วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ชีวประวัติของบุญราศี เอเลนา ไอเอลโล



Blessed Elena Aiello (1895-1961)
 
ซิสเตอร์เอเลนา เป็นผู้ก่อตั้งคณะ the Minim Tertiaries of the Passion of Our Lord Jesus Christ เธอได้เป็นผู้ร่วมทุกข์กับพระคริสต์ เธอเป็นที่รู้จักกันดีในอิตาลีและยุโรป มีผู้คนมาเยี่ยมเธอมากมายเช่นเดียวกับคุณพ่อปีโอ และเทเรซา นิวแมน
 
ชีวิตวัยเยาว์
 
เอเลนา ไอเอลโล เกิดที่เมือง Montalto Uffugo (Consenza),อิตาลี เมื่อ 10 เมษายน 1895 มารดาของเธอได้สวดขอต่อพระเจ้าให้ได้ลูกผู้หญิงคนหนึ่ง และถ้าได้รับก็จะให้ชื่อว่า เอเลนา เพื่อเป็นที่ระลึกถึงจักรพรรดินี นักบุญ เอเลนา และจะถวายลูกแด่ไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า
 
เอเลนาเติบโตในครอบครัวคาทอลิกที่มีความศรัทธามาก ครอบครัวไม่เคยประพฤติสิ่งที่เป็นกระแสทางโลกเลย แต่มารดาของเธอเสียชีวิตเมื่อเธอยังเด็ก และบิดาที่เป็นหม้ายก็เป็นช่างตัดเสื้อต้องเลี้ยงดูลูกถึง 8 คน ลูกคนหนึ่งเสียชีวิตเมื่ออายุเพียงหนึ่งขวบ
 
ในวัยเยาว์ เอเลนามีชีวิตที่ศรัทธาและทำกิจใช้โทษบาป ความโน้มเอียงในการทำกิจใช้โทษบาปของเธอเริ่มเมื่ออายุ 9 ปี หลังจากได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกและได้รับการฟื้นฟูจิตใจ(แต่เดิมเรียกว่าการเข้าเงียบ) เอเลนาและเพื่อนๆเด็กหญิงได้รับอนุญาตให้สวมเข็มขัดสำหรับการใช้โทษบาป ในระหว่างทางเพื่อไปรับเข็มขัดนั้น เกิดอุบัติเหตุกับเอเลนาทำให้ฟันหน้าของเธอหักไปสองซี่ เธอเก็บฟันไว้ในผ้าเช็ดหน้าและรีบไปรับเข็มขัดทันทีถึงแม้เธอจะไม่เลือดไหลและรู้สึกเจ็บปวดก็ตาม
 
อีกครั้งหนึ่ง เอเลนาดื่มน้ำในขณะที่หัวเราะทำให้สำลักน้ำ เป็นเหตุให้เธอไออย่างต่อเนื่องนานถึงหนึ่งปีครึ่งยกเว้นในตอนกลางคืนเท่านั้น และยังทำให้เสียงของเธออ่อนลงด้วย เธอได้รับการรักษาจากแพทย์แต่กลับทำให้เธอเจ็บปวดมากขึ้น เธอจึงสวดภาวนาวอนขอต่อแม่พระแห่งปอมเปอี โดยให้สัญญาว่าเธอจะบวชเป็นซิสเตอร์ถ้าหากได้รับการรักษาให้หาย ในตอนกลางคืน แม่พระได้ปรากฏต่อเธอและยืนยันกับเธอว่าเธอจะหายจากอาการที่เป็นอยู่ และก็เป็นเช่นนั้น
 
