วิกกี้ อุมิเปก Vicki Umipeg อายุ 45 ปี เป็นคนตาบอด เธอเป็นหนึ่งในบรรดาคน 31 คนที่ ดร. เคนเน็ท ริง และชารอน คูเปอร์ (Dr. Kenneth Ring and Sharon Cooper)ได้สัมภาษณ์ ในงานวิจัยสองปีเกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตายของคนตาบอด ผลลัพท์ของงานวิจัยนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือนิตยสาร Journal of Near-Death Studies (Summer, 1993)
วิกกี้ ตาบอดตั้งแต่กำเนิด เส้นประสาทตาของเธอถูกทำลายสืบเนื่องมาจากการได้รับออกซิเจนมากเกินไประหว่างที่อยู่ในตู้อบทารกแรกเกิด อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าเวลาที่เธอมีประสบการณ์ใกล้ตายนั้น (NDE - Near Death Experirnce) เธอสามารถมองเห็นได้ เรื่องราวของเธอเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่า ประสบการณ์ใกล้ตายของคนตาบอดแต่กำเนิดมีความชัดเจนในการรับรู้ทางสายตาเช่นเดียวกับคนสายตาดี ประสบการณ์ของวิกกี้นั้นไม่แตกต่างไปจากประสบการณ์ใกล้ตายของคนสายตาดีเลย เพียงแต่วิกกี้ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆที่เธอเห็นได้
วิกกี้เล่าให้ ดร.เคนเน็ท ริง ฟังว่า เธอพบว่าตัวเองลอยอยู่เหนือร่างกายของเธอในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เธอเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอรับรู้ว่าเธอกำลังลอยอยู่ใกล้กับเพดาน เธอมองเห็นแพทย์ผู้ชายคนหนึ่งและนางพยาบาลอีกคนหนึ่งกำลังรักษาร่างกายของเธอ วิกกี้จดจำได้อย่างชัดเจนของการที่เธอรู้ได้ว่าร่างกายที่นอนอยู่ข้างล่างนั้นคือตัวเธอเอง เธออธิบายไว้ดังนี้
“ฉันรู้ว่านั่นคือตัวฉัน....ฉันมีรูปร่างผอมบาง ตัวสูงและผอม เมื่อถึงตอนนี้ฉันก็รู้ทันทีว่านั่นคือร่างกายของฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่านั่นเป็นฉันในตอนแรก
“แล้วฉันก็ตระหนักว่าฉันลอยอยู่ใกล้กับเพดาน ฉันคิดว่า ‘แปลกจริง ฉันมาทำอะไรข้างบนนี้?’
“ฉันคิด ‘นั่นต้องเป็นฉันแน่ ฉันตายแล้วหรือ?....’
“ฉันเห็นร่างกายนี้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ....และฉันรู้ว่านั่นเป็นฉันเพราะฉันไม่อยู่ในตัวฉัน”
วิกกี้สามารถให้รายละเอียดบางอย่างซึ่งเธอสังเกตุเห็นที่ทำให้รู้อย่างชัดเจนว่านั่นเป็นร่างกายของเธอเอง
“ฉันคิดว่าฉันสวมแหวนทองแบนเรียบธรรมดาที่นิ้วมือข้างขวา และสวมแหวนแต่งงานของพ่อของฉันอีกนิ้วหนึ่ง เป็นแหวนแต่งงานของฉันอย่างแน่นอน....นั่นเป็นสิ่งที่ฉันสังเกตเห็นเพราะมันมีสิ่งพิเศษ มันมีดอกไม้สีส้มอยู่ที่มุมหนึ่งของแหวนด้วย”
เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าประทับใจมากในภาพที่วิกกี้เห็นและเธอสามารถจดจำภาพนั้นได้
เธอบอกว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันสามารถอธิบายในสิ่งที่ฉันเห็นได้และรู้ว่าแสงคืออะไร เพราะฉันได้รับประสบการณ์โดยตรง”
