พระเป็นเจ้าทรงขอให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
บทความนี้นำมาจาก
Catholic
Exchange:
พระเป็นเจ้าทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะให้มีประชากรหนึ่งซึ่งพระองค์จะทรงเรียกพวกเขาว่า
“เป็นประชากรของเรา”
หลักฐานในเรื่องนี้เราพบได้ในการที่พระองค์ทำพันธสัญญาทุกครั้งกับชาวยิว ไม่ว่าประกาศกคนใดที่เป็นคนกลางในการทำพันธสัญญา
(อับราฮัม , โมเสส ฯลฯ) จะพบพระวาจาที่ตรัสว่า “และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”
แต่พระเป็นเจ้ามิได้ทรงแตะต้องจิตใจอิสระของมนุษย์
พระองค์ได้ประทานอิสระที่จะเลือกแก่มนุษย์แล้ว และพระองค์จะไม่เอาพระพรนี้กลับคืน
ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำเพียงเชื้อเชิญและเรียก
พระองค์ไม่บังคับให้มนุษย์ต้องยอมรับพระองค์ ทุกวันนี้
การตอบสนองของมนุษย์ดูเหมือนจะมีไม่มากนัก
แต่เราย่อมทราบว่าความตั้งใจของพระเป็นเจ้าจะสำเร็จสมบูรณ์ในที่สุด ในหนังสือพระธรรมวิวรณ์ เมื่อ น.ยอห์นปิดหนังสือลง ท่านบอกให้เราทราบถึงนิมิตของท่าน “โลกใหม่และสวรรค์ใหม่” และมีเสียงแตรเป่าดังกึกก้องมาจากพระบัลลังก์ของพระเจ้า
“ดูเถิด ช่างประหลาดอัศจรรย์นัก
พระเป็นเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางมนุษย์แล้ว พระองค์ทรงดำรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา พวกเขาจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระองค์จะอาศัยอยู่ในท่ามกลางพวกเขา”
นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่เพียงแต่อธิบายประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น แต่ยังได้บอกให้รู้ว่าจะเป็นอย่างไรในปัจจุบันด้วย พระเป็นเจ้ากำลังทรงสร้าง “เยรูซาเล็มใหม่” ของพระองค์ พระองค์กำลังประดับตกแต่ง “สวรรค์ใหม่และโลกใหม่” ของพระองค์ พระองค์กำลังประดับตกแต่งประชากรใหม่ ซึ่งพระองค์จะทรงเรียกพวกเขาว่า “ประชากรของเรา” และคุณก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านี้
นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่เพียงแต่อธิบายประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น แต่ยังได้บอกให้รู้ว่าจะเป็นอย่างไรในปัจจุบันด้วย พระเป็นเจ้ากำลังทรงสร้าง “เยรูซาเล็มใหม่” ของพระองค์ พระองค์กำลังประดับตกแต่ง “สวรรค์ใหม่และโลกใหม่” ของพระองค์ พระองค์กำลังประดับตกแต่งประชากรใหม่ ซึ่งพระองค์จะทรงเรียกพวกเขาว่า “ประชากรของเรา” และคุณก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านี้
นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เฝ้ามองดูเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างไม่เข้าใจถ่องแท้นัก ถึงแม้พวกเขาจะมองเห็นเหตุการณ์อย่างแน่ชัด
แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นซึ่งซ่อนอยู่
แม้ว่าเหตุการณ์บางเหตุการณ์จะผ่านสายตาพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา แต่พวกเขาสังเกตุไม่เห็นถึงพระหัตถ์อันแข็งแกร่งของพระเป็นเจ้า
พวกเราเป็นเด็กน้อยแห่งศตวรรษอันสับสนนี้ แต่เราไม่จำเป็นต้องสับสนไปกับมันด้วย สิ่งที่เราจำเป็นต้องตระหนักก็คือ สมัยใหม่นี้มีอยู่เพียงชั่วคราว