ความเมตตาต่อผู้อื่น
 
ความปรารถนาที่จะเป็นซิสเตอร์จึงเป็นเป้าหมายในชีวิตของเธอ แต่บิดายังไม่ยินยอมเพราะในเวลานั้นมีเหตุการณ์ไม่ปกติระหว่างประเทศที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งในปี 1915 ดังนั้นในช่วงเวลานั้น เอเลนาจึงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการทำกิจเมตตาช่วยเหลือผู้ลี้ภัย , นักโทษ , ช่วยพยาบาลคนป่วยและคนใกล้ตาย การกระทำนี้เป็นอันตรายที่อาจทำให้เธอติดเชื้อโรคและเจ็บป่วยได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของหนทางแห่งความเมตตาของเธอ เมื่อมีคนใกล้ตาย เอเลนาจะรีบไปอยู่ข้างเตียงคนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ปฏิเสธไม่ยอมรับศีลเจิมก่อนตายจากพระสงฆ์ วันหนึ่งเอเลนาพบชายคนหนึ่งชื่อ อเลสซานโดร เขาเป็นฟรีเมซอน (ลัทธิที่เป็นปฏิปักษ์กับพระศาสนจักร) เอเลนาพยายามโน้มน้าวจิตใจของเขาให้ยอมรับศีลมหาสนิทแต่เขายืนกรานอย่างแข็งขันว่าจะไม่รับเด็ดขาด เอเลนายังคงวิงวอนเขาต่อไป เขากลับเอาถ้วยแก้วขว้างใส่เธอ ถ้วยแก้วโดนคอของเอเลนา เธอเอาผ้าปิดคอที่มีเลือดออกไว้และพูดกับเขาว่า “วิญญาณของเขากำลังแขวนอยู่บนขอบเหวของนรก” และเธอจะไม่ออกจากห้องไปจนกว่าเขาจะเรียกให้พระสงฆ์มาหาเขา ในที่สุดฟรีเมซอนคนนี้ก็รู้สึกประทับใจในความพยายามของเอเลนา เขาสัญญาว่าจะรับศีลมหาสนิทด้วยข้อแม้ข้อหนึ่งคือ เอเลนาต้องมาช่วยดูแลเขาทุกวัน แล้วเขาก็สำนึกผิดกลับใจและรับศีลมหาสนิทจากพระสงฆ์ เอเลนาช่วยเหลือดูแลเขาเป็นเวลา 3 เดือน แล้วเขาก็ตายไปอย่างคริสตชนที่ศรัทธายอมรับความเจ็บปวดเป็นการใช้โทษบาป
 
ความเมตตาของเอเลนาเป็นที่เลื่องลือไป เธอจะถูกเรียกให้ไปอยู่ข้างเตียงคนป่วยใกล้ตายที่เป็นฟรีเมซอนและมีความกลัวที่จะไปอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า เอเลนาช่วยเหลือคนเหล่านี้ในการเตรียมจิตใจ ทำให้เขาสำนึกในบาปความผิด ช่วยให้เขาสารภาพบาปต่อพระสงฆ์ และรับศีลมหาสนิท
 
ปรารถนาที่จะเป็นซิสเตอร์
 
ในที่สุดบิดาของเอเลนา ก็อนุญาตให้เธอไปเป็นซิสเตอร์ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องเข้าคณะ the Sisters of the Most Precious Blood เท่านั้น ก่อนที่เธอจะเข้าคณะนี้ เธอบอกว่าเธอคงจะไม่อยู่คณะนี้ตลอดไปแน่เพราะพระเจ้ามีแผนการอื่นสำหรับเธอ ขณะที่อยู่ในคณะ เอเลนาได้รับมอบหมายให้ดูแลโปสตูรันท์ 16 คน แต่แล้วเอเลนาก็มีอาการเจ็บปวดที่ลำไส้และเจ็บปวดที่ไหล่ซ้าย  เนื้อที่ไหล่ของเธอกลายเป็นของแข็งสีดำและต้องได้รับการผ่าตัดโดยไม่มีการให้ยาสลบ มีแต่เพียงไม้กางเขนที่เธอถือไว้ในมือและการมองดูรูปภาพแม่พระมหาทุกข์เท่านั้น แพทย์ทำการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกจากไหล่ แต่ได้ตัดเอาเส้นประสาทบางส่วนออกไปด้วย ทำให้ขากรรไกรของเธอค้างและมีอาการอาเจียนนานถึง 40 วัน
 
ทั้งๆที่เจ็บปวดมากมาย เอเลนาก็ตั้งใจที่จะเข้าพิธีรับเสื้อ แต่เมื่อคุณพ่ออธิการเห็นสภาพของเธอ ท่านก็ไม่สามารถอนุญาตให้เธอทำได้ และในที่สุดเอเลนาก็ถูกขอร้องให้ออกจากคอนแวนท์กลับไปที่บ้านของเธอ เอเลนาเขียนในสมุดบันทึกของเธอว่า พระเยซูเจ้าทรงขอให้เธอยอมรับแผนการณ์ของพระองค์โดยการลาออกจากคณธและรับแบกกางเขนของพระองค์ เอเลนาออกจากคอนแวนท์ทั้งน้ำตา ทุกคนที่รู้จักเธอต่างยกย่องในนิสัยที่ดีมีเมตตาและยอมรับความทุกข์เป็นการใช้โทษบาปแทนผู้อื่นของเธอ
 