ต่อจากนั้น วิกกี้เล่าถึงประสบการณ์การอยู่นอกร่างกายของเธอซึ่งมันรวดเร็วมาก เธอพบว่าตัวเองกำลังลอยขึ้นข้างบนทะลุผ่านเพดานของโรงพยาบาล ในที่สุดเธอก็มาอยู่เหนือหลังคาของตัวอาคาร เธอได้เห็นสิ่งแวดล้อมโดยรอบเป็นภาพรวมในเวลาสั้นๆ เธอรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่งในอิสระภาพของการเคลื่อนไหวในระหว่างที่กำลังลอยขึ้นสู่เบื้องบน แล้วเธอก็เริ่มได้ยินเสียงที่ไพเราะเป็นท่วงทำนองเพลงคล้ายกับเสียงลมที่พัดผ่านในปล่องไฟ
เธอแทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงกับตัวเธอเลย เธอเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกดูดเข้าไปในท่อด้วยแรงบางอย่าง ตัวท่อเป็นสีดำ วิกกี้อธิบาย อย่างไรก็ตาม วิกกี้รู้ตัวว่าเธอกำลังเคลื่อนที่ไปสู่แสงสว่าง ในขณะที่เธอมาถึงทางออกของท่อนั้น เสียงเพลงที่เธอได้ยินในตอนแรกก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นเสียงเพลงที่บรรเลงในโบสถ์ และแล้วเธอก็ถูก “หมุนตัวออกมา” เธอพบว่าตัวเองอยู่บนหญ้า
มีต้นไม้และดอกไม้อยู่แวดล้อมรอบตัวเธอและมีผู้คนจำนวนมากมายด้วย เธอมาอยู่ในสถานที่มีแสงสว่างอันเจิดจ้า และแสงสว่างนั้น วิกกี้เล่า เป็นบางสิ่งที่เธอสามารถสัมผัสได้เช่นเดียวกับที่สามารถมองเห็นได้ แม้แต่ผู้คนที่เธอเห็นก็ดูเจิดจ้าด้วยแสง
“ทุกคนที่นั่นถูกสร้างด้วยแสง และตัวฉันก็ถูกสร้างด้วยแสง สิ่งที่แสงนำมาคือความรัก มีความรักอยู่ทุกหนแห่ง เหมือนกับว่าความรักมาจากหญ้า ความรักมาจากนก ความรักมาจากต้นไม้”
แล้ววิกกี้ก็เริ่มรับรู้ถึงบุคคลบางคนที่เธอเคยรู้จักระหว่างที่มีชีวิตอยู่บนโลก พวกเขามาต้อนรับเธอสู่สถานที่แห่งนี้ พวกเขามีห้าคน ได้แก่ เด็บบี้และไดแอนซึ่งเป็นนักเรียนตาบอดร่วมชั้นเรียนกับเธอ พวกเขาตายไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ขณะที่มีอาจุ 11 ปี และ 6 ปีตามลำดับ
เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ พวกเขาทั้งสองตาบอดและปัญญาอ่อนด้วย แต่ที่นี่พวกเขาสดใสสวยงาม มีสุขภาพดีและมีชีวิตชีวา
และพวกเขาไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว แต่ ตามคำพูดของวิกกี้ “พวกเขาอยู่ในวัยจริงของพวกเขา”
วิกกี้ยังได้เห็นผู้ดูแลเธอสองคนตอนที่เธอเป็นเด็กด้วย พวกเขาคือ นายและนางซิลก์ ทั้งคู่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ในที่สุดวิกกี้ก็ได้พบกับคุณยายที่เลี้ยงเธอมา ท่านเสียชีวิตไปสองปีก่อนที่จะเกิดเหตุกับเธอ ในการพบปะกันนี้ไม่มีการพูดสนทนากัน วิกกี้เล่า แต่มีความรู้สึกที่ส่งถึงกันและกัน ความรู้สึกของความรักและการต้อนรับ
ในระยะเวลาแห่งการถูกรับขึ้นสู่สถานที่นี้ ทันใดนั้นเองวิกกี้ก็รับรู้ได้ถึงความรู้ทั้งหมดทั้งมวล
