เหมือนกับประกาศกโยนาห์
เมื่อพระเจ้าทรงสั่งให้ประกาศกโยนาห์ไปที่เมืองนีนาเวห์และประกาศแก่ชาวเมืองว่า อีก 40 วันพระเจ้าจะทรงทำลายเมืองนี้เสีย ทำให้ชาวเมืองกลับใจใช้โทษบาปของตน และพระเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทำลายเมืองนั้น เช่นเดียวกันพระเยซูเจ้าทรงสั่งให้นักบุญวินเซนต์ เฟอร์เรอร์ไปทั่วยุโรปประกาศถึงวันสิ้นพิภพที่จะมาถึงในไม่ช้า ทำให้ตนต่างศาสนาพากันกลับใจเป็นจำนวนมาก และคริสตชนที่มีใจเฉื่อยชากลับมีใจร้อนรนนับไม่ถ้วน
เมื่อพระสันตะปาปาใช้คำว่า "Angel of the Apocalypse" (ทูตสวรรค์แห่งพระวิวรณ์) ผู้คนในยุคกลางก็จะรู้ทันทีว่าพระองค์กำลังตรัสถึงนักบุญ วินเซนต์ เฟอร์เรอร์ St. Vincent Ferrer
นักบุญ วินเซนต์ เฟอร์เรอร์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกาศพระวรสารที่มีอำนาจและโน้มน้าวใจผู้คน ท่านเทศน์สอนเกี่ยวกับการพิพากษาครั้งสุดท้ายและการมาถึงของแอนตี้ไครส์บ่อยๆ ด้วยเหตุนี้พระสันตะปาปาปิอุสที่ 2 จึงเรียกท่านว่า “ทูตสวรรค์แห่งพระวิวรณ์” ซึ่งกำลังโบยบินไปทุกแห่งหนเพื่อประกาศวันแห่งการพิพากษาครั้งสุดท้ายแก่มนุษย์ผู้อาศัยอยู่บนโลก
ปี 2019 นี้เป็นการครบรอบ 600 ปีของการเสียชีวิตของ นักบุญ วินเซนต์ เฟอร์เรอร์ ท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1419 แต่คำพูดของท่านยังคงทรงพลังและมีความจำเป็นเหมือนเช่นเคย ก่อนที่เราจะอ่านคำเทศนาของท่านเกี่ยวกับการพิพากษาครั้งสุดท้าย, แอนตี้ไครส์และวันสิ้นพิภพ ให้เรามาทำความเข้าใจก่อนว่าท่านมีอิทธิพลไปทั่วยุโรปได้อย่างไร ท่านเริ่มต้นการเทศน์สอนที่สเปนเป็นที่แรก
ท่านเป็นพระสงฆ์ในคณะโดมินิกัน ท่านเทศน์สอนเป็นภาษาลาตินซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของท่าน แต่ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ทุกคนที่ฟังท่านพูดก็สามารถเข้าใจคำพูดทุกคำได้อย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่าท่านเทศนาในภาษาของพวกเขาเอง คนบาปหลายพันคนแม้กระทั่งคนที่ใจแข็งกระด้างที่สุดพากันกลับใจ เมื่อกษัตริย์ชาวแขกมัวร์ที่อยากรู้อยากเห็นได้มาพบกับนักบุญวินเซนต์ และหลังจากที่ท่านนักบุญเทศนาเพียงสามตอนเท่านั้น แขกมัวร์ 8,000 คนก็กลับใจและต้องการรับศีลล้างบาป ประมาณการว่าท่านทำให้ชาวยิว 25,000 คนในเมืองหนึ่งของสเปนกลับใจมาเป็นคริสตชน และคริสตชนชาวยุโรปที่มีใจเฉื่อยชากลับมีใจศรัทธาร้อนรนขึ้นจำนวนมากมาย
ในการประชุมของพระศาสนจักรครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง นักบุญวินเซนต์เทศนาทำให้รับไบชาวยิว 14 ใน 16 คนกลับใจในวันนั้น ในเมืองโทเลโด ของสเปน ชาวยิวที่กลับใจมาเป็นคริสตชนได้เปลี่ยนศาลาธรรมของพวกเขาให้เป็นโบสถ์ในพระนามของพระมารดามารีย์
เช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลูกของหญิงม่ายกลับฟื้นคืนชีพ นักบุญวินเซนต์, โดยอาศัยอำนาจของพระเยซูเจ้า, ได้หยุดขบวนศพของชายคนหนึ่งและท่านสั่งให้ชายที่เสียชีวิตฟื้นขึ้นมาใหม่ ตามประวัติของท่าน, นักบุญวินเซนต์ได้ทำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพถึง 28 คน แม้แต่เมื่อนักบุญวินเซนต์เสียชีวิตไปแล้ว ได้มีผู้นำศพคนตาย (สองครั้งด้วยกัน) มาวางบนหลุมศพของท่านนักบุญ ศพนั้นก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ด้วย
ท่านรักษาความเจ็บป่วยฝ่ายร่างกายของผู้คนนับไม่ถ้วน ท่านทำอัศจรรย์ในพระนามของพระเยซูเจ้าและด้วยเครื่องหมายกางเขน ครั้งหนึ่งท่านรักษาแขนขาของเด็กชายผู้พิการคนหนึ่ง ต่อมาเด็กชายคนนั้นได้กลายเป็นพระสังฆราชแห่งบาร์เซโลนา