ไหล่ของเอเลนามีอาการแย่ลง และแพทย์บอกว่าการผ่าตัดครั้งใหม่ได้เตรียมพร้อมแล้ว แพทย์แนะนำบิดาของเอเลนาให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากทางคณะซิสเตอร์ แต่เอเลนาขอให้บิดาอย่าทำเช่นนั้นเพราะเธอหวังว่าจะได้กลับเข้าคณะอีก
 
อาการป่วยที่ไหล่ของเอเลนาไม่ดีขึ้นเลย และความฝันที่จะได้กลับเข้าคณะก็เลือนรางออกไป ในตอนนี้แม้แต่อาหารเหลว เธอก็รับประทานไม่ได้ แพทย์วินิจฉัยแล้วบอกว่าเธอเป็นมะเร็งที่ท้องและบอกเธอว่าอาการนี้รักษาไม่ได้และเธอจะต้องตายในไม่ช้า เอเลนาพูดกับแพทย์ว่า “คุณหมอคะ เป็นคุณหมอเองที่จะต้องตาย ดิฉันจะไม่ตายเพราะโรคนี้ เพราะนักบุญริต้าจะช่วยรักษาดิฉันค่ะ”
 
รับทนความทุกข์เพื่อบาปของโลก
 
ระหว่างทางกลับบ้าน เอเลนาได้หยุดที่โบสถ์ที่สร้างอุทิศแด่นักบุญริต้า เธอสวดขอให้ท่านนักบุญช่วยรักษา ในสมุดบันทึกของเอเลนา เธอเขียนไว้ว่า เธอเห็นเปลวไฟระยิบระยับอยู่รอบๆพระรูปของนักบุญ เอเลนาถามลูกพี่ลูกน้องที่อยู่กับเธอว่า ใครที่อยู่ใกล้กับเขา ลูกพี่ลูกน้องตอบว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย และในคืนนั้นเอเลนาฝันเห็นนักบุญริต้าซึ่งบอกกับเธอว่า ท่านต้องการให้มีกิจศรัทธากระทำขึ้นที่ Montalto ในนามของท่านเพื่อรื้อฟื้นความเชื่อของประชาชน (นักบุญทั้งหลายไม่ได้ต้องการเกียรติเพื่อตนเองแต่เพื่อพระเกียรติของพระเจ้า) เอเลนาจึงเริ่มสวดภาวนาจำศีลเป็นเวลาสามวัน และนักบุญริต้าก็บอกเธออีกว่าให้ทำซ้ำเป็นครั้งที่สองแล้วแผลที่ไหล่ก็จะหายไปแต่ความเจ็บปวดที่ไหล่ของเธอจะยังคงอยู่ เพราะเธอจะต้องรับความทุกข์สำหรับบาปของโลก พระสงฆ์ฝ่ายวิญญาณของเอเลนาได้ตรวจสอบเรื่องราวนี้อย่างละเอียดและทำเป็นเอกสารเอาไว้
 
เอเลนาปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อนักบุญริต้า เธอยังมีประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเธอได้บอกแก่พระสงฆ์ฝ่ายวิญญาณว่า พระเยซูเจ้าทรงรบเร้าเธอบ่อยๆให้ยอมรับวิถีแห่งความทุกข์ใหม่ๆ พระองค์ตรัสว่า “ลูกกำลังจะได้รับความทุกข์ แต่อย่ากลัวไปเลย ความทุกข์ของลูกจะไม่ทำอันตรายใดๆ แต่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตาท่านั้น เราจะให้ลูกมีประสบการณ์ความเศร้าของเราในวันศุกร์ ลูกจะเป็นหนึ่งเดียวกับเรามากขึ้น” ในฤดูหนาวปีนั้น เอเลนาเข้าร่วมการฟื้นฟูจิตใจของพระสงฆ์คณะ Passionist ซึ่งดึงดูดเธอให้ใกล้ชิดกับพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า เอเลนาเปิดเผยคำแนะนำของพระเยซูเจ้าและนักบุญริต้าแก่พระสงฆ์ที่ให้การฟื้นฟูจิตใจนี้และท่านได้ส่งเสริมและให้กำลังใจแก่เธอ
 
เมื่อข่าวเกี่ยวกับเอเลนาแพร่กระจายไป ประชาชนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์และมีความเห็นที่แตกต่างกันไป มีเหตุการณ์ที่พิเศษเกิดขึ้นกับเอเลนาที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักต่อประชาชนไปไกลมากขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายปีจนถึงเวลาที่เธอเสียชีวิต
 