ซึ่งจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วของเสียง เมื่อค้อนของพระเจ้าจะตกลงมา หินอ่อนจะถูกสกัดออกด้วยสิ่วของพระองค์
และรูปแกะสลักก็จะปรากฏขึ้นมาจากหินที่เยือกเย็นในความจริง นครของพระเจ้ากำลังถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วน
และประชากรมากมายของพระเจ้าก็จะอาศัยอยู่ข้างใน จึงอาจกล่าวได้ว่า
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ
ไม่เคยมีเวลาใดที่ได้รับเกียรติรุ่งโรจน์มากเท่ากับในเวลาที่พวกเราดำรงชีวิตอยู่ เพราะพระเป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้พวกเรามากกว่าที่เราคิด ถ้าโมเสสสามารถกล่าวว่า “ไม่มีชนชาติใดที่มีบุญยิ่งใหญ่เท่า
ไม่มีชนชาติใดที่พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดพวกเขาเท่ากับที่พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดพวกเรา”
ดังนี้เราจะกล่าวอย่างไรกับตัวเราเองและบรรดาเพื่อนคาทอลิกผู้ที่มีส่วนในการเป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า
ซึ่งมีองค์พระบุตรแต่พระองค์เดียวของพระเจ้าเป็นศีรษะและพระบุคคลที่สามในพระตรีเอกภาพเป็นจิตวิญญาณของพวกเรา?
พระเป็นเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้กับประชากรของพระองค์ในพันธสัญญาเดิมมากเท่าไร?
เมื่อเปรียบเทียบกับความใกล้ชิดของพระองค์ต่อประชากรในพันธสัญญาใหม่
ประชากรในพันธสัญญาเดิมได้ยินเสียงของพระองค์ในพุ่มไม้ที่ลุกไหม้เป็นไฟ
แต่เราได้เห็นองค์พระวจนาตถ์ผู้ทรงมาอยู่ในเนื้อหนังเหมือนพวกเรา และทรงเดินไปบนแผ่นดินเหมือนเรา ในพันธสัญญาเดิม
พวกเขาได้รับแผ่นหินพระบัญญัติสิบประการภายใต้ฟ้าร้องฟ้าผ่าบนภูเขาโฮเร็บแห่งซีนาย
แต่เราได้รับพระบัญญัติแห่งความรักที่มาจากมนุษย์ผู้หัวใจแตกสลายเพราะความรัก
แต่นี่เป็นดวงพระทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ผู้เป็นพระเป็นเจ้า
ในพันธสัญญาเดิม พวกเขาได้รับการปกป้องด้วย “เมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน” แต่เรามีองค์ เอ็มมานูเอล –
พระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเรา – เป็นผู้ปกป้องเรา พวกเขาได้รับมานนาและนกคุ่มเป็นอาหาร และดื่มน้ำที่ไหลออกมาจากก้อนหิน แต่พวกเขาก็ตาย
ส่วนเราได้รับประทานปังซึ่งเป็นอาหารทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ และทำให้เรามีชีวิตนิรันดร พวกเขามีหีบพันธสัญญา
ที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์เพื่อใช้บรรจุมานนา
หนังสือกฎบัญญัติ และไม้เท้าของอารอน
ส่วนเรามีองค์พระเยซูเจ้าในพระกายและพระโลหิต, พระวิญญาณ
และพระเทวภาพ
ทรงประทับอยู่บนพระแท่นในรูปของแผ่นปังเล็กๆสีขาว พวกเขาได้รับคำสัญญาของพระเจ้า ส่วนเราได้รับสิ่งที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว พวกเขาเห็นเพียงสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ สิ่งที่เป็นเพียงเงา ส่วนเราเห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม
พวกเขามีคนของพระเจ้าซึ่งเป็นเพียงผู้นำสาส์นของพระองค์ ส่วนเรามีองค์พระเจ้าเองเลยทีเดียว
และพระองค์ทรงส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์มาให้แก่เราพร้อมด้วยองค์พระจิตเจ้า
