ผู้น่าเคารพบาร์โทโลมิว เฮาส์เฮาเชอร์ ท่านเป็นพระสงฆ์ เกิดในปี 1613 ที่ เมืองออกส์เบิรก์, เยอรมนี (ยุคสมัยที่ชาวยุโรปเริ่มตั้งรกรากในอเมริกา) ครอบครัวของท่านยากจน แต่ศรัทธาในพระเจ้า ในวัยเด็กท่านต้องการเป็นพระสงฆ์และทางพ่อแม่ของท่านก็สนับสนุน จึงส่งท่านไปโรงเรียน ท่านได้เรียนในโรงเรียนของคณะเยซูอิตสำหรับเด็กยากจนซึ่งให้เรียนฟรี ต่อมาด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เป็นเยซูอิต ท่านได้เข้าเรียนที่นูเรมเบิรก์ และสำเร็จปริญญาเอกด้านปรัชญา ท่านเรียนเทวศาสตร์ต่อและได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ ท่านทำงานเพื่อพระเจ้าและประชาชนด้วยความกระตือรือร้น ท่านก่อตั้งคณะ Bartholomites (United Brethren) และคณะนี้ได้รับการรับรองจากพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 (Pope Innocent XI.) แต่ท่านเฮาส์เฮาเชอร์ไม่ได้รับรู้ในเรื่องนี้เพราะท่านเสียชีวิตไปก่อนแล้ว
ท่านเฮาส์เฮาเชอร์เสียชีวิตในปี 1658
สำหรับงานเขียนของท่าน ท่านได้เขียนบันทึกจากนิมิตที่ท่านเห็นและได้ให้อัตถธิบายเกี่ยวกับพระธรรมวิวรณ์
ท่านได้เห็นนิมิตของพระเยซูเจ้าและแม่พระ และเห็นไม้กางเขนบนท้องฟ้าซึ่งทำให้คิดว่านี่เป็นสัญญาณเตือนท่านถึงการทดลองและความทุกข์ที่ท่านจะต้องเผชิญในชีวิต
นอกจากนี้ ท่านยังได้รับพระพรในการรักษาโรคและการสวดภาวนา ท่านสวดภาวนาอย่างลึกซึ้งและเป็นเวลานาน ท่านเคยรักษาเด็กชายที่ขาพิการให้หาย
ท่านเฮาส์เฮาเชอร์ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ต่างๆในนิมิตที่ท่านเห็น ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับในพระธรรมวิวรณ์ของนักบุญยอห์น ท่านยังได้เขียนความคิดเห็นของท่านและตีความหมายของนิมิตไว้ในหนังสือด้วย
นิมิตแรกที่ท่านเห็นเกี่ยวกับสัตว์ห้าชนิด
"ในบรรดาสัตว์เหล่านั้น มีสัตว์ป่าหลายชนิด มีม้าตัวผู้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความไม่บริสุทธิ์ มีหมูที่กำลังคลุกอยู่ในโคลนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมึนเมาและความตะกละ ; และมีสัตว์ร้ายที่เราไม่คุ้นเคย"
ในนิมิตเดียวกันนี้ ท่านเห็นดินแดนแห่งหนึ่งที่เรียกว่าดินแดนของพระสงฆ์ที่ซึ่งมีต้นไม้ที่ถูกรดน้ำด้วยธารน้ำ แต่ในฤดูร้อน “ต้นไม้ไม่มีใบหรือผลเลย” ในความคิดเห็นของผู้เขียนคนหนึ่ง ต้นไม้นี้หมายถึง สมาชิกในพระสงฆ์คาทอลิกที่ “ไม่คู่ควร” กับ “สถานภาพของพระสงฆ์คาทอลิก“ พวกเขาเป็นผู้ไม่ทำงานอภิบาลอีกต่อไป สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับพระสงฆ์มาตลอดในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร และปัจจุบันนี้ก็มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นมิใช่หรือ?