ได้รับมงกุฏหนามและรอยแผล
 
วันศุกร์แรกของเดือนมีนาคม เวลาประมาณบ่ายสามโมง เอเลนานอนอยูบนเตียงด้วยอาการเจ็บที่ไหล่ซ้าย เธอรำพึงบทภาวนาต่อนักบุญฟรังซิสแห่งเปาลา พระเยซูเจ้าทรงปรากฏมาในอาภรณ์สีขาวมีทรงมงกุฎหนาม พระเยซูเจ้าทรงถอดมงกุฎหนามและนำมาวางไว้ที่ศีรษะของเอเลนา แล้วศีรษะของเธอก็มีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก พระเยซูเจ้าตรัสขอให้เธอยอมรับความทุกข์เพื่อการกลับใจของคนบาปโดยเฉพาะบาปความไม่บริสุทธิ์ที่มีอยู่มากมาย พระองค์ประสงค์ให้เธอเป็นผู้ร่วมทุกข์เพื่อบรรเทาพระยุติธรรมของพระเจ้า
 
วันหนึ่ง คนรับใช้ของครอบครัวชื่อโรซารี่กำลังจะออกจากบ้าน แต่ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญดังมาจากห้องของเอเลนา เธอรีบไปที่ห้องและเห็นเอเลนาเต็มไปด้วยเลือด เธอคิดว่ามีคนที่มาฆ่าเอเลนา จึงวิ่งไปบอกคนอื่นๆ พวกเขามาเห็นเลือดมากมายแต่เอเลนายังมีชีวิตอยู่ จึงเรียกแพทย์และพระสงฆ์หลายองค์มา แพทย์พยายามหยุดเลือด แต่เลือดก็ยังคงไหลจากศีรษะ เมื่อเวลาเลยบ่ายสามโมงไปแล้ว ทันใดทุกอย่างก็หยุดลง
 
ทุกคนประหลาดใจและตกใจกลัวจนตัวสั่น วันศุกร์ต่อมาแพทย์มาที่บ้านอีกและได้เห็นเหตุการณ์แบบเดิม พระสงฆ์ฝ่ายวิญญาณของเอเลนาคิดว่าความศรัทธาบางอย่างครอบงำจิตใจของเอเลนา จึงห้ามเอเลนาอ่านหน้งสือที่เกี่ยวกับพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าทุกชนิด แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังคงเกิดขึ้น มารดาของแพทย์ที่มาดูแลเอเลนาถูกขอร้องให้มาเยี่ยม เธอได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดจากหน้าผากของเอเลนา แล้วห่อผ้าเช็ดหน้าไว้เพราะคิดว่าอาจมีเชื้อโรคติดอยู่และนำไปให้แพทย์ผู้เป็นลูกชายของเธอตรวจสอบ เมื่อแพทย์เปิดผ้าเช็ดหน้าออก ปรากฏว่าผ้าเช็ดหน้าสะอาดหมดจดไม่มีเลือดอยู่เลย แพทย์ซึ่งเป็นผู้ไม่มีความเชื่อได้กลับใจและขอรับศีลล้างบาปเป็นคริสตชน

พระเยซูเจ้ายังทรงให้เครื่องหมายที่ปรากฏแก่ตาบนร่างกายของเอเลนา โดยทำให้เกิดรอยแผลแห่งพระมหาทรมานของพระองค์บนร่างของเอเลนา พระองค์ตรัสในวันศุกร์ว่า “ลูกจะเป็นเหมือนกับเราด้วย เพราะลูกจะเป็นผู้ร่วมทุกข์ของเราเพื่อคนบาปจำนวนมาก และลูกจะบรรเทาพระยุติธรรมของพระบิดาของเราเพื่อความรอดของพวกเขา”
 
