วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า (In God We Trust)



อเมริกา เป็นประเทศใหญ่มีความก้าวหน้าและมีความสำคัญในเวทีโลก แต่ในปัจจุบันนี้ดูเหมือนกำลังถูกประเทศจีนก้าวขึ้นมาเทียบเคียงอเมริกา  และอาจถึงขั้นแซงหน้าขึ้นไปบ้างแล้ว ระยะหลังนี้ อเมริกามีปัญหาภายในหลายอย่าง ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า  มีภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นมากมาย เช่น น้ำท่วม ไฟป่า พายุทอร์นาโด ฯลฯ ดังเช่น เมื่อไม่นานมานี้มีไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่คาลิฟฟอร์เนีย กินบริเวณกว้างไกลไปถึงเขตพาราไดซ์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของดาราดังฮอล์ลีวูด มีผู้สงสัยตั้งคำถามว่า สวรรค์ลงโทษอเมริกาหรือ? เพราะอเมริกาได้ละทิ้งพระเจ้า และหันไปหาความเชื่ออื่น เช่น ลัทธิบูชาซาตาน แม่มด ปีศาจ นอกจากนี้เสรีภาพอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจทำให้อเมริกายอมให้เสรีภาพอย่างมากมายแก่กลุ่มรักร่วมเพศ การทำแท้ง ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ จึงขอนำเสนอ สุนทรพจน์ของ อับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งได้กล่าวเตือนอเมริกาไว้ไม่ให้หันหลังให้กับพระเจ้า
 
-- By Hong Min Zou*
 
อับราฮัม ลินคอน กล่าวสุนทรพจน์ต่ออเมริกา
 
มิตรสหายร่วมชาติของข้าพเจ้า, จะเกิดอะไรขึ้นต่อประเทศอันยิ่งใหญ่นี้ภายหลังจากความตายของข้าพเจ้า? ข้าพเจ้ารู้สึกหนักใจต่อสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็น. จะมีอะไรเกิดขึ้นเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า. ต่อความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต,ต่อครอบครัว,ความเสมอภาคของมนุษย์, คุณค่าแห่งความตายเพื่อศักดิ์ศรีของเพื่อนร่วมชาติในยุทธสงคราม?
 
อเมริกา, ท่านได้หันหลังให้กับพระเป็นเจ้า, พระผู้สร้าง. ท่านได้แทนที่เสรีภาพที่วางไว้ในพระเจ้าด้วย อิสระเสรีซึ่งหลงออกนอกทางเพราะความหยิ่งทะนงวางใจในตนเอง. หลายชาติที่ไม่เชื่อในพระเจ้าแต่นับถือธรรมชาติและสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า และต้องถูกลงโทษ. ท่านได้กลายเป็นชาติที่ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าไปแล้ว. ท่านเป็นเหมือนชาติอิสราเอลที่ไม่มีความเชื่อในสมัยของประกาศกเจเรมีย์. ในบทบัญญัตแห่งรัฐสภาได้จารึกคำว่า "ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า" In God We Trust คำที่ปรากฏอยู่ในธนบัตรทุกใบเพื่อเตือนใจเพื่อนร่วมชาติของเราถึงพระพรที่พระบิดาผู้ทรงเมตตาเหลือล้นทรงประทานพรั่งพรูมาให้แก่ชาตินี้.
 
หนังสือมากกว่า 10.000 เล่ม ได้เขียนเรื่องราวของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าเองเป็นจุดเด่นในประวัติศาสตร์ของอเมริกาและข้าพเจ้าได้เคยอ้างอิงถึงพระวาจาหลายครั้งในสุนทรพจน์ของข้าพเจ้ามากกว่าประธานาธิบดีคนใดของสหรัฐอเมริกา. แม้กระนั้น,ข้าพเจ้าเป็นเพียงเครื่องมืออันต่ำต้อยในพระหัตถ์ของพระบิดาสวรรค์. เหตุว่าพวกเรากำลังพยายามทำงานเพื่อพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์. ข้าพเจ้าปรารถนาให้การงานทั้งหมดของข้าพเจ้าจะเป็นการทำตามพระประสงค์(1) มันเป็นการเหมาะสมที่ท่านทั้งหลายจะใส่ใจในวาจาของข้าพเจ้า
 
มีหนังสือจำนวนมากที่เขียนเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนาของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าถือว่าตัวเองเป็นคนของพระ. ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์และดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติสิบประการ. แม้ว่าข้าพเจ้าทำสิ่งเหล่านี้,ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้สัมผัสเป็นการส่วนตัวกับพระเยซูเจ้าจนกระทั่งวันที่ 19 พฤศจิกายน 1863, ภายหลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ที่เกตตี้สเบิรก. ศาสนจารย์จากอิลินอยส์ถามข้าพเจ้า(ไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะเสียชีวิต) ว่า "คุณรักพระเยซูเจ้าหรือไม่?" ข้าพเจ้าตอบว่า "เมื่อผมออกจากสปริงฟิลด์.ผมขอให้ประชาชนช่วยสวดภาวนาเพื่อผม” ในตอนที่ข้าพเจ้าฝังศพลูกชายนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้เป็นคริสตชน, มันเป็นเวลาแห่งการประจญทดลอง ข้าพเจ้ายังไม่ได้เป็นคริสตชน. แต่,เมื่อข้าพเจ้าไปที่เกตตี้สเบิรก,และได้เห็นหลุมศพนับพันของเหล่าทหารของเรา. ในขณะนั้นและที่แห่งนั้นข้าพเจ้าก็ได้สาบานที่จะอุทิศชีวิตทั้งหมดของข้าพเจ้าให้แก่พระคริสต์. ถูกแล้ว, ข้าพเจ้ารักพระเยซูคริสต์"(2)
 
ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงการกลับใจครั้งอื่นๆ เมื่ออยู่ที่ทำเนียบขาวกับภรรยาของข้าพเจ้าซึ่งเธอเป็นหนึ่งในกรรมการสมาคมคริสตชน. ผมขอร้องให้เธออธิบายตามความคิดเห็นของเธอว่าคริสตชนที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร. ภรรยาข้าพเจ้าพูดว่า, ในความคิดเห็นของเธอ, "มันประกอบด้วยความตระหนักรู้ถึงความอ่อนแอและบาปของเราและความต้องการความช่วยเหลือและพละกำลังจากองค์พระผู้ไถ่. ความรู้สึกว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากสวรรค์. และการแสวงหาพละกำลังและการนำทางขององค์พระจิต สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหมายว่าเราได้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง"(3) ข้าพเจ้านิ่งเงียบใช้ความคิด. สักครู่หนึ่งจึงพูดว่า"ถ้าสิ่งที่คุณบอกผมนี้ถูกต้อง ผมคิดว่าผมสามารถพูดได้ว่าผมเป็นคริสตชน” ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตมาจนลูกชาย, วิลลี่, เสียชีวิตโดยไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้เลย นั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้ถึงความอ่อนแอของตัวเองอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คุณอาจพูดได้ว่ามันเป็นการทดสอบของข้าพเจ้า. และข้าพเจ้ามีความตั้งใจว่าจะหาโอกาสอันเหมาะสมที่จะกล่าวสารภาพในเรื่องนี้ต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ" (4)
 
ท่านเข้าใจไหม,อเมริกา, คำว่า "ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระป็นเจ้า" นั้นสำคัญต่อข้าพเจ้าในฐานะผู้นำประเทศของท่านสักเพียงไร. ข้าพเจ้าได้ประกาศให้วันที่ 7 กรกฏาคม 1864 เป็นวันสวดภาวนาแห่งชาติ. ในวันนั้นไม่มีที่ใดที่ข้าพเจ้าจะไปพึ่งพิงได้อีกแล้ว. ข้าพเจ้าคุกเข่าลงด้วยความเชื่อ. สติปัญญาของข้าพเจ้าและของคนรอบข้างดูจะไร้ประสิทธิภาพไปในวันนั้น (5) ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระเป็นเจ้าจะทรงฟังคำภาวนาของข้าพเจ้าและประชาชนของข้าพเจ้า. แล้วพระองค์ก็ทรงพระกรุณารับฟัง! ดังนั้นในวันที่ 20 ตุลาคม 1864, ข้าพเจ้าจึงประกาศให้วันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนเป็น วันขอบคุณพระเจ้า. "เป็นหน้าที่ของประชาชาติและประชาชนที่จะต้องมอบเสรีภาพของตนไว้ในการปกครองของพระเจ้า....เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความจริงในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และได้ถูกพิสูจน์แล้วในประวัติศาสตร์ว่า ชาติที่นับถือพระเจ้าเท่านั้นจะได้รับการอวยพระพร" (6)
 
ข้าพเจ้าขอยกข้อความจาก โครินทร์ 2 -7:14 "ถ้าประชากรของเราซึ่งถูกเรียกมาด้วยพระนามของเรา, จะอ่อนน้อมถ่อมตนและสวดภาวนา. แสวงหาพระพักตร์ของเราและหันหลังให้กับวิถีทางอันเลวทรามของพวกเขา. เราจะรับฟังคำภาวนาของเขาและจะอภัยบาปทั้งสิ้นของเขา เราจะรับฟังคำวอนขอที่ออกมาจากแผ่นดินของเขา"
 
มิตรสหายร่วมชาติของข้าพเจ้า, "การพิพากษา"ของพระเป็นเจ้าเป็นความจริงและยุติธรรม"(7). เราควรเชื่อฟังและไม่ต่อต้านพระประสงค์ของพระองค์. ให้เราทั่วทั้งชาติถ่อมตนลงเหมือนดังฝุ่นธุลี,และวอนขออภัยสำหรับการดำเนินชีวิตในบาปของชาติอันยิ่งใหญ่นี้. วอนขอต่อพระเยซูเจ้าพระผู้ไถ่ของเราสำหรับปรีชาญาณและการสำนึกผิดกลับใจ, เพราะเราไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่จะไปพึ่งพิงได้. ขอให้เราเชื่อถึงพระเป็นเจ้าอีกครั้งเถิด."
 
อับราฮัม ลินคอล์น

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น