วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

คำสอนกับความเชื่อ



ความเชื่อเป็นพระพรที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ทุกคน พระองค์ไม่ได้เลือกจะประทานให้เพียงบางคนเท่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้ไว้ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องผู้หว่าน (มัทธิว 13) ในนิทานเปรียบเทียบนี้ พระเจ้าทรงประทานพระพรแห่งความเชื่อ เปรียบได้กับเมล็ดข้าวสาลีซึ่งคือพระวาจาของพระเจ้า เมล็ดข้าวสาลีถูกโปรยไปทุกแห่ง แต่ดินซึ่งก็คือบุคคลที่รับเมล็ดข้าวสาลีหรือพระวาจานั้นไว้จะตอบสนองอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าดิน (ผู้รับความเชื่อ) นั้นเป็นดินชนิดใดเป็นดินดีหรือไม่ ถ้าดินไม่รับเมล็ดข้าวสาลี นั่นคือผู้ได้ฟังพระวาจาแล้วไม่ยอมเปิดใจรับ พระวาจาก็ไม่บังเกิดผลในตัวของเขา หรือถ้าหากเขาเปิดใจรับแต่ไม่นำไปปฏิบัติ ก็จะไม่บังเกิดผลเช่นเดียวกัน
 
เมื่อ 30-40 ปีก่อนสมัยที่ผมเป็นนักเรียน ผมได้เรียนคำสอนจากพระสงฆ์ทุกวันตอนเย็นหลังจากโรงเรียนเลิกแล้ว นักเรียนคาทอลิกจะไปรวมกันในห้องสำหรับเรียนคำสอน สมัยของผมมีนักเรียนคาทอลิกเฉพาะที่ห้องของผมประมาณ 20 คน แต่นักเรียนคาทอลิกทั้งหมดในโรงเรียนจะมีประมาณ 50-60 คน ถือว่ามีจำนวนไม่มากนักเพราะเป็นโรงเรียนที่ไม่ใหญ่มาก ผมมีเพื่อนที่เรียนคำสอนด้วยกันคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงได้ไปเป็นซิสเตอร์คาร์เมลไลท์ และเพื่อนผู้ชาย 3 คนสมัครเข้าบ้านเณร(แต่ไม่ได้บวชเป็นพระสงฆ์) และเพื่อนคนอื่นๆก็ยังคงไปวัดสม่ำเสมอ มีความศรัทธาดี นับว่าการสอนคำสอนในสมัยนั้นมีผลลัพท์ที่ดีพอสมควร 
 
ในปัจจุบันการสอนคำสอนในโรงเรียนมีลักษณะที่แตกต่างออกไป ผู้สอนคำสอนจะเป็นครูคำสอนเสียเป็นส่วนใหญ่ พระสงฆ์จะมาสอนบ้างในบางเวลา ในโรงเรียนคาทอลิกขนาดใหญ่มีนักเรียนคาทอลิกจำนวนมาก ทำให้พระสงฆ์ไม่สามารถสอนนักเรียนได้หมดทุกคน จึงจำเป็นต้องมีครูคำสอนมาช่วยสอน สิ่งที่คาดหวังสำหรับการสอนคำสอนก็คือ บรรดาเด็กนักเรียนจะได้รู้เรื่องราวต่างในพระคัมภีร์และมีความเชื่อที่มั่นคง
 
ความเชื่อสามารถได้รับมาโดยสองวิธีคือ
1 จากการสั่งสอน
2 จากประสบการณ์
 
ความเชื่อจากการสั่งสอน ความเชื่อสามารถส่งผ่านกันได้ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เมื่อผู้สอนมีความเชื่อ เขาก็ส่งผ่านความเชื่อของเขาไปยังผู้เรียนโดยผ่านทางการสอนของเขา ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับความเชื่อจากการสั่งสอนก็คือ ผู้สอนต้องเป็นผู้มีความเชื่อ ผู้สอนยิ่งมีความเชื่อที่มั่นคงและเข้มข้นมากเท่าไร ความเชื่อที่ส่งผ่านไปยังผู้เรียนก็จะมีความมั่นคงมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นแล้ว ผู้เรียนก็จะมีแต่เพียงความรู้แต่ไม่มีความเชื่อ
 
ความเชื่อจากประสบการณ์ เป็นความเชื่อที่คนๆหนึ่งได้รับจากการที่เขามีประสบการณ์กับพระเจ้าหรือจากพระหรรษทานของพระองค์ บุคคลผู้นั้นได้สัมผัสกับพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของเขา ความเชื่อประเภทนี้จึงเป็นความเชื่อที่มั่นคงแข็งแรงมากกว่าแบบแรกมาก ความเชื่อทำให้ผู้นั้นติดตามพระเจ้าและไม่หันเหไปทางอื่นตลอดชีวิตของเขา
 
ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับว่า สิ่งแวดล้อมของสังคมภายนอกมีอิทธิพลต่อผู้เรียนคำสอนเป็นอย่างยิ่ง เด็กนักเรียนที่เรียนคำสอนแล้ว เขามีความรู้และมีความเชื่ออยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมของสังคมภายนอก อาจทำให้เขาหันเหไปจากคำสอนที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นเช่นนี้ แล้วมีหนทางใดบ้างที่จะทำให้ความเชื่อของพวกเขามั่นคงขึ้น?
 
เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้มีความเชื่อจากการสั่งสอนแล้วสมควรที่จะแสวงหาความเชื่อจากประสบการณ์ด้วย และจะทำได้อย่างไรล่ะ? สิ่งนี้เป็นพระหรรษทานพิเศษที่พระเจ้าจะทรงประทานให้เมื่อมีการแสวงหาอย่างจริงใจและด้วยความเพียรทน เพราะพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่ขอก็จะได้รับ ผู้ที่แสวงหาก็จะพบ และผู้ที่เคาะก็จะมีผู้เปิดประตูรับ” ทุกคนที่วอนขอ และแสวงหาความเชื่อด้วยความเพียร เขาก็จะได้รับอย่างแน่นอน เขาจะติดตามพระเยซูเจ้าและได้รับความรอดนิรันดร
 
*********************
 
คำถามเกี่ยวกับความเชื่อ(คาทอลิก) ตอบโดย Fr. Mike Schmitz
 
คำถาม - คุณพ่อครับ ทำไมบางคนจึงมีความเชื่อและบางคนไม่มีความเชื่อ ? จะเป็นอย่างไรถ้าผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความเชื่อ?
 
คำตอบ - คำตอบของคุณก็คือ บาป. บาปเป็นสาเหตุที่ทำให้บางคนไม่มีความเชื่อ แต่คุณอาจแย้งว่า “ผมรู้จักคนหลายคนที่เป็นคนดีมาก ถึงแม้เขาจะไม่มีความเชื่อก็ตาม และผมก็รู้จักบางคนที่เป็นคนดีและมีความเชื่อด้วยเช่นกัน แล้วบาปจะเกี่ยวข้องอะไรกับคนเหล่านี้ล่ะ?” นี่คือคำตอบ เมื่อแรกเริ่มนั้น มนุษย์ถูกสร้างให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แต่เมื่อบาปเข้ามาในโลก ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าก็ถูกทำลายไป และสติปัญญาของเราก็มืดบอด เราหลงลืมไม่เข้าใจว่าเรามีต้นกำเนิดมาจากผู้ใด เราได้รับมรดกคือการตกต่ำ(ฝ่ายจิต) ดังนั้นบาปแรกนี้จึงส่งผลต่อมนุษย์ทุกคน บาปแป็นสาเหตุที่ทำให้เรามองเห็นพระเจ้าไม่ชัดเจน
 
ความเชื่อเป็นพระพรที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ทุกคน พระองค์ไม่ได้เลือกให้เพียงบางคนเท่านั้น พระพรที่มาจากพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็น และพระองค์จะประทานให้ถ้าเราเปิดใจให้กับความเชื่อยอมรับและดำเนินชีวิตตามความเชื่อ ถ้าบางคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเพราะเขาไม่รู้ข้อพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของพระองค์ นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา 
 
ถ้าคุณต้องการพระพรแห่งความเชื่อ ทุกคนต้องวอนขอด้วยความจริงใจ
 
ถ้าหากคุณรู้สึกว่าไม่มีความเชื่อ ก็อย่ากังวลไป จงฝึกปฏิบัติในชีวิตของคุณ คุณพยายามเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่? คุณสวดภาวนาทุกวันหรือเปล่า? คุณอ่านพระคัมภีร์หรือเปล่า? คุณไปร่วมพิธีมิสซาทุกสัปดาห์หรือไม่? คุณพยายามรักเพื่อนบ้านของคุณและแสดงเมตตาจิตต่อพวกเขาไหม? เมื่อคุณตกในบาป คุณไปสารภาพบาปหรือเปล่า? ถ้าคุณทำ นั่นแสดงว่าคุณมีความเชื่อ แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำ เวลานี้ก็เป็นโอกาสที่จะเริ่มต้นทำเสีย อย่ารอ อย่าลังเลใจ จงเริ่มเสียแต่บัดนี้

****************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น