เมื่อถึงเวลาห้าโมงเช้า พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์มาตรัสกับเธอว่า “ลูกเอ๋ย จงดูเถิดว่าเราต้องทนทุกข์ทรมานมากสักเพียงไร เราได้หลั่งโลหิตของเราเพื่อโลกและทุกสิ่งก็ยังไปสู่ความพินาศ ไม่มีใครใส่ใจในอาชญากรรมจำนวนนับไม่ถ้วนของพวกเขา ดูเถิดเราต้องรับความทุกข์อย่างขมขื่นสำหรับความผิดต่างๆและต้องรับการดูหมิ่นจากคนชั่วไร้ศีลธรรมมากมาย” เอเลนาตอบว่า “พระเยซูเจ้า ลูกจะทำอะไรได้คะ? ถ้าพระองค์ไม่ประจักษ์มาด้วยพระองค์เอง ก็จะไม่มีใครเชื่อลูก” พระเยซูเจ้าตรัสตอบ “ มีคนบาปจำนวนมากมายซึ่งความดื้นรั้นของพวกเขาเป็นสาเหตุแห่งพระยุติธรรมของเรา แต่ลูกเอ๋ย อย่าท้อแท้ไปเลย เพราะลูกจะเห็นเราอีกในเวลาประมาณ 1.00 ย จงบอกพระสงฆ์ฝ่ายวิญญาณของลูกว่า เราจะให้เครื่องหมายแก่เขาในวันศุกร์เวลา 2.00 น.”
 
ในที่สุดพระสงฆ์ฝ่ายวิญญาณของเอเลนาก็เชื่อมั่นว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดกับเอเลนานั้นเป็นสิ่งที่มาจากพระเยซูเจ้า

วันศุกร์ต่อมา นอกเหนือจากบาดแผลที่มือและเท้าแล้ว เอเลนาได้รับรอยแผลที่สีข้างอีก ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ตอนบ่าย เอเลนาได้รับประสบการณ์พระมหาทรมานตั้งแต่เวลา 6.00 น เอเลนาสามารถลุกจากเตียงได้และรับประสบการณ์พระมหาทรมานตามลำดับของพระเยซูเจ้า ต่อหน้าพระสงฆ์ฝ่ายวิญญาณ สิ่งนี้คือเครื่องหมายที่พระเยซูเจ้าทรงสัญญาให้ท่านไว้ เมื่อมีผู้นำพระรูปพระเยซูเจ้าเข้ามาในห้อง เอเลนาก็หมดสติไปและเลือดไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของเธอ เลือดบางส่วนไหลไปบนศีรษะของ ไอด้า น้องสาวของเอเลนา ไอด้าบ่นว่าพระเยซูเจ้าทรงประทานกางเขนที่หนักมากให้แก่ครอบครัวของเธอ เพราะมีคนมากมายมาที่บ้านและทำให้บ้านไม่มีความสงบสุข คืนต่อมาไอด้าฝันเห็นพระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่า อย่าบ่นอีกต่อไป เพราะเอเลนารับความทุกข์เพื่อคนบาปจำนวนมาก ไอด้าจึงเข้าใจในภารกิจของเอเลนา และเธอได้เชื่อฟังพระประสงค์ของพระเยซูเจ้า
 
อย่างไรก็ดี ประสบการณ์พิเศษเหล่านี้ของเอเลนาก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นผู้ก่อตั้งคณะใหม่ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ดูประสบการณ์ของเอเลนาในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์และในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ เอเลนายังทำงานของเธอต่อไปและรับผิดชอบในเรื่องต่างๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
 
ประชาชนมากมายเริ่มพูดกันถึง “แม่ชีผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่หลั่งเหงื่อเป็นโลหิต” และขอให้เอเลนาช่วยเหลือในความเดือดร้อนหรือการตัดสินใจทางธุรกิจบางอย่างของพวกเขา หลายครั้งที่เอเลนาทำนายว่าความเจ็บปวดที่ไหล่ซ้ายของเธอจะหายไป เธอบอกับพระสงฆ์ว่า “พระเยซูเจ้าทรงปรากฏแก่ดิฉัน ตรัสว่า “ลูกสาวสุดที่รักของเรา ลูกต้องการสบายดีหรือเจ็บปวดต่อไป?” ดิฉันตอบว่า “พระเยซูเจ้า ลูกรู้สึกดีที่ได้ร่วมทุกข์กับพระองค์ แต่ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” พระเยซูเจ้าตรัส “ถ้าเช่นนั้น ลูกจะหายดี แต่เราต้องการให้ลูกรู้ว่า ทุกวันศุกร์ เราจะให้ลูกอยู่ในสภาพทนทุกข์ เพื่อที่ลูกจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเรา” แล้วพระองค์ก็หายไป
 
วันหนึ่ง เธอได้รับการช่วยเหลือด้วยการดึงหนอนออกจากแผลที่ไหล่ซ้าย เธอทนความเจ็บปวดอย่างมากด้วยความเชื่อต่อนักบุญริต้า ว่าจะช่วยรักษาเธอ แต่คนรอบข้างไม่เชื่อว่าท่านนักบุญจะช่วยเธอ
 