“ฉันรู้สึกได้ว่า ฉันรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง....และทุกสิ่งสามารถรู้ได้ ฉันรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน....ที่นี่คือสถานที่ซึ่งฉันจะพบคำตอบของคำถามทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับดาวเคราะห์ต่างๆ และเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับทุกสิ่ง....มันเป็นสถานที่แห่งความรอบรู้”
เมื่อสิ่งเหล่านี้เปิดเผยให้วิกกี้รู้แล้ว เธอสังเกตว่ามีภาพของบุคคลผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้กับเธอเป็นบุคคลที่ส่องแสงเจิดจรัสยิ่งกว่าใครๆที่เธอได้พบ แล้วทันใดเธอก็ตระหนักว่า บุคคลผู้นั้นคือพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงทักทายเธอย่างอ่อนโยน และเธอแสดงออกถึงความตื่นเต้นในความรู้ความเข้าใจใหม่ๆของเธอ และความปิติยินดีเหลือล้นของเธอที่ได้อยู่กับพระองค์
พระองค์สื่อสารกับเธอด้วยกระแสจิต พระองค์ตรัสว่า
“ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่ไหม? ทุกสิ่งที่นี่สวยงามและเหมาะสมเข้ากันดี แต่เธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ในเวลานี้ มันยังไม่ใช่เวลาของเธอที่จะอยู่ที่นี่ เธอจะต้องกลับไป”
วิกกี้มีปฏิกิริยา เธอยังไม่เข้าใจ เธอรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งและประท้วง
“ไม่ค่ะ ลูกต้องการอยู่กับพระองค์”
แต่เธอได้รับการยืนยันว่าจะต้องกลับไปในเวลานี้ “เธอจะต้องกลับไปและเรียนรู้และสอนผู้อื่นเกี่ยวกับความรักและการให้อภัย”
วิกกี้ยังคงยืนกราน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดวิกกี้ก็ตระหนักว่าเธอจำเป็นต้องกลับไปเพื่อมีลูกของเธอเอง วิกกี้ในเวลานั้นยังไม่มีลูก แต่เธอ”ปรารถนาเป็นอย่างมาก” ที่จะมีลูก (และต่อมาเธอมีลูกสามคน) เวลานั้นเองเธอก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับไป
แต่ก่อนที่วิกกี้จะจากไป พระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่า “ก่อนอื่น ขอให้เธอดูสิ่งนี้ก่อน”
และสิ่งที่วิกกี้เห็นนั้น ตามคำพูดของเธอ “คือเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ฉันเกิด” เธอเห็นเป็นภาพรวมของชีวิตของเธอ เวลาที่เธอมองดูอยู่นั้น พระเยซูเจ้าก็ทรงอธิบายให้คำแนะนำทำให้เธอเข้าใจถึงความสำคัญของการกระทำต่างๆของเธอรวมทั้งผลสืบเนื่องจากการกระทำนั้นๆด้วย
สิ่งสุดท้ายที่วิกกี้จำได้หลังจากที่ได้เห็นชีวิตทั้งหมดของเธอแล้วก็คือคำพูดว่า “เธอต้องไปเดี๋ยวนี้แล้ว”
รายงานจากการวิจัยดังกล่าวนี้ประกอบไปด้วยภาพจริง เป็นกฎ ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในบรรดาคนตาบอดที่ให้สัมภาษณ์แก่ ดร.เคนเน็ท ริง และชารอน คูเปอร์ 80% ของคนตาบอดทั้งหมดที่ถูกสัมภาษณ์กล่าวเหมือนกันว่าได้รับรู้และเห็นภาพบางอย่างในระหว่างที่มีประสบการณ์ใกล้ตายหรือการอยู่นอกร่างกายของพวกเขา แม้ว่าวิกกี้จะบอกรายละเอียดบางอย่างที่ไม่ธรรมดา และไม่เหมือนใครในตัวอย่างของพวกเขา
