บทสดุดีที่ 22 มีความโดดเด่นมากที่สุดในบรรดาบทสดุดีทั้งหมด เพราะได้กล่าวถึงความโศกเศร้าและความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ขณะที่ถูกตรึงกางเขน ในระหว่างที่พระเยซูเจ้าทรงรับทนทรมานบนกางเขนนั้น พระองค์ทรงรำพึงและเอ่ยคำที่มาจากบทสดุดีบทนี้ พระองค์ทรงร้องว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า เหตุไฉนจึงทรงละทิ้งข้าพเจ้าเล่า?” และยังมีข้อความอื่นอีกที่กล่าวถึงการถูกตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้า ข้อความเหล่านี้ไม่ได้พูดถึงความทุกข์ทรมานทางร่างกายของพระเยซูเจ้า แต่พูดถึงการที่พระองค์ถูกปฏิเสธและถูกดูหมิ่นเยาะเย้ยในขณะที่ทรงรับทนทรมานเพื่อใช้โทษบาปของพวกเรา
1 บทสดุดีที่ 22:18 - “พวกเขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งกัน ส่วนเสื้อยาวของข้าพเจ้าเขานำมาจับสลาก” ข้อความนี้กล่าวถึงพระคริสตเจ้าเวลาที่พระองค์ใกล้จะสิ้นพระชนม์ ศัตรูของพระองค์เตรียมพร้อมแล้วที่จะประหารพระองค์ พวกเขานำเสื้อผ้าของพระองค์มาแบ่งกัน พระวรสารทั้งสี่ได้เล่าถึงเหตุการณ์นี้โดยยอห์นได้อ้างถึงบทสดุดีนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระวาจาจากพระคัมภีร์ได้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว (ยน. 19:23–24; มธ. 27:35; มก. 15:24; ลก. 23:34).
2 บทสดุดีที่ 22:7 - “พวกเขาสั่นศีรษะของพวกเขา” ข้อความในบทสดุดีนี้อธิบายปฏิกิริยาของประชาชนที่แสดงการดูหมิ่นเยาะเย้ยพระเยซูเจ้า ทั้งมัทธิวและมาร์โกได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้ว่า “คนที่ผ่านไปมา ต่างสบประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ยว่า” (มธ. 27:39; มก. 15:29).พระเยซูเจ้าทรงได้รับการสบประมาทจากประชาชนตรงตามที่บทสดุดีกล่าวไว้ เป็นความยากลำบากสักเพียงไรที่องค์พระบุตรของพระเจ้าต้องทรงทนรับความสบประมาทการถูกดูหมิ่นต่างๆนาๆจากมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงยอมเสียสละพระองค์เองรับความทรมานเพื่อพวกเขา
3 บทสดุดีที่ 22:8 “เขาวางใจในพระเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงมารับเขาสิ....เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยในตัวเขา” ในบทสดุดีที่ 22 ผู้เขียนท้าทายกับความเงียบของพระเจ้า แม้เขาจะร้องไห้ พระเจ้าก็ไม่ทรงตอบหรือช่วยเขาให้รอด (สดุดี 22: 1-5) เพราะดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ทรงมาปรากฏ นี่เป็นเรื่องน่าตกใจ มีเพียงพระวรสารโดยนักบุญมัทธิวเท่านั้นที่อ้างอิงถึงบทร้อยกรองนี้ในขณะที่ท่านอธิบายถึงฝูงชนที่กำลังเยาะเย้ยพระเยซูเจ้าสำหรับการที่พระองค์ทรงวางใจในพระเจ้า: "เขาไว้วางใจในพระเจ้า หากพระองค์พอพระทัยเขา ขอให้พระองค์ทรงช่วยเขาในบัดนี้เถิด " (ม ธ 27:43) พระเยซูเจ้าก็ทรงเคยอธิษฐานภาวนาขอให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากเหล่านี้ แต่พระองค์ก็ยังคงยอมที่จะมอบพระองค์เองให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า (ม ธ 26:39) การยอมรับคำสบประมาทเยาะเย้ยด้วยความถ่อมตนของพระองค์ต่อพระเจ้าต้องเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งสำหรับพระคริสต์
4 บทสดุดีที่ 22:1 - “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า เหตุไฉนจึงทรงละทิ้งข้าพเจ้าเล่า?” ข้อความนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้สวด พระองค์ทรงทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก แต่พระองค์ทรงคำนึงถึงแต่พระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงไว้วางพระทัยและเป็นผู้ช่วยเหลือพระองค์ ทั้งๆที่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะทรงเพิกเฉยต่อพระองค์ก็ตาม ทั้งมัทธิวและมาร์โกกล่าวถึงพระวาจานี้ของพระเยซูเจ้า (มธ 27:46; มก 15:34) ความทุกข์ทรมานทางกายของพระเยซูดูจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งจากพระเจ้าขณะที่พระองค์ทรงรับแบกบาปของเราไว้กับพระองค์เอง
5 บทสดุดีที่ 22:31 - “พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว” บทสดุดีจบลงไม่ใช่ที่ความทุกข์ทรมาน แต่จบที่การสรรเสริญของผู้สวดในการที่พระเจ้าทรงมาช่วยเหลือเขา (สด. 22:25–31). ผู้สวดประกาศถึงการทรงช่วยให้รอดของพระเจ้าไปจนสุดแผ่นดินโลกและตลอดทุกชั่วอายุคน ในบรรทัดสุดท้ายของบทสดุดีนี้ซึ่งมีคำหนึ่งเป็นภาษาฮิบรูที่แปลได้ว่า “พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว” หรือ “ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว” พระเยซูเจ้าทรงอ้างถึงคำนี้โดยตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” (ยน 19:30). พระวาจาขณะที่กำลังจะสิ้นพระชนม์มีนัยหลายอย่าง คือ แผนการณ์แห่งความรอดของพระเจ้าได้สำเร็จสมบูรณ์ บาปของเราได้รับการชำระแล้ว งานของพระคริสต์บนแผ่นดินโลกเสร็จสิ้นแล้ว บางทีนี่อาจเป็นการตะโกนแซ่ซ้องสรรเสริญเหมือนคำในบทสดุดี 22:31 สำเร็จบริบูรณ์แล้ว การปลดปล่อยที่ดีที่สุดของพระเจ้าได้ดำเนินการแล้ว เช่นเดียวกับผู้สวดได้ประกาศการปลดปล่อยของพระเป็นเจ้าแก่เขา เราก็ควรประกาศผลงานแห่งความรอดของพระคริสต์บนไม้กางเขนที่มีไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกและตลอดทุกชั่วอายุคน
แล้วภาพของการถูกตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้าภาพใดที่ส่งผลกระทบต่อคุณมากที่สุดตามคำบรรยายของพระวรสาร?
****************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น