ท่านเฮาส์เฮาเชอร์ได้เห็นนิมิตของพระศาสนจักรยุคต่างๆทั้งสิ้น 7 ยุค ยุคหนึ่งที่น่าสนใจคือพระศาสนจักรในยุคที่ห้า ซึ่งอาจหมายถึงพระศาสนจักรในยุคของเรานี้เอง
ท่านเฮาส์เฮาเชอร์เขียนว่า “ยุคนี้ เป็นยุคแห่งปัญหา , ความเปล่าเปลี่ยว , ความอัปยศอดสูและความยากจนสำหรับพระศาสนจักร อาจกล่าวได้ว่าเป็นสถานการณ์ของการชำระล้างให้บริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์ทรงร่อนข้าวสาลีของพระองค์ และทรงเก็บกวาดอีกครั้งโดยใช้สงคราม , การจราจล, การกันดารอาหาร, การเกิดโรคระบาดและภัยพิบัติอื่นๆ พระเยซูเจ้าจะทรงอนุญาติให้ความทุกข์ทรมานเกิดขึ้นกับพระศาสนจักรลาติน โดยอาศัยความยากลำบากและความยากจน, โดยอาศัยคนนอกศาสนาและคริสตชนที่ไม่ดี ผู้ซึ่งจะล่อลวงพระสังฆราชและบรรดาสมาชิกในอารามมากมายให้ละทิ้งพระศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีฐานะร่ำรวยกว่า พระศาสนจักรยุคนี้จะทนทุกข์ทรมาน จะมีความหลงผิดทางความเชื่อ และภัยพิบัติต่างๆ จะได้เห็นการรบสู้กันระหว่างอาณาจักรกับอาณาจักร จะมีการแตกแยกกันเองในประเทศ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยพระยุติธรรมของพระเจ้า เพราะบาปของโลกที่สะสมเป็นจำนวนมาก แต่พระเมตตาของพระองค์ยังทรงรอคอยการชดเชยใช้โทษบาปของเรา”
“พระศาสนจักรในยุคนี้สอดคล้องกับยุคที่ห้าของโลกโบราณในพระคัมภีร์พระธรรมเดิม ตั้งแต่สมัยกษัตริย์โซโลมอนไปจนถึงการถูกเนรเทศไปยังบาบิโลน และชาวอิสราเอลหันไปกราบไหว้รูปเคารพ มีแต่เผ่ายูดาห์และเบ็นจามินเท่านั้นที่ยังคงสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญา ดังนั้นในเวลาดังกล่าวนี้ คริสตชนคาทอลิกส่วนใหญ่ได้ละทิ้งพระศาสนจักรที่แท้จริง จะมีคริสตชนที่ดีจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่รักษาความเชื่อไว้ได้”
"พระศาสนจักรยุคที่ห้าสอดคล้องกับการเนรมิตสร้างโลกวันที่ 5 ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างนกในอากาศ ปลาในทะเล และสัตว์ต่างๆบนแผ่นดิน และยังสอดคล้องกับพระธรรมวิวรณ์ว่าด้วยเรื่องจดหมายที่ส่งไปยังพระศาสนจักรที่เมืองซาร์ดิส
นิมิตเหล่านี้ทำให้ท่านเฮาส์เฮาเชอร์รู้สึกเป็นทุกข์เศร้าใจมาก แต่ท่านก็ยังคงได้เห็นนิมิตอย่างต่อเนื่อง
"ในช่วงเวลานี้มนุษย์จำนวนมากจะละเมิดเสรีภาพแห่งจิตสำนึกของตนที่พระเจ้าทรงประทานให้พวกเขา คนเหล่านี้คือผู้ที่นักบุญยูดาพูดถึง “คนพวกนี้กลับพูดคำหยาบต่อทุกสิ่งที่พวกเขาไม่รู้และพวกเขากระทำการทุจริตต่อทุกสิ่งที่พวกเขารู้โดยสัญชาติญาณเหมือนสัตว์เดียรรัจฉาน...พวกเขาจะเยาะเย้ยชีวิตที่เรียบง่ายของคริสตชน พวกเขาจะเรียกมันว่าความเขลาและไร้สาระ แต่พวกเขาจะนับถือความรู้สูงสุด และนับถือความเชี่ยวชาญของกฎหมาย ส่วนการยอมรับจริยธรรม พระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์และหลักคำสอนทางศาสนาจะถูกครอบคลุมด้วยข้อสงสัยที่ไร้สติและการโต้แย้งที่ซับซ้อน "
สาส์นสำหรับโลกลงท้ายด้วยด้วยการเตือนว่าถ้ามนุษย์ไม่แก้ไขวิถีชีวิตของพวกเขา
"นี่คือเวลาที่ชั่วร้าย ศตวรรษที่เต็มไปด้วยอันตรายและภัยพิบัติ มีความหลงผิดไปทุกหนแห่งและผู้ติดตามความหลงผิดนี้มีอำนาจอยู่เกือบทุกที่ ... แต่พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้เกิดความชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่ต่อพระศาสนจักรของพระองค์ พวกเฮเรติกนอกรีตและทรราชจะเข้ามาในทันใดโดยไม่คาดคิด พวกเขาจะบุกเข้าไปในโบสถ์ ... พวกเขาจะเข้าสู่อิตาลีและทำลายกรุงโรม พวกเขาจะเผาโบสถ์และทำลายทุกสิ่ง”