ในคืนนั้น นักบุญริต้าได้บอกกับเธอในความฝันว่า เธอจะหายในวันต่อไปเวลาบ่ายสามโมง วันรุ่งขึ้น เอเลนาอ่อนแอลงอย่างมากจนต้องให้คนช่วยพยุงให้นั่งบนโซฟาเบื้องหน้ารูปปั้นนักบุญริต้า โดยมีบางคนอยู่ด้วย ผู้คนเริ่มสวดสายประคำและมีคนได้ยินเอเลนาสวดด้วยเสียงที่แหบจนแทบไม่ได้ยินว่า
 
“จากวิหารแห่งความเมตตาของท่าน โอ้นักบุญแห่งสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และองค์อุปถัมภ์กรณีที่สิ้นหวัง โปรดเพ่งสายตาอันเมตตาของท่านมายังข้าพเจ้าและมองดูความเจ็บปวดที่ท่วมท้นข้าพเจ้า, ความโชคร้ายและความทุกข์ยากที่ยึดข้าพเจ้าไว้ เพราะไม่มีใครที่ข้าพเจ้าพึ่งได้อีกแล้ว ความทุกข์เป็นที่มาของน้ำตาของข้าพเจ้า แม้คำภาวนาก็กำลังจะตายไปจากริมฝีปากของข้าพเจ้า ความหวังที่เหลือเพียงอย่างเดียวของข้าพเจ้า โอ ท่านนักบุญริต้า ผู้ทรงพลังและสง่ารุ่งโรจน์ โปรดมาช่วยข้าพเจ้าด้วย ในความจำเป็นอันยิ่งใหญ่นี้ ข้าพเจ้าวอนขอพระหรรษทานจากท่าน ท่านได้สัญญากับข้าพเจ้า ท่านต้องให้ข้าพเจ้า ท่านต้องไม่ยอมให้ข้าพเจ้าถูกเรียกว่าเป็นคนโกหก”
 
และในทันใดนั้น เอเลนาก็ร้องออกมาว่า “ฉันหายดีแล้ว ฉันหายดีแล้ว” เอเลนาแสดงไหล่ที่หายดีของเธอให้กับผู้คนที่ยังสงสัย แผลหายไปหมดแล้วเหลือแต่เพียงร่องรอยเท่านั้น นักบุญริต้ารักษาสัญญาของท่าน แผลได้หายไปแต่ความเจ็บปวดยังคงอยู่เพื่อความรอดของวิญญาณมากมาย
 
ก่อตั้งคณะ
 
เอเลนาได้พบกับสตรีผู้หนึ่งชื่อ จิเกีย Gigia ซึ่งมาหาเอเลนาเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับกระแสเรียกของเธอ เพราะเธอก็ถูกขอให้ออกจากคณะเพราะความเจ็บป่วยด้วยเช่นกัน ทั้งสองพูดคุยและใกล้ชิดกันมากขึ้น เอเลนาตระหนักว่า จิเกีย ถูกส่งมาเพื่อช่วยเธอในกิจการแห่งเมตตาธรรมที่จะเริ่มต้นขึ้น ในตอนแรก จิเกียสงสัยว่าเอเลนาจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร
 
นักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออร์
 
วันหนึ่งเอเลนานั่งรถบัสเพื่อไปหาบ้านที่จะใช้ในการทำงาน เธอวอนขอต่อนักบุญองค์อุปถัมทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู มีซิสเตอร์คาร์เมไลท์คนหนึ่งนั่งอยู่ในรถบัสเดินในรถและพบกับเอเลนา ทั้งสองได้สนทนากัน ซิสเตอร์คาร์เมไลท์ถามเอเลนาว่ากำลังหาบ้านอยู่ใช่ไหม เอเลนาคิดว่าซิสเตอร์คนนั้นคงอยู่แถวนั้น เอเลนาจูบมือของซิสเตอร์และบอกว่าการหาบ้านนั้นช่วงยากเสียจริง ซิสเตอร์ยิ้มอย่างอ่อนหวานและกล่าวว่า “มาสิ ฉันจะพาเธอไปดูบ้าน”
 
เมื่อออกจากรถ ซิสเตอร์ก็ชี้ไปที่บ้านหนังหนึ่งและบอกว่า ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของบ้านจะขายในราคา 260 ลีร์ แต่เธอจะได้รับเงินเพียง 250 ลีร์จากเธอ เมื่อเอเลนามองกลับมาที่ซิสเตอร์ ก็สังเกตว่ามีแสงสว่างเรืองรองอยู่รอบๆซิสเตอร์ผู้นั้นและยังเห็นช่อดอกกุหลาบเรียงซ้อนจากไม้กางเขนที่ซิสเตอร์ถืออยู่ แล้วทันใดซิสเตอร์ก็ค่อยๆหายไป เอเลนาจึงรู้ว่าเธอกำลังพูดอยู่กับนักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออร์ เอเลนาไปหาหญิงเจ้าของบ้าน และทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่นักบุญเทเรซาบอกกับเธอ เอเลนาเล่าเรื่องนี้ให้กับพระอัครสังฆราช และท่านแนะนำให้เอเลนาตั้งชื่อบ้านตามชื่อของนักบุญเทเรซา

เอเลนาและจิเกียได้มาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ และเริ่มต้นภารกิจด้วยการสอนคำสอนแก่เด็กๆที่ไม่มีใครเหลียวแลในบริเวณนั้น วันหนึ่งเอเลนาไปที่โบสถ์ของโปรแตสแตนท์และเทศน์ให้ประชาชนหันกลับมาสู่พระศาสนจักรคาทอลิก ความกระตือรือร้นของพวกเขาช่วยทำให้คู่สมรสที่ไม่ถูกต้องได้แต่งงานอย่างถูกต้อง ช่วยให้เด็กได้รับศีลล้างบาปและช่วยคนชราได้รับศีลมหาสนิท พวกเขายังได้ทำให้หัวขโมยคนหนึ่งที่มีฉายาว่า “Ciccio the Thief” ได้กลับใจ มีชีวิตที่ดีและเสียชีวิตในศีลในพรของพระเจ้าในวัยหนุ่ม

กิจการของพวกเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนต้องมองหาบ้านหลังใหม่ ความทุกข์ทรมานของซิสเตอร์เอเลนาก็ยังคงอยู่ ซิสเตอร์จิเกียต้องปิดประตูล็อคห้องให้ซิสเตอร์เอเลนานอนอยู่ที่ชั้นบนของบ้านขณะที่ประสบการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับเธอ แม้แต่ตำรวจที่ไปขอร้องต่อพระอัครสังฆราชก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ มีคำแนะนำให้บรรดาซิสเตอร์หาบ้านที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะบ้านนั้นทรุดโทรมลงและมีเฟอร์นิเจอร์เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
 
ในเวลานั้น บรรดาซิสเตอร์สงสัยว่ากิจการแห่งเมตตาธรรมชนิดใด้ที่พวกเขาควรเริ่มทำ วันหนึ่งชายคนหนึ่งมาที่บ้านพร้อมกับเด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่ง เขาขอให้ซิสเตอร์ช่วยจ่ายค่าเช้าบ้านของเด็กหญิงและครอบครัว วันต่อมาซิสเตอร์เอเลนาฝันเห็นชายใส่ชุดสีดำพร้อมกับเด็กหญิงสามคนมองมาที่บรรดาซิสเตอร์ เมื่อเขาเห็นเอเลนา เขาก็ขอให้เธอรับเด็กหญิงเหล่านั้นไว้ เข้าวันต่อมา เอเลานาก็เห็นชายและเด็กหญิงสามคนเหมือนในความฝันและมาขอความช่วยเหลือ เอเลนาโอบกอดเด็กหญิงเหล่านั้นไว้และพามาที่บ้าน ทีละเล็กทีละน้อยก็มีเด็กหญิงพิการอื่นๆอีกหลายคนมาที่บ้าน มองซิเยอร์แสดงความพอใจมากในกิจการนี้และได้อวยพรให้ในนามของพระอัครสังฆราช บรรดาซิสเตอร์ได้ให้การศึกษาแก่เด็กหญิงและสอนอาชีพให้ บัดนี้การรับเด็กหญิงกำพร้าและพิการจึงเป็นเป้าหมายหลักของคณะ มีสุภาพสตรีหลายคนมาสมัครเข้าคณะนี้ ซึ่งมีจิตตารมณ์ของนักบุญฟรังซิสแห่งเปาลา เพื่อปลอบบรรเทาพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า คณะใหม่นี้มีชื่อว่า “Sister Minims of the Passion of Our Lord.”
 