ในการฟังสารภาพบาป, ท่านสามารถอ่านจิตใจของผู้สารภาพบาปได้ ท่านบอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ในอนาคต เช่น ท่านบอกหญิงคนหนึ่งว่า ลูกชายตัวน้อยของเธอจะได้เป็นพระสันตะปาปาและจะเป็นผู้ที่แต่งตั้งท่านให้เป็นนักบุญ – ซึ่งได้เกิดขึ้นจริง เมื่อเด็กชายผู้นั้นกลายเป็นพระสันตะปาปาคาล์ลิกส์ตุสที่ 2 Callixtus III (ร่างของนักบุญวินเซนต์ถูกพบว่าไม่เน่าเปื่อย) ก่อนหน้านี้ในช่วงที่เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงในบาร์เซโลนา นักบุญวินเซนต์ประกาศว่ามีเรือสองลำที่บรรทุกข้าวโพดเต็มลำกำลังเดินทางมา แต่ไม่มีใครเชื่อ ในวันเดียวกันนั้นเอง เรือก็มาถึงตามที่ท่านทำนายไว้
นักบุญวินเซนต์มีความศรัทธาต่อพระมารดามารีย์เป็นอย่างมาก ท่านเทศนาและแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของสายประคำที่ทำให้เกิดการกลับใจอย่างทันที
ต่อไปนี้เป็นบางส่วนของคำเทศน์สอนของนักบุญวินเซนต์ เฟอร์เรอร์
การเทศน์สอนเกี่ยวกับการพิพากษาครั้งสุดท้าย
ในวันสิ้นพิภพนั้น พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาไม่เหมือนกับการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ ในครั้งแรกนั้นพระองค์เสด็จมาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและยากจน แต่การเสด็จมาครั้งที่สองพระองค์เสด็จมา “ด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ในพระฤทธานุภาพและทรงอำนาจ” โลกทั้งโลกจะสั่นสะเทือน พระองค์จะทรงพิพากษาด้วยพระเดชานุภาพอย่างยุติธรรม จะทรงแยกแกะและแพะออกจากกัน ตามที่มีเขียนไว้ในพระวรสารของ น.มัทธิวบทที่ 25 คนบาปจะตกใจหวาดกลัวและร้องไห้ นักบุญวินเซนต์ต้องการให้ประชาชนหวาดกลัวเพราะท่านเองก็หวาดกลัวในวันนั้นเช่นเดียวกัน ท่านหวาดกลัวสำหรับทุกคนที่ท่านเทศน์สอนด้วย
.
นักบุญวินเซนต์พูดกับฝูงชนที่กำลังฟังท่านเทศน์สอนว่า
ผู้คนในเวลานั้นจะพูดกับภูเขาและหินผาว่า “จงตกลงมาทับเราเถิด จงซ่อนเราจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงประทับนั่งบนพระบัลลังก์ และจากพระพิโรธของพระชุมพา” (วว. 6: 16 ) พระเยซูเจ้าตรัสอีกว่า “เมื่อสิ่งเหล่านี้เริ่มต้นขึ้น จงเงยหน้าขึ้นมองเถิด เพราะความรอดของท่านอยู่ใกล้แล้ว” (ลก. 21: 28) พระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะทรงประทับอยู่ข้างๆพระองค์ พระเยซูเจ้าจะทรงแยกประชาชนจากทุกชนชาติเหมือนแยกแกะออกจากแพะ
นักบุญวินเซนต์กล่าวต่อไปว่า “ในวันนั้นจะเป็นการดีกว่าที่จะเป็นแกะของพระเยซูคริสต์แทนที่จะเป็นพระสันตะปาปาหรือเป็นกษัตริย์หรือเป็นจักรพรรดิ”
นักบุญวินเซนต์พูดอย่างทรงอำนาจ ท่านอธิบายรายละเอียดของคุณธรรมห้าประการที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์ในการแยกแยะแกะ อันได้แก่: “ความบริสุทธิ์, ความเมตตากรุณา, ความอดทนอย่างแน่วแน่, ความเชื่อฟังที่แท้จริง และการใช้โทษบาปอย่างเหมาะสม"
ในประการแรก - ความบริสุทธิ์ - คือการที่คนนั้นดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ทำร้ายจิตใจของคนอื่น ด้วยการเกลียดชังหรือพูดหมิ่นประมาท หรือการชกต่อย หรือการขโมย ชีวิตเช่นนี้เรียกว่าความบริสุทธิ์ซึ่งทำให้มนุษย์เป็นแกะของพระคริสต์”
นักบุญวินเซนต์อธิบายต่อไป โดยให้รายละเอียดที่มีสีสันต่อเหตุผลว่า ทำไมแกะจึงไม่โจมตีด้วยเขาของมัน เหมือนที่วัวทำ ......