ท่านเฮาส์เฮาเชอร์เขียนต่อไปว่า “คนทั้งโลกจะจมลงสู่ความยากจน”
สิ้นสุดของยุคที่ห้าของพระศาสนจักร มนุษยชาติไม่มีทางเลือกมากนักผู้มีความเชื่อคาทอลิกที่แท้จริงเหลืออยู่ไม่มากบนโลกในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็จะเป็นการมาถึงของ "ยุคที่หกของพระศาสนจักร" ซึ่งเริ่มต้นด้วย "พระสันตะปาปาผู้ศักดิ์สิทธิ์และมหาราชผู้ทรงอำนาจ" และสิ้นสุดด้วย "การกำเนิดของแอนตี้ไครส์" สอดคล้องกับพระธรรมวิวรณ์ 10
ยุคที่หกเริ่มต้นในปี 2038
“มหาราชผู้ทรงอำนาจถูกส่งมาโดยพระเจ้า พระองค์จะทรงก่อตั้งสาธารณรัฐขึ้น พระองค์จะทรงให้ทุกสิ่งขึ้นกับพระองค์ และจะทรงปกป้องพระศาสนจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของชาวโมฮัมหมัดจะแตกสลาย และมหาราชจะทรงครองราชย์ทั้งในตะวันออกและตะวันตก ทุกชาติจะหันมานมัสการพระเจ้าในพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก จะมีนักบุญและนักปราชญ์มากมายในพระศาสนจักรบนโลก สันติภาพจะดำรงอยู่ทั่วโลกเพราะพระเจ้าทรงจับซาตานขังไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่งจนกว่าจะถึงวันของบุตรแห่งความพินาศ ไม่มีใครสามารถบิดเบือนพระวาจาของพระเจ้าได้ เพราะในยุคที่หกนี้จะมีสังคายนาครั้งใหญ่ที่ใหญ่กว่าครั้งใดๆทั้งสิ้น ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า , ด้วยอำนาจของมหาราช, ด้วยอำนาจของพระสันตะปาปา และด้วยความร่วมมือของเจ้าชาย(พระสังฆราช)ทุกองค์ผู้มีใจศรัทธา ลัทธิเฮเรติกนอกรีตและลัทธิไม่เชื่อในพระเจ้าจะสูญหายไปจากโลก การประชุมสังคายนาจะกำหนดความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ และทุกคนจะยอมรับและเชื่อ มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของโลกจะสร้างกฏหมายใหม่สำหรับมนุษยชาติยุคใหม่ซึ่งจะทำให้โลกยุคใหม่เริ่มต้นขึ้น โลกที่จะมีแกะแต่เพียงฝูงเดียวและนายชุมพาบาลแต่เพียงผู้เดียว สันติภาพจะดำรงอยู่เป็นเวลายาวนานซึ่งจะเป็นเกียรติแด่พระเจ้าในสรวงสวรรค์และบนแผ่นดิน”
สันติภาพจะคงอยู่เป็นเวลานาน แล้วมนุษย์ก็จะลืมไปว่าบาปคือต้นเหตุของภัยพิบัติต่างๆที่เป็นมา มนุษย์หลงลืมพระเจ้า และพระเจ้าจะทรงลงโทษ โลกจะรกร้างว่างเปล่าโดยสงคราม พระศาสนจักรและพระสงฆ์จะต้องเสียภาษี คริสตชนคาทอลิกจะถูกกดขี่โดยเฮเรติกคนนอกศาสนา
บางทีเราอาจเห็นว่า สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วในทุกยุคทุกสมัยในประวัติศาสตร์
แล้วท่านเฮาส์เฮาเชอร์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจ:
“ศาสนาอิสลาม [Mohametanism ลัทธิโมฮัมหมัด] จะสูญพันธุ์ และจากชาวมุสลิมคนสุดท้ายที่เหลืออยู่นั้น”–
“แอนตี้ไครส์จะเกิดมา”
“ไม่มีอะไรที่จะชัดเจนกว่านี้ได้อีกแล้ว ท่านเฮาส์เฮาเชอร์ได้ให้ภาพยุคสมัยของแอนตี้ไครส์ ผู้เป็นศัตรูของพระคริสต์ 'โดยความเย่อหยิ่งของเขา - ความไม่บริสุทธิ์ – ความลุ่มหลงในราคะตัณหา – การกดขี่ข่มเหงคริสตชนอย่างโหดเหี้ยม คริสตชนแทบจะไม่สามารถหาที่หลบภัยในอาณาจักรของแอนตี้ไครส์ได้ และจะต้องหลบซ่อนอยู่ในถ้ำและหุบเขา" ในท้ายที่สุดก็จะมีหมายสำคัญอันน่าอัศจรรย์ใจตามมา
ยุคที่เจ็ดของพระศาสนจักรเริ่มต้นจาก การกำเนิดของแอนตี้ไครส์ไปจนถึงวันอวสานของโลก
******************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น