วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

พระรูปแม่พระร้องไห้ในมือพระสังฆราช



ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์
 
พระรูปแม่พระเป็นรูปปั้นปูนสีขาวสูง 42 ซม. มีฐานประมาณ 5 เซนติเมตรหนักกว่าสองกิโลกรัมและถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวโครเอเชียชื่อ Sqepan Vlaho อายุ 38 ปีในเมืองเล็ก ๆ ห่างจาก Medjugorje ไม่กี่กิโลเมตร ถูกซื้อเมื่อเดือนกันยายน 1994 โดยพระสงฆ์ชาวอิตาลีคุณพ่อปาโบล มาร์ติน Pablo Martín ตอนที่ท่านไปประชุมพระสงฆ์ที่เมดจูกอเรจ์
 
เมื่อท่านกลับมาที่ Civitavecchia ในอิตาลี พระรูปถูกมอบให้แก่ครอบครัว Gregori (นาย Fabio และนาง Anna) และถูกนำไปวางไว้ในถ้ำที่ทำด้วยหินจากชายหาดของ San Agustín ถ้ำอยู่บริเวณด้านหน้าของบ้านที่เป็นทางเข้าโดยหันหน้าไปทางบันไดของบ้าน

 
น้ำตาไหลออกมาครั้งแรก
 
ปรากฏการณ์พระรูปมีน้ำตาไหลออกมาเป็นเลือดเกิดขึ้นครั้งแรก ในช่วงบ่ายของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1995. เมื่อครอบครัวกำลังจะไปโบสถ์ซานออกัสติน เจสสิก้า เกรกอรีซึ่งเป็นลูกสาวสังเกตเห็นว่าบริเวณแก้มของรูปปั้นขนาดเล็กในสวนนั้นมีน้ำตาไหลออกมา
 
พ่อของเด็กได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับคุณพ่อปาโบลทันทีและข่าวก็เริ่มแพร่กระจายไปท่ามกลางคนที่รู้จักของพระสงฆ์ และในเวลาอันสั้นก็ไปถึงสื่อทั่วอิตาลี
 
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เกิดปรากฏการณ์เดียวกันนั้นอีก ในตอนเที่ยงคุณพ่อปาโบลเปิดเผยเหตุการณ์นี้ให้แก่ชาวบ้านในชุมชน และในช่วงเวลา 16:30 น.คุณพ่อเปาโลซึ่งไม่สงสัยเกี่ยวกับความพิเศษของเหตุการณ์ได้เชิญชวนให้ทุกคนมาสวดภาวนาร่วมกัน ในช่วงบ่ายก็มีน้ำตาไหลจากพระรูปอีกต่อหน้าพยานเจ็ดคน พวกเขาเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อเจ้าอาวาสในพื้นที่
 
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้คนมีจำนวนมากขึ้น มันเป็นตอนเช้าของวันเสาร์ ผู้คนมากมายมาอยู่รอบ ๆ บ้านของเกรกอรีและข่าวก็แพร่กระจายอยู่เสมอ ในตอนเที่ยงนักข่าวคนแรกก็มาถึง ฝูงชนมีจำนวนมากแต่ทุกคนอยู่ในความสงบเรียบร้อย
 


วันที่ 5 กุมภาพันธ์ นำน้ำตาไปทำการทดสอบครั้งแรก

หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ข่าวและผู้คนมากมายเริ่มต้นมาที่บ้านของ Gregori มีทั้งคนที่อยากรู้อยากเห็นและผู้มีความเชื่อตั้งแต่เวลา 8:30 น. ในตอนเช้ามีเหตุการณ์หลั่งน้ำตาเป็นเลือดใหม่เกิดขึ้น ผู้ศรัทธาจำนวนมากมารวมตัวกันสวดภาวนาต่อหน้าพระรูป เวลา 12:00 น. นักวิทยาศาสตร์ทำการทดสอบเลือดครั้งแรกจากน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นเลือดของพระรูปนั้น ในตอนกลางคืนทีมงานโทรทัศน์ของอิตาลีก็มาถึงและเริ่มทำการถ่ายทอดข่าวอันน่าประหลาดใจนี้ นี่เป็นการออกอากาศข่าวทางโทรทัศน์แห่งชาติอิตาลีในทุกสถานีและเครือข่าย
 
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 

เช้าตรู่นายฟาบิโอ เกรกอรี ผู้เหนื่อยล้าจากการถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องตัดสินใจนำรูปปั้นไปที่โบสถ์ซานออกุสตินและมอบให้กับคุณพ่อปาโบล มาร์ติน อย่างไรก็ตามคุณพ่อเจ้าอาวาสถามว่าเขาจะเก็บรักษาพระรูปแม่พระไว้ก่อนได้ไหมจนกว่าจะมีการทำการสอบสวนตามกระบวนการจนเสร็จสิ้น เพราะพระรูปควรจะอยู่กับเจ้าของที่แท้จริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงชนมาล้อมรอบโบสถ์ในตอนนี้ ในวันต่อมารูปปั้นขนาดเล็กก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในบ้านของนายฟาบิโอ ตามที่คุณพ่ออธิการร้องขอจนกว่าการตรวจสอบเลือดจะได้ผลลัพธ์ออกมา

ภายในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ก็มีผลการวิเคราะห์ครั้งแรกออกมาว่า "ยืนยันว่ามีการปรากฏตัวของของเหลวชีวภาพซึ่งน่าจะเป็นเลือดมนุษย์”. คุณพ่ออธิการหลังจากได้ยินผลการวิเคราะห์แล้วก็ตัดสินใจแต่งตั้งคณะตรวจสอบทางเทวศาสตร์เพื่อให้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
 
การประกอบพิธีกรรมน่าแปลก

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ มีการประกอบพิธีขับไล่ผีต่อพระรูปแม่พระนี้เพื่อขับไล่ปีศาจออกจากพระรูป และในตอนเที่ยงพระรูปถูกนำไปที่โพลีคลินิก "Agostino Gemelli" เพื่อนำกลับไปที่ Civitavecchia ในบ่ายวันเดียวกันคุณพ่ออธิการถูกบังคับให้ประกาศว่าท่านไม่พบกลอุบายในพระรูป มีแต่เพียงโครงสร้างที่กระชับและเต็มรูปแบบ


ผลการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ผลการวิเคราะห์ดีเอ็นเอมาถึง: เป็นเลือดมนุษย์และมีลักษณะเป็นของผู้ชาย ข่าวดังกล่าวถูกลงในหนังสือพิมพ์และข่าวโทรทัศน์ และวันที่ 1 มีนาคม 1997 ท่านพระสังฆราชแห่ง Civitavecchia ไปที่นครวาติกันเพื่อพบกับพระคาร์ดินัลโจเซฟ รัทซิงเกอร์ (ซึ่งต่อมาเป็นพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ) ข่าวนี้หาได้เป็นที่สนใจของทางสังฆมณฑลเท่านั้นโฆษกของ สันตะสำนักเรียกร้องให้มีการเตือนและสวดภาวนาต่อพระแม่มารีย์ ในครั้งแรกมีการคาดเดาว่าอีกไม่นานคงจะมีการประกาศว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก
 

ทาง CODACONS ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีนี้เป็นเพียงการทำลายความเชื่อของศาสนาคาทอลิก ในขณะที่ทางสถานีโทรทัศน์อิตาลี Antiplagio ตั้งทฤษฎีว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันใช้วิธีบางอย่างในการทำให้รูปปั้นมีน้ำตาไหลเป็นเลือด คุณพ่อปาโบลและนายฟาบิโอ เกรกอรีตอบโต้ด้วยความสงบและความมั่นใจในเหตุการณ์ เนื่องจากผลการวิเคราะห์นั้นสนับสนุนความจริงของกรณีนี้
 
วันที่ 7 มีนาคม ทางตำรวจได้เข้ามาตรวจสอบบ้านและสอบสวนทุกคนที่เกี่ยวข้องในครอบครัวของ Gregori และของญาติและเพื่อนบางคน แต่ก็ไม่พบสิ่งที่ผิดปกติ ตำรวจเปิดเผยผลการสอบสวนต่อสาธารณะโดยยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนตัวรูปปั้น  เพราะมีการทำเครื่องหมายไว้ที่พระรูปก่อนที่จะเกิดน้ำตาไหล ทำให้รูปถ่ายและวิดีโอของการร้องไห้เป็นเลือดทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เช้าวันที่ 15 มีนาคม นำรูปปั้นออกจากตู้เก็บพระรูป
มีคนสามคนอยู่กับพระสังฆราชในห้องที่เก็บรักษาพระรูป พระสังฆราชถือพระรูปไว้ในมือและสังเกตุเห็นว่าพระรูปเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา. น้ำตาที่หลั่งออกมาเป็นเลือดเริ่มไหลออกมาจากดวงตาและค่อยๆไปถึงลำคอ. พระสังฆราชอุทานขึ้นเมื่อท่านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณพ่ออธิการประจำโบสถ์เล่าว่า
 
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมมองดูท่านพระสังฆราช ตัวของท่านโอนเอนและซีด แล้วท่านก็วิ่งออกไปข้างนอกด้วยนิ้วที่เต็มไปด้วยเลือด ขอความช่วยเหลือจากแพทย์
 
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด:ท่านตกใจแทบตาย ท่านทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ รู้สึกว่าอาจตายจากความตกใจนี้ ท่านตกใจเป็นอย่างมากซึ่งทำให้รู้สึกอ่อนแอแม้กระทั่งในวันต่อมา. 
 
