเขียว และสีต่างๆ เช่น แครอท ฯลฯ  ไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลย  ภายในไม่ถึงปี  โรคมะเร็งก็หายขาด  ผู้สนใจลองดูการสัมภาษณ์ท่านจากรายการ  โฮมรูม : โรคมะเร็ง เป็นได้ ก็หายได้ (ตอน1) (18 ก.พ. 57) ของไทยพีบีเอส ทางยูทูป
ตารางอาหารกลุ่มอัลคาไลน์ที่มี pH สูง , กลาง , ต่ำ
ตารางข้างล่างนี้ได้มาจากไซต์ที่ชื่อว่า “Your Food Guide for Achieving a Healthy Acid/Alkaline Balance." อาหารที่มี pH สูงก็จะมีประสิทธิผลมากกว่า กลางและต่ำ  แต่อาหารทั้งหมดเป็นกลุ่มอัลคาไลน์ ที่มี pH มากกว่า 7  ถ้าทานพวกที่ pH สูงก็จะดีกว่า

ประเภทของอาหาร

pH สูง

pH กลาง

pH ต่ำ

ผัก , ถั่วและเมล็ดพืช
 
บร็อคเคอรี่ , แตงกวา  หัวหอม กระเทียม  สปีแนช  พาสเล่  สาหร่าย

พริกหยวก, กะหล่ำ, หัวผักกาด, รากขิง, มันเทศ, กะหล่ำปลี  ผักชีฝรั่งแครอท  หน่อไม้ฝรั่ง 

กะหล่ำปลีหัว  บีต (ส่วนหัวและราก), มะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศ, ถั่วสดผักกาดหอมสีดำ, เห็ด, มันฝรั่งที่มีผิว, ฟักทอง, สควอช, เทมเป้

ผลไม้

แคนตาลูป  แตงฮอนนี่ดิว, ลูกเกด, ราสเบอร์รี่, แตงโม, เชอร์รี่หวาน  มะกอกสีดำในน้ำมัน

แอปเปิ้ล, อะโวคาโด, ส้มโอสีชมพู, มะนาว, มะนาว, มะม่วง, ลูกแพร์, ลูกพีช

สับปะรดสด, apricot, องุ่น, บลูเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่, BlackBerry, มะละกอ

เครื่องเทศ  สมุนไพรแต่งรส

เกลือทะเล  มิโซะและนัตโตะ, ป่น, บัวบก, แปะก๊วย, เบกกิ้งโซดา

อบเชย ขิง ผักชี สะระแหน่ ขมิ้น, โหระพา, ออริกาโน, รากชะเอม, โสม

สมุนไพรบางชนิด   แกง, ผงมัสตาร์ด,  tamari

เครื่องดื่ม

น้ำแร่ที่เป็นอัลคาไลน์ 

ชาเขียว ,ขิง,  ดอกคาโมไมล์, น้ำโอโซน, น้ำแตกตัวเป็นไอออน

ดรายไวน์แดง , นมไม่ใส่น้ำตาล , อัลมอนด์, น้ำกลั่น, เบียร์สด, กาแฟดำอินทรีย์

ธัญพืช  เมล็ดพืช  อื่นๆ
 
เกสรผึ้ง, เลซิตินของถั่วเหลือง  ,เมล็ดฟักทอง, อัลมอนด์ , เนยอัลมอนด์ถั่วงอก,ข้าวสาลีไม่ขัดขาว,ข้าวบาร์เลย์

น้ำว่านหางจระเข้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์, เกาลัด,  ถั่วแมคาเดเมีย
 
ข้าวโอ๊ต , ข้าวฟ่าง ,          เฮเซลนัท, น้ำมันงาและน้ำมันเมล็ดทานตะวัน


 















 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น