ปี 2017 เป็นปีครบรอบหลายเหตุการณ์สำคัญๆ เราคาทอลิกฉลองครบรอบ 100 ปีการประจักษ์ของ แม่พระที่ฟาติมา แต่ 2017 ยังเป็นปีครบรอบ 100 ปี ระบอบคอมมิวนิสต์ที่ได้สังหาร ทรมาน หรือ เบียดเบียนคนมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก 2017 ยังเป็นปีครบรอบ 500 ปี ของมาร์ติน ลูเธอร์ ที่นำ การหลงผิดครั้งใหญ่มาสู่คริสตชนบางกลุ่ม และนำการแบ่งแยกมาสู่คริสตศาสนิกชน และยังเป็นปีครบ รอบ 300 ปี ของการเกิดลัทธิฟรีเมซอนที่นำความเสียหายใหญ่หลวงมาสู่สังคมมนุษย์อีกด้วย
เมื่อวันที่ 15 กย 2017 พระคาร์ดินัลซาราห์ สมณมนตรี สมณะกระทรวงพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ ได้สรุป สถานะการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดีว่า “ในโลกปัจจุบันที่มีการลุกลามของเชื้อร้ายของ ‘การก่อการร้าย ที่ไม่นำพาถึงพระเจ้า’ การรุกเพิ่มขึ้นของ ‘โลกียนิยม’ และ ‘วัฒนธรรมแห่งความตาย’ ที่คืบคลานเข้า มา...ถ้าความกระตือรือร้นในการเผยแผ่ธรรมของพระศาสนจักรลดถอยลงในยุคสมัยของเรา ถ้าการ เป็นประจักษ์พยานของคริสตชนกลับอ่อนแรงลงในโลกที่ไร้พระเจ้ายิ่งทียิ่งมากขึ้นนี้ ถ้าโลกเราได้ พยายามลืมพระเจ้า บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุเพราะว่า เราผู้ที่ควรเป็น ‘แสงสว่างส่องโลก’ (มธ 5:14) ยัง ไม่ได้เข้าถึงจุดสูงสุดที่กิจกรรมของพระศาสนจักรต้องมุ่งสู่นั้นอย่างเท่าที่ควร หรือยังไม่ได้ตักตวงอย่าง ลึกซึ้งเพียงพอจากท่อธารอันเป็นแหล่งที่มาของพลังทั้งหมดของพระศาสนจักร จนสามารถนำทุกคนให้ ดื่มด่ำกับ ‘น้ำพุที่นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์’ (ยน 4:14)” “วัฒนธรรมแห่งความตาย” ที่พระคาร์ดินัลเอ่ยถึงเป็น คำจากพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ในพระสมณสาสน์ “ข่าวดีเรื่องชีวิต มนุษย์” (Evangelium Vitae) ซึ่งมิได้หมายถึงเพียง การุญฆาต และการทำแท้ง เท่านั้น แต่ยังหมายถึง การก่อการร้าย สงคราม การประหารชีวิต การคุมกำเนิด การใช้ถุงยางอนามัย การทำหมัน โคลนนิ่ง กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ และการหย่าร้าง สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การไม่เห็นคุณค่าของชีวิต และการทำลายชีวิต จึงเป็นสาเหตุของการทวีคูณของบาปและความผิดนานับประการในสังคมปัจจุบัน ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าพระคาร์ดินัลได้สรุปปัญหาโลกปัจจุบันได้อย่างชัดเจนและครอบคลุม พร้อมเสนอ ทางออกด้วยการภาวนาในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งยุคสมัยใดมีวิกฤติที่พระศาสนจักรต้องเผชิญมาก เท่าใด คริสตชนคาทอลิกก็ยิ่งต้องภาวนาเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น