...หรือกัดด้วยฟันของมันเหมือนหมาป่าหรือเตะด้วยกีบเหมือนม้า ... ถ้าท่านปรารถนาที่จะเป็นแกะของพระคริสต์ ท่านต้องไม่โจมตีใครด้วยเขาแห่งความรู้หรือเขาแห่งอำนาจ เพราะสำหรับนักกฎหมายจะโจมตีผู้อื่นด้วยเขาแห่งความรู้ , ลูกขุน, ผู้กล่าวร้ายหรือผู้ที่มีความรู้ดี ก็จะทำเช่นนั้น ส่วนพ่อค้าใช้วิธีหลอกล่อคนอื่น ขุนนางและนักเลงจะโจมตีด้วยเขาแห่งอำนาจเพื่อปล้นหรือทำร้ายและรีดไถโดยใช้กำลังและการขู่เข็ญและสิ่งอื่น ๆ แต่จงฟังสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสด้วยปากของดาวิดเถิด:“เราจะหักเขาทั้งปวงของคนบาป แต่เขาของผู้ชอบธรรมจะถูกเชิดชูขึ้น '(สดุดี 74:11)
“การกัด” คือการลบหลู่ชื่อเสียงของเพื่อนบ้านและกลืนกินโดยการพูดว่า "ไม่มีอะไรดีที่จะยกย่องใครซักคน มันเป็นเพียงความเลวร้าย" ดังนั้น "ผู้พูดจาหมิ่นประมาทจึงไม่ใช่แกะของพระคริสต์ แต่เป็นหมาป่าของนรก"
การเตะเหมือนม้าหมายถึงการดูหมิ่นเกลียดชังผู้อื่น ดังนั้นท่านนักบุญจึงเตือนว่า “เด็กๆทั้งหลาย อย่าเกลียดพ่อแม่ของเธอ หรือผู้ปกครอง; หรือคนหนุ่มสาวคนชรา; หรือผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง, ผู้เจ็บป่วย คนร่ำรวย , คนยากจน; อาจารย์หรือคนรับใช้ของพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอะไรคือความบริสุทธิ์ปราศจากด่างพร้อย”
ประการที่สอง - ความเมตตากรุณา - หมายถึงการแจกจ่ายสิ่งของชั่วคราวที่พระเจ้าทรงประทานให้และแจกจ่ายพระพรฝ่ายจิตวิญญาณให้ แก่คนที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ “เพราะในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย แกะเป็นสัตว์ที่ให้ประโยชน์มากที่สุด แกะให้ขนของมันแก่พวกเรา แสดงให้เห็นถึงความเมตตากรุณาและประโยชน์ของความเมตตากรุณา เพราะมีคนยากจนกี่คนที่ทำผ้าขนแกะเล่า? แกะให้นมและเนื้อของมันเป็นอาหาร ให้เราเลียนแบบและให้ความรักด้วยวิธีนี้: ขนแกะของเราคือ “สิ่งของชั่วคราวภายนอก ได้แก่ขนมปังและไวน์, เงิน, เสื้อผ้าและสิ่งอื่นๆ” นมเป็น “พระพรความดีฝ่ายจิตวิญญาณที่พระเจ้าทรงประทานแก่ท่าน ท่านจงแสดงความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นโดยให้คำสั่งสอน, คำแนะนำที่ดีแก่ผู้ที่ไม่รู้…หากท่านมี นมแห่งความรอบรู้, นมแห่งความศรัทธาหรือมีคารมคมคาย ท่านควรมอบให้กับคนที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้” นักบุญวินเซนต์เตือนให้ระลึกถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ทรงบอกแกะว่า “เมื่อเราหิว ท่านก็ให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม ...เราเปลือยเปล่า ท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม” (มัทธิว 25: 35-36)
ประการที่สาม – ความอดทนที่แน่วแน่ - มีรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่นเมื่อใครบางคน “ทุกข์ทรมