วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

วิเคราะห์สถานการณ์ในฝรั่งเศส



โดย - Wiwanda W. Vichit
ผู้นำที่สิ้นสง่า………เหมือนหงส์ที่ไร้ปีก……!!
 
ทราบกันดีนะคะ ว่าดิฉันหมายถึงนาย เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุด ที่สรุปแล้ว……ว่าการที่เขาจบมาจากโรงเรียน ต่อด้วยมหาวิทยาลัยระดับท๊อปทางสาขาเศรษฐศาสตร์ จนได้เข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตในสายการเงิน การธนาคารและได้เคยปฏิเสธตำแหน่งดีๆที่รัฐบาลก่อนเคยเสนอให้
 
เพราะเห็นว่า……มันด้อยไปจนเขาได้จับพลัดจับผลูมาเป็นผู้นำของฝรั่งเศส เพราะคะแนนเสียงได้เทไปทางเขาในโค้งสุดท้าย ที่กำลังสูสีกับพรรการเมืองขวาจัด ภายใต้การนำของนางมารีน เลอเปน ที่หลายคนกลัวว่าเมื่อเข้ามา……นโยบายหลายๆอย่างจะต้องชะงัก และมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
 
ฝรั่งเศสที่กำลังอยู่ในภาวะขมึงเกลียวทางด้านความเป็นอยู่ของประชาชนจึงไม่มีใครกล้าเสี่ยง……จึงหันไปเลือกนายมาครง เพราะเห็นว่า อย่างน้อยก็คงไม่ทำอะไรสุดโต่ง
 
ที่ไหนได้……18 เดือนที่ผ่านมา ทุกคนเริ่มเห็นความอหังการและยะโส โอหัง รวมไปถึงการปฏิบัติตัวราวกับเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ ตั้งแต่เรื่องที่จะเปลี่ยนจานชามที่จะใช้ในทำเนียบ, นางบริจิตต์ มาครง ได้เรียกช่างมาเปลี่ยนพรมใหม่ ด้วยราคากว่าสี่แสนยูโร จะเสร็จสิ้นในวันที่ 15 มกราคมที่จะถึงนี้
 
ไหนจะค่าทำผม ค่าแต่งตัว และเงินเดือนที่ใช้จ่ายให้กันอย่างไม่อั้น
 
ผลงานเพื่อประชาชนไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมออกมา นอกจากการลดภาษีรายได้ให้กับกลุ่มที่สร้างเม็ดเงิน หรือกลุ่มที่อยู่บนยอดปิรามิด โดยอ้างว่า……เพื่อเป็นการจูงใจนักลงทุน
 
ต่อมา คือการเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากบำนาญผู้สูงอายุ นี่คือประเด็นสำคัญเพราะคนที่รับบำนาญ……ส่วนใหญ่คือรับกันมาหลายปีดีดัก ค่าของเงินก็ลดไปเรื่อยๆ……รายได้เพิ่มไม่มี ทางเดียวที่อยู่ให้รอด คือต้องประหยัดกันสุดชีวิต
 
เรื่องนี้……นายมาครงกลับทำหูหนวกตาบอด ไม่รับรู้รับเห็นอะไรทั้งสิ้น ถือว่า จิตใจเขาเหี้ยมโหดมาก……จากนั้น เขาเพิ่มภาษีน้ำมัน ซึ่งกลายเป็นไฟกำลังเผารัฐบาลอยู่ในตอนนี้
 
ทีนี้พอเกิดการประท้วงขึ้นมา เขาแก้เกี้ยว แก้เกมส์แบบคนขี้ขลาด ลนลานให้นาย Édouard Philippe นายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงการณ์(แทน) ว่าจะผ่อนเวลาให้ไปอีกหกเดือน จะยังไม่ขึ้นตอนนี้
 