ย้อนกลับไปในปี 1208 ขณะที่นักบุญดอมินิกกำลังต่อสู้กับความหลงผิดของลัทธิอัลบีเจนส์อยู่ ลัทธินี้ เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าที่เพียงแต่ปรากฏองค์เป็นมนุษย์เท่านั้น และไม่เชื่อในการกลับคืนชีพของ ร่างกายเพราะกายถูกสร้างโดยปีศาจ นักบุญดอมินิกได้ภาวนาและร้องทุกข์เรื่องการต่อสู้กับลัทธิอัลบี เจนส์อย่างไม่สู้ได้ผลต่อแม่พระ พระนางได้ประจักษ์มาสอนการสวดสายประคำ ตรัสว่า “เหตุที่เธอ ทำงานไม่สู้ได้ผล เพราะเธอกำลังทำงานบนดินแห้งที่ขาดน้ำค้างแห่งพระหรรษทาน เวลานี้พระเจ้าทรง ประสงค์ที่จะหลั่ง ‘ฝนอันอุดม’ แห่งสายประคำ จงเทศน์สอนการสวดสายประคำ ซึ่งเป็น ‘บทเพลงสดุดีของแม่’ ประกอบด้วย บทวันทามารีย์ 150 บท และบทข้าแต่พระบิดา 15 บท แล้วเธอจะได้รับผลเก็บ เกี่ยวอย่างอุดมสมบูรณ์”
ต่อมาในปี 1460 ขณะที่พระศาสนจักรกำลังต่อสู้กับความหลงผิดของลัทธิฟลาเจลลันเตส พระเยซูเจ้า ได้ทรงประจักษ์แก่ บุญราศี อาลัน นักบวชดอมินิกันคนหนึ่ง ทรงสอนเขาว่า “เธอได้ตรึงกางเขนเรามา ก่อนด้วยบาปของเธอ...เวลานี้เธอกำลังตรึงกางเขนเราอีกครั้ง เพราะเธอมีความรู้ความเข้าใจมากมาย เกี่ยวกับสายประคำของพระแม่ แต่เธอไม่นำพาที่จะเทศน์สอนเรื่องสายประคำ” พระแม่เองก็ได้ทรง ประจักษ์แก่บุญราศี อาลัน สอนว่า “เวลาที่เธอสวดสายประคำ เทวทูตทั้งหลายต่างชื่นชมยินดี พระตรี เอกภาพทรงพอพระทัย และแม่เองมีความปลาบปลื้มมากกว่าที่เธอจะนึกคิดได้ ต่อจากบูชามิสซา ไม่มี อะไรในพระศาสนจักรที่แม่รักเท่ากับสายประคำ”
ต่อมาในปี 1569 ขณะที่พระศาสนจักรกำลังต่อสู้กับลัทธิอัลเบเจนเซส สมเด็จพระสันตะปาปานักบุญปี โอที่ 5 ผู้ทรงเป็นนักบวชดอมินิกันคนหนึ่ง ได้ทรงออกสารตราพระสันตะปาปา “Consueverunt Romani Pontifices” เพื่อเผยแผ่การสวดสายประคำทั่วพระศาสนจักร พระองค์ทรงอ้างอิงถึงนักบุญดอมินิกผู้ได้ เผยแผ่วิธีสวดภาวนาแบบง่ายๆ นี้ ที่ทุกคนปฏิบัติได้ และที่สร้างศรัทธาอย่างครบครัน สายประคำเป็น เพลงสดุดีของพระนางพรหมจารีมารีย์ ที่พระนางได้รับการสดุดีด้วยคำทักทายของเทวทูตซ้ำ 150 จบ ตามแบบจำนวนบทสดุดีของดาวิด พร้อมกับบทภาวนาของพระเยซูเจ้า และการรำพึงชีวิตทั้งหมดของ พระองค์ จึงนับเป็นวิธีภาวนาที่สมบูรณ์แบบ สารตราฉบับนี้ทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 5 ได้รับ ขนานนามว่า “พระสันตะปาปาแห่งสายประคำ” การออกสารตราฉบับนี้เกิดขึ้นหลังการเหตุการณ์ วิกฤติครั้งประวัติศาสตร์ของคริสตศาสนา เมื่อปี 1571 ได้เกิด “สงครามเลปันโต” เป็นสงครามทาง ทะเลครั้งใหญ่ระหว่างกองทัพเรือเตอร์กที่ต้องการยึดครองยุโรปกับกองทัพเรือ “พันธมิตรศักดิ์สิทธิ์” ที่ พระสันตะปาปาทรงเป็นผู้รวมพล พระองค์ทรงขอให้ยุโรปทั้งหมดสวดสายประคำ และที่โรมมีการ ภาวนาต่อแม่พระตลอด 40 ชั่วโมงของการทำศึก แม้แสนยานุภาพของกองทัพเตอร์กจะทิ้งห่างฝ่าย พันธมิตร เรือเกือบ 300 ลำของข้าศึกได้ถูกฝ่ายพันธมิตรทำลายหรือยึดได้ ชัยชนะในวันที่ 7 ตุลาคม