โดยสัญชาตญาณ ท่านวอนขอพระแม่มารีย์สำหรับการกลับใจใหม่และการอภัยบาป"

นักข่าวคาทอลิกที่มีชื่อเสียงวิตโตริโอ เมสโตริ ได้เล่าเรื่องการเป็นประจักษ์พยานของเขา เกี่ยวกับท่านพระสังฆราชแห่ง Civitavecchia, พระสังฆราช Mons Girólamo Grilli, เขากล่าวว่า "พระสังฆราชได้หลุดพ้นจากความสงสัยที่รุนแรงที่สุดและยอมรับในอัศจรรย์ครั้งนี้”
 
"เมื่อเช้าวันที่ 15 มีนาคม 1995 ขณะถือรูปปั้นน้ำตาก็เริ่มหลั่งออกมาเป็นเลือดจากดวงตาของรูปปั้นซึ่งไหลไปถึงที่คอของพระรูป”
 
บันทึกประจำวันของพระสังฆราชเป็นหลักฐานถึงความไม่เชื่อของท่านที่ทำให้ท่านรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ในตอนแรกที่ท่านได้รับทราบข่าวเกี่ยวกับพระรูปที่หลั่งน้ำตาออกมา ท่านมีปฏิกิริยาโดยการขว้างเอกสารรายงานของคุณพ่ออธิการประจำตำบลลงในถังขยะ ท่านสั่งห้ามพระสงฆ์ไม่ให้ไปที่บ้านของครอบครัว Gregori เพราะท่านรู้สึกไม่ไว้วางใจ
 
"พระคุณเจ้า Grillo ไม่ได้ซ่อนความสงสัยไม่ไว้วางใจในตอนแรกของท่านต่อนายฟาบิโอ ที่เป็นช่างไฟฟ้า”
 
หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ท่านอ่านรายงานครั้งแรกจากคุณพ่ออธิการ พระสังฆราชพูดว่า "ผมบอกพระสงฆ์ประจำตำบลให้ใช้ค้อนทำลายพระรูปเล็กๆนั้นเสีย”.
 
วิตโตริโอ เองก็ยังจำคำอุทานของพระสังฆราชผู้เป็นเพื่อนได้ดี:
 
“โอ พระแม่องค์น้อยที่น่าสงสาร นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
 
จากบันทึกของพระสังฆราช Girolamo Grillo เขียนในวันครบรอบปีที่สิบ:
 
"ผมถูกบังคับให้ยอมจำนนต่อความลึกลับนี้. แต่ความเชื่อมั่นของผมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นประโยชน์ที่ได้รับตามมา. พระวรสารทำให้เรามีเกณฑ์ในการตัดสิน: เราจะรู้จักต้นไม้ได้จากผลของมัน ต้นไม้ที่ดีย่อมให้ผลดี. และที่นี่ผลไม้ทางจิตวิญญาณนั้นไม่ธรรมดาเลย "
 
 **************

ข้อเท็จจริงหลังจากนั้น
 
ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ นำความสับสนมาให้แก่ผู้มีความเชื่อ เพราะรายงานที่ได้จากห้องปฏิบัติการนั้นย่อมเป็นจริง และรายงานว่าเป็นเลือดของมนุษย์ แต่เป็นของผู้ชาย
 
ปฏิกิริยาของคนส่วนใหญ่ย่อมรู้สึกคัดค้านอยู่ในใจ เพราะแม่พระควรมีเลือดของผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย
 
แต่นักเทวศาสตร์ให้ข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำให้รบกวนจิตใจ
 
ในทางตรงกันข้ามพระโลหิตที่ไถ่บาปมนุษย์นั้น สำหรับคริสตชนคือพระโลหิตที่พระเยซูเจ้าทรงหลั่งออกมาไม่ใช่โลหิตของพระนางมารีย์ผู้ซึ่งได้รับการไถ่กู้โดยพระคริสต์เช่นเดียวกับเรา.
 
ดังนั้นในกรณีนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่มั่นคงระหว่างพระมารดาและองค์พระบุตรพระผู้ทรงช่วยให้รอด และก็แสดงให้เห็นว่าพระนางมารีย์ทรงเป็นผู้ร่วมการไถ่กู้พร้อมกับพระเยซูเจ้า.
 
พระรูปเริ่มมีการหลั่งน้ำตาออกมาเป็นเลือดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันฉลอง “แม่พระและนักบุญยอแซฟถวายพระเยซูกุมารในพระวิหารและเป็นวันฉลองการถือศีลชำระของพระนางมารีย์พรหมจารีย์".
 
“วันฉลองที่มีมาแต่ดั้งเดิมนี้ เป็นการฉลองพระแม่มารีย์ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดในฐานะมารดาของพระคริสตเจ้าผู้เสด็จมารับความทุกข์ทรมานของพระเจ้า และพระนางมารีย์ยังทรงเป็นแบบอย่างของมนุษย์ใหม่ของพระเจ้าที่ถูกทดสอบอย่างต่อเนื่องในความเชื่อและความหวังที่มีต่อความทุกข์ทรมานและการถูกกดขี่ข่มเหง" (Paul VI).
 
นี่คือสาเหตุที่โลหิตของพระคริสต์ได้หลั่งน้ำตาออกมาจากพระรูปของแม่พระ

*******************************

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น