นักบุญเทเรซามาเยี่ยมบ่อยๆ
 
นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูเคยมาเยี่ยมบ้านนี้หลายครั้งในเวลาที่ซิสเตอร์กำลังสวดภาวนาหรือกำลังทำงานเย็บจักร ครั้งหนึ่งซิสเตอร์เอเลนาลงมาที่ชั้นล่างและร้องตะโกนว่า “เราเห็นนักบุญคาร์เมลไลท์”
 
มีอัศจรรย์ความช่วยเหลือจากสวรรค์มากมายเกิดขึ้น บางครั้งที่บ้านไม่มีเงินซื้ออาหาร ซิสเตอร์เอเลนาสั่งให้ซิสเตอร์ไปสวดภาวนาที่โบสถ์น้อยของบ้าน และปรากฏเงิน 50 ลีร์อยู่ในการ์ดบทภาวนาสองอัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อทางบ้านไม่มีเงินเพียงพอในการใช้จ่าย นอกจากนี้ก็ยังมีอัศจรรย์อีกมากมายที่แสดงให้เห็นถึงการที่พระเจ้าทรงปกป้องบรรดาเด็กกำพร้า ซิสเตอร์ และหมู่คณะ

ในที่สุดพระศาสนจักรก็ได้รับรองคณะของซิสเตอร์เอเลนา ถึงแม้จะมีอุปสรรคจากการกล่าวหาว่า มีอำนาจมืดที่ครอบงำเธอ หรือเหตุการณ์ที่เกิดกับเธอเป็นเรื่องหลอกลวง เพื่อทำให้เธอและคณะเสียชื่อเสียงก็ตาม พระอัครสังฆราชได้เข้ามาแทรกแซงและตัดสินกรณีของเธอว่าเป็นเรื่องจริง
 
วาระสุดท้ายของชีวิต
 
ในสายพระเนตรของพระเจ้าภารกิจของเอเลนาสำเร็จลุล่วงแล้ว ดังนั้นซิสเตอร์เอเลน่าจึงถูกเรียกไปหาพระเจ้าในวันที่ 19 มิถุนายน 2504 เธอเสียชีวิตในยามรุ่งสางขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับ วิญญาณของเธอไปพบกับเจ้าบ่าวศักดิ์สิทธิ์ของเธอ เธอถือตะเกียงที่บรรจุน้ำมันเต็มเปี่ยมไปด้วย ในขณะที่มีชีวิตเธอได้ยินคำพูดมากกว่าหนึ่งครั้ง:“ ถึงแม้จากหลุมฝังศพของฉัน ฉันก็จะส่งเสียงโต้แย้งกับทุกคนที่กล้าต่อต้านเป้าหมายแห่งเมตตากิจของหมู่คณะของฉัน”
 
เธอปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ เหมือนเด็กน้อย เธอพูดจาด้วยความจริงใจและดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย เธอเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับนักบุญแคทเธอรีน เธอจะพันสายประคำไว้รอบข้อมือของเธอเสมอ เพื่อที่จะสามารถสวดภาวนาได้ในเวลาว่าง เธอดูแลโบสถ์ให้สวยงามเสมอด้วยดอกไม้สดเพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเอาใจใส่ สิ่งเดียวที่เธอกลัวและรังเกียจคือความชั่วร้ายของบาปที่เธอต่อสู้ทุกที่ที่เธอพบ เธอมีความเห็นอกเห็นใจดุจมารดาต่อคนบาป และสวดภาวนาเพื่อความรอดของพวกเขาเสมอแม้ในระหว่างชั่วโมงทำงาน มีการสวดสายประคำและบทภาวนาอื่น ๆแม้ในขณะที่ทุกคนทำงานของพวกเขา เธออยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลา
 
นอกจากนี้ซิสเตอร์เอเลน่ายังทำพลีกรรมอดอาหารทุกวันด้วยการกินผักและน้ำ แต่เธอก็สามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันของเธอตามกฏระเบียบของคณะได้อย่างเข้มแข็งแม้จะมีความทุกข์ทรมาน
 
ชีวิตของเธออาจสรุปได้ดังนี้ – เธอมักจะห่วงใยในความเป็นอยู่ของผู้อื่นทั้งฝ่ายจิตใจและร่างกายมากกว่าสนใจในเรื่องของเธอเองหรือแม้กระทั่งพระเจ้าของเธอด้วย เพราะหลายครั้งที่มีคนได้ยินเสียงเธอร้องออกมาว่า:“ข้าแต่พระเจ้าของลูก ความทรมานจากมงกุฏหนามบนศีรษะของลูกนั้นช่างเบานัก! เมื่อเทียบกับความทรมานที่พระองค์ทรงได้รับ!”
 
บุญราศีเอเลนา ไอเอลโล ช่วยภาวนาเพื่อพวกเราด้วยเทอญ

************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น