ทำให้พระสันตะปาปาทรงประกาศวันนั้นเป็นวันฉลอง “พระมารดาแห่งชัยชนะ” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นวัน ฉลอง “พระมารดาแห่งสายประคำ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระสันตะปาปาอีกหลายพระองค์ได้ตรัสสอนเกี่ยวกับสายประคำ โดย เฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ผู้ได้รับขนามนาม “พระสันตะปาปาแห่งสายประคำ” เช่นกัน พระองค์สอนเกี่ยวกับสายประคำในพระสมณสาสน์ 11 ฉบับ พระสมณสาสน์ “October Mense” สอนว่า “เราเชื่อได้ว่าพระราชินีแห่งสวรรค์ทรงประทานประสิทธิผลพิเศษสำหรับการวอนขอด้วยการ สวดสายประคำ เหตุด้วยเป็นพระนางเองที่ทรงให้กระแสรับสั่งและคำแนะนำแก่นักบุญดอมินิกให้ริเริ่ม และเผยแผ่กิจศรัทธาสายประคำ…การสวดลูกประคำเป็นการถวายเกียรติแด่แม่พระที่มีพลานุภาพ สูงสุดและเป็นที่โปรดปรานมากที่สุดของพระแม่” สมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 8 ทรงสอนเกี่ยว กับสายประคำในสารตราพระสันตะปาปาถึง 19 ฉบับ ใน “Dominici gregis” พระองค์ทรงสอนว่าความศรัทธาต่อแม่พระเป็นรากฐานสำหรับพระศาสนจักร และทรงยืนยันข้อความเชื่อในความเป็น พรหมจรรย์ของพระนาง สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 10 ทรงย้ำเช่นเดียวกันว่า “สายประคำเป็นการ ภาวนาที่งดงามที่สุด อุดมด้วยพระพรสูงสุด ในบรรดาบทภาวนาทั้งหลาย สายประคำเป็นที่โปรดปราน ต่อดวงหทัยของพระนางมากที่สุด” สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ตรัสว่า “สายประคำเป็นอาวุธทรงอานุภาพในการขับไล่ปีศาจและไม่ตกในบาป…อย่าให้วันใดผ่านไปโดยไม่สวดสายประคำ ส่วน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ได้ตรัสสอนว่า “อาศัยสายประคำสัตรบุรุษได้รับพระหรรษทาน อันอุดมจากพระหัตถ์ของพระมารดาของพระผู้ไถ่”
นอกจากนี้แล้ว มีนักบุญมากมายที่พูดสอนเกี่ยวกับความสำคัญอย่างยิ่งของการสวดลูกประคำ นักบุญ ฟรังซิสเดอซาร์ลส์กล่าวว่า “การสวดสายประคำเป็นวิธีภาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” นักบุญคุณพ่อปีโอสอน ว่า “บางคนโง่เขลาขนาดคิดว่าตนสามารถผ่านชีวิตนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือของแม่พระ จงรักพระแม่และสวดสายประคำ เพราะว่าสายประคำเป็นอาวุธในการต่อสู้กับความชั่วร้ายในโลก ปัจจุบัน”
มาถึงปี 1917 การประจักษ์ของแม่พระครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ได้เกิดขึ้นที่ฟาติมา พระนาง เสด็จมาสนทนากับเด็กเลี้ยงแกะสามคน รวม 6 ครั้ง ในครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ก่อนเกิด “มหัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์” ต่อหน้ามหาชนมากกว่า 70,000 คน บทสนทนาสั้นๆ แต่มีความหมายมาก ระหว่างพระแม่กับลูซีอาก็เกิดขึ้น นี่คือบันทึกของลูซีอา:
ลูซีอา: “พระแม่ทรงประสงค์อะไรจากลูก?”
พระแม่: “แม่อยากให้มีวัดที่สร้างถวายแด่แม่ แม่คือพระมารดาแห่งสายประคำ จงสวดลูก ประคำทุกวันต่อไป สงครามจะยุติลงในไม่ช้า ทหารจะได้กลับบ้าน”
ลูซีอา: “ลูกมีหลายอย่างที่จะทูลขอพระแม่ ให้รักษาบรรดาคนป่วย และให้บรรดาคนบาป กลับใจ”
พระแม่: “บางคนใช่ บางคนไม่ มนุษย์ต้องแก้ไขชีวิตของตน และขอโทษสำหรับบาปของ ตน พวกเขาต้องไม่ทำเคืองพระทัยพระเจ้าของเราอีกต่อไป พระองค์ทรงถูกล่วงเกินมากเกิน ไปแล้ว”
ลูซีอา: “พระแม่ทรงประสงค์อะไรจากลูกอีก?”
พระแม่: “ไม่ แม่ไม่ต้องการอะไรอื่นจากลูกอีกแล้ว”
ลูซีอา: “ลูกก็ไม่ประสงค์อะไรอื่นจากพระแม่อีกแล้วเช่นกัน”
เหมือนคราวที่พระแม่ประจักษ์ที่ลูร์ดส์ พระนางได้ทรงเปิดเผยตนเป็น “พระมารดาปฏิสนธินิรมล” ที่ ฟาติมาพระนางได้ทรงเปิดเผยตนเป็น “พระมารดาแห่งสายประคำ” ความปรารถนาของพระแม่คือ “จง สวดลูกประคำทุกวันต่อไป… และอย่าทำเคืองพระทัยพระเจ้าของเราอีกต่อไป… แม่ไม่ต้องการอะไรอื่น จากลูกอีกแล้ว”
ในภายหลัง ซิสเตอร์ลูชีอาได้อธิบายว่าการสวดลูกประคำทุกวันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่โลกจะผดุง สันติภาพไว้ได้ ซิสเตอร์กล่าวว่า “ในยุคสมัยของเราอันเป็นห้วงสุดท้ายนี้ พระนางพรหมจารีย์ผู้ศักดิ์ สิทธ์ยิ่งได้อำนวยประสิทธิผลอันพิเศษต่อการสวดสายประคำ จนถึงขั้นที่ว่า ไม่มีปัญหาใด ไม่ว่ายากสัก ปานไหน ไม่ว่าฝ่ายโลกหรือฝ่ายจิต ในชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน หรือในครอบครัว ในสังคมโลก หรือ ในหมู่คณะนักบวช หรือแม้กระทั่งในระดับประเทศและประชาคมโลก ไม่มีปัญหาใดที่ไม่สามารถแก้ ด้วยสายประคำ”
ในวันนี้ที่สังคมของเราเผชิญวิกฤติมากมาย เราคาทอลิกจึงยิ่งต้องสวดลูกประคำวันทุกวันต่อไป รำลึก เสมอในคำขอร้องของพระมาดาของพระเจ้าที่ตรัสว่า “จงสวดลูกประคำทุกวันต่อไป”
********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น