พวกเขามีพระวิหารของพระเจ้าซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ส่วนเราตัวเราเป็นพระวิหารของพระเจ้าและมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเป็นเจ้า
สิ่งสุดท้ายนี้เป็นความจริงที่พิสูจน์แล้วโดยปราศจากข้อสงสัยถึงความน่ามหัศจรรย์ใจอันปรากฏอยู่บนพื้นพิภพนี้ นั่นคือพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกอันศักดิ์สิทธิ์
– ซึ่งเป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า เป็นประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรร –
และเราก็เป็นหนึ่งในนี้ด้วย
เพราะพระศาสนจักรมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้าเอง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ “อยู่นอกเหนือโลกนี้”
พระเป็นเจ้าทรงเชื้อเชิญเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
นักบุญเบอร์นาร์ดแห่งแคลร์วอยซ์ มีความเข้าใจเรื่องนี้
ท่านอธิบายคำพูดในพระคัมภีร์ที่ว่า “ขอให้พระองค์จุมพิตข้าพเจ้าด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์” ท่านอธิบายถึงความปรารถนาในใจของมนุษย์
ท่านบอกกับเพื่อนนักพรตของท่านถึงจิตใจของมนุษย์ที่ปรารถนาการ “จุมพิตของพระเจ้า”
นี่เป็นการดลใจจากพระจิตเจ้า
เพราะมีเพียงพระจิตเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณและนำความสุขเหลือล้นเช่นนี้มาให้
ท่านนักบุญกล่าวต่อไปว่า “องค์พระบุตรทรงแสดงพระองค์เองและพระบิดาทรงโปรดปราน แต่การเผยแสดงนี้กระทำโดยการจุมพิต นั่นคือโดยองค์พระจิตเจ้า ดังที่อัครสาวกได้เป็นพยานในเรื่องนี้โดยท่านได้กล่าวว่า
‘แต่พระเป็นเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์แก่เราโดยทางพระจิตเท่านั้น...’ โดยการเผยแสดงนี้ พระจิตเจ้าไม่เพียงประทานแสงสว่างแห่งความรอบรู้เท่านั้น
แต่ยังประทานไฟแห่งความรักเผาผลาญวิญญาณด้วย ดังคำพูดของนักบุญเปาโลว่า ‘ความรักของพระเจ้าฉายเงาปกคลุมหัวใจของเราโดยอาศัยองค์พระจิตเจ้าผู้ถูกมอบให้แก่พวกเรา’ ”
ความรอบรู้และความรัก – นักบุญเบอร์นาร์ดยืนยันในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ท่านยืนยันกับบรรดาเพื่อนนักพรตของท่านให้ทราบถึงสถานภาพของวิญญาณ
ท่านบอกให้รู้ว่าทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรด้วย “การจุมพิตจากพระโอษฐ์ของพระองค์” นั่นคือจากพระจิตเจ้า “ถ้าหากท่านเป็นทาส ท่านจะรู้สึกกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านาย ถ้าท่านเป็นทายาท ท่านจะมีความหวังว่าจะได้รับมรดก ถ้าท่านเป็นศิษย์ ท่านจะตั้งใจฟังคำสอนของอาจารย์ ถ้าท่านเป็นบุตร ท่านจะซื่อสัตย์ต่อบิดา แต่ถ้าท่านเป็นคนรัก ท่านจะขอให้สุดที่รักของท่านจุมพิตท่าน”
“ในจิตวิญญาณของมนุษย์” น.เบอร์นาร์ดา
กล่าวต่อ “ความรักอยู่เหนือความพึงพอใจทุกอย่าง” แล้ว
น.เบอร์นาร์ดอธิบายต่อไปว่าความรักชนิดใดที่ท่านควรมี “เธอรักเขาด้วยความรักเร่าร้อน
ทำให้เธอเคลิบเคลิ้มจนมองไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของสุดที่รักของเธอ จนทำให้เธอกล้าที่จะขอการจุมพิตจากเขา ‘โลกต้องสั่นสะท้าน’ เธอเมาไปแล้วหรือ? เธอต้องเมาอย่างแน่นอนและเมาอย่างหนักด้วย"
---------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น