บางครั้งการรับรู้อย่างฉับพลันในตอนแรกของโลกทางกายภาพ อาจทำให้เกิดความสับสนและรบกวนสติปัญญาของคนตาบอด และสิ่งนี้เป็นจริงสำหรับวิกกี้ เธอพูดว่า
“ฉันรู้สึกลำบากที่จะอธิบายถึงสิ่งที่ได้เห็น ฉันรู้สึกลำบากจริงๆที่จะอธิบาย เพราะฉันไม่เคยมีประสบการณ์การเห็นมาก่อน และมันเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับฉัน....คิดดูสิ ฉันจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร? มันก็เหมือนกับการได้ยินคำพูดแต่ไม่สามารถเข้าใจมัน รู้แต่เพียงว่ามันเป็นคำพูดเท่านั้น และก่อนหน้านี้คุณไม่เคยได้ยินอะไรมาก่อนเลย แต่มันเป็นสิ่งใหม่ เป็นบางอย่างที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน”
************************************
หมายเหตุ - ตามคำพูดของวิกกี้ ผู้คนที่เธอเห็นถูกสร้างด้วยแสง และตัวเธอก็ถูกสร้างด้วยแสง เรื่องนี้อาจตรงกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ว่า ในเวลาที่เกิดการปฏิสนธินั้นจะเกิดแสงสว่างวาบขึ้น และนั่นเป็นเวลาที่วิญญาณถูกสร้างขึ้นใช่ไหม?
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเป็นครั้งแรกว่า
ชีวิตมนุษย์จุติขึ้นในแสงสว่างเมื่อสเปิร์มสัมผัสกับไข่ ภายหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์สามารถถ่ายภาพในเวลาที่สเปิร์มสัมผัสกับไข่ เวลานั้นเองแสงสว่างเล็กๆวาบขึ้นทันที
อันที่จริงนักวิทยาศาสตร์เคยเห็นปรากฏการณ์นี้แล้วในสัตว์ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พบในมนุษย์
Teresa Woodruff, แห่ง Northwestern University ซึ่งค้นพบปรากฏการณ์นี้กล่าวว่า “เมื่อเห็นแสงรังสีที่วาบขึ้นมาจากไข่ของมนุษย์ทำให้แทบหยุดหายใจเลย”
ไม่เพียงแต่เกิดแสงที่เหลือเชื่อนี้เกิดขึ้นในเวลาที่ชีวิตใหม่จุติเท่านั้น ขนาดของแสงสว่างยังสามารถใช้ในการพิจารณาถึงคุณภาพของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วได้ด้วย
นักวิจัยจาก Northwestern University สังเกตุเห็นว่าไข่บางใบเกิดแสงสว่างมากกว่าใบอื่น แสดงให้เห็นว่ามันเป็นไข่ที่จะให้กำเนิดทารกที่มีสุขภาพดีกว่าใบอื่น
ภาพที่ถ่ายได้เห็นแสงสว่างวาบขึ้นทันทีเวลาที่สเปิร์มมาพบกับไข่ Eggs flash as they meet
Teresa Woodruff กล่าวว่า “เราสามารถดูที่แสงสว่างที่วาบขึ้น ( zinc spark ) ในเวลาที่มีการปฏิสนธิ และเรารู้ในทันทีว่าไข่ใบไหนดีหรือไม่ในการทำปฏิสนธิในหลอดแก้ว”
ปัจจุบันนี้ การทำปฏิสนธิในหลอดแก้วจะมีไข่ 50
เปอร์เซ็นต์ที่การพัฒนาเป็นไปอย่างไม่เหมาะสม และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกิดจากรหัสทางพันธุกรรมที่ผิดพลาด
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น