นี่เหมือนน้ำมันไปราดบนกองไฟของชาวเสื้อกั๊กเหลือง เพราะเหมือนกับรัฐบาลแกล้งโง่ หูหนวก ตาบอด หรืออย่างไร? พวกเขาออกมาต่อสู้ เรียกร้อง และส่งเสียงให้รัฐบาลได้ยินว่า “นายมาครง ต้องลาออกไป” เพราะ……เขาหมดความไว้วางใจ ว่าคนคนนี้จะบริหารประเทศได้ และ ไม่เชื่อใจว่าคนคนนี้จะมาทำงานเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
 
ดังนั้น วันเสาร์ที่จะถึงนี้……การประท้วงจะดำเนินต่อไปและจะรุนแรงขึ้นเพราะมันได้ลุกลามไปถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษา***
 
*** อย่างที่ดิฉันเคยคาดการณ์ไว้ในข้อความก่อนว่า……ถ้านักเรียนออกมาเมื่อไหร่ นายมาครงคือจบ นับวันขนของออกจากทำเนียบได้เลย
 
ซึ่งทางรัฐบาลก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน ท่าทีของเสื้อกั๊กเหลืองไม่ได้ลดราวาศอกให้เลย
 
คราวนี้……หลังจากเมื่อวานประกาศว่าจะผ่อนผันเรื่องน้ำมันให้อีกหกเดือนนั้น วันนี้……นายกรัฐมนตรีคนเดิมนี่แหละ ได้ออกมาอ่านแถลงการณ์อีกแล้วว่าจะไม่ขึ้นภาษีน้ำมัน……ยกเลิกนโยบายนี้ไปเลยเพราะกลัวเรื่องการลุกฮือของประชาชนในวันเสาร์นี้
 
แต่………มันสายไปแล้ว เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็น ประชาชนยินดีที่จะจ่ายค่าน้ำมันเพิ่ม หากว่าเขามีงานทำ รายได้ขั้นต่ำถูกยกระดับขึ้น เงินบำนาญไม่ได้รับการแตะต้อง
 
รัฐบาลต้องรู้จักการเพิ่มรายได้และลดการว่างงาน (ตามที่นายมาครงได้สัญญาไว้ตอนหาเสียง) แต่ทุกอย่างมันเป็นการโกหกพกลมทั้งสิ้น
 
และตัวนายมาครงเอง...ได้แสดงความขี้ขลาดตาขาวออกมาจนประชาชนต้องอับอายแทน นั่นคือการหลบลี้หนีหน้า ไม่กล้าเผชิญกับข้อเรียกร้องของประชาชนอย่างลูกผู้ชาย ไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น และทุกครั้งที่มีการประท้วง……เขาไม่เคยอยู่ในประเทศ เช่นเสาร์นี้……เขามีแพลนที่จะไปประชุมที่ Marrakech
 
เมื่อสามวันที่ผ่านมา……เขาต้องย่อง (ขอใช้คำว่าย่อง) ไปดูที่ทำการเทศบาล ที่ Puy-en-Velay ที่เสียหายในบางแห่งจากการเผาในการประท้วง ซึ่งเขาไปอย่างซุ่มๆ ไม่กล้าเปิดไฟด้วยซ้ำ แต่ประชาชนไปยืนดักรอ ตะโกนไล่ พร้อมเสียงด่าเรียงรายไปตามถนน และจะเป็นเช่นนั้นทุกที่ที่เขาไปปรากฏตัว……
 
โธ่เอ๋ย...……ประธานาธิบดีที่สิ้นสภาพ...!!
 
ไม่ใช่แต่ปัญหาในประเทศ……ทางกลุ่มสภาสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันที่หวังว่านายมาครงจะเข้ามาช่วยกันแก้ไขในเรื่องของ Brexit ที่อังกฤษจะออกจากความเป็นสมาชิกสหภาพ ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
 
นั่นหมายถึง……เงินสนับสนุนก้อนใหญ่จะหายวับไป แล้วจะเอาที่ไกนมาทดแทนในเมื่อปัจจุบันนี้ มีประเทศหลักๆที่พยุงสหภาพฯ ก็มีเพียงสิบประเทศ หัวเรือใหญ่คือ เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส แต่ต้องโอบอุ้มประเทศจนๆอีกสิบแปดประเทศ
 
เพราะเหตุนี้ คือสาเหตุที่อังกฤษแยกตัวออกไป เพราะนโยบายเรื่องการโอบอุ้มและผู้ลี้ภัยนั้น อังกฤษไปคำนวนเอาขึ้นตาชั่งแล้ว เห็นว่า เสียมากกว่าได้ จึงได้เกิด Brexit ขึ้นมา และถ้านายมาครงไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องการหาเงินไปโปะได้……หรือไม่สามารถที่จะช่วยหาทางอุด…หรือลดงบประมาณที่จะช่วยประเทศเล็กๆน้อยๆสิบแปดประเทศนั้นได้ ภาระจะตกอยู่กับประเทศฝรั่งเศส และคนฝรั่งเศสอีกตามเคย
 
ขออธิบายแบบสั้นๆเกี่ยวกับสหภาพยุโรปนะคะ สำหรับแม่บ้านที่ไม่เข้าใจ คือว่า การเกิดการรวมตัวของประเทศในยุโรป (ระยะแรกคือแค่ หกเจ็ดประเทศ) เพราะเพื่อเป็นการผนึกกำลังกันหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อด้วยสงครามเย็น ที่ทุกคนกลัวระบอบคอมมิวนิสต์
 
การรวมตัวนี้ เหมือนระบบกงสี คือ สหภาพจะเป็นผู้กำหนดนโยบายให้ทุกประเทศเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีกำแพงภาษีส่งของค้าขายต่อกัน ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกจะต้องเสียค่าสมาชิก และเงินลงขัน (มากน้อยตามอัตรารายได้ของประชาชนในประเทศ)
 
เงินลงขันนี้ เอามาช่วยเรื่องภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคเทคโนโลยีฯลฯ ประเทศที่กำลังพัฒนา รายได้ประชาชนน้อย เงินลงขันก็น้อย แต่ต้องใช้เงินช่วยเยอะ ประเทศที่รวยกว่าก็แบ่งไปให้ เป็นการสนับสนุนอุดหนุนกันอย่างนี้ตลอดไป จนกว่าจะลืมตาอ้าปาก ยืนด้วยขาตัวเองได้ แล้วค่อยพูดถึงเรื่องการใช้คืน (ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่)
 
ตอนนี้ไม่มีใครกลัวระบอบคอมมิวนิสต์กันแล้ว เพราะมันได้ล่มสลายไปเหลือแต่สามมหาอำนาจ……ที่แข่งกันทางการค้าและสงครามอวกาศกันสุดฤทธิ์ นั่นคือ อเมริกา รัสเซีย และ จีน ที่สองประเทศหลังนี่ จับมือกันแน่นแฟ้น
 
สหภาพยุโรป……ผนึกกำลังกันอย่างไรก็ตามไม่ทัน ซ้ำยังมีปัญหายุ่งเหยิงยิ่งกว่าลิงแก้แห แถมนายมาครง……หนึ่งในผู้นำของประเทศหลักๆกลับกลายเป็นไม้หลักปักเลน ประเทศของตัวเองยังเอาไม่อยู่ คงหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้ในปัญหาของสหภาพฯ
 
อนาคตคือ ถ้าอังกฤษลอยตัวออกไปจากสพภาพยุโรปได้อย่างสวยๆเนียนๆ ซ้ำยังไร้ปัญหาจุกจิกกวนใจ ผู้คนทำมาค้าขึ้นเช่นเดิม ก็จะกลายเป็นแบบอย่างให้บางประเทศหันตัวออกจากสหภาพเช่นกัน แล้วแต่ประชาชนจะเห็นดีเห็นงาม โหวตชี้ทางกันไป...
 
ใครจะไปรู้………ว่า……วันหนึ่งข้างหน้า ฝรั่งเศสอาจจะกลับมาใช้เงินฟรังค์เหมือนเดิมก็เป็นได้………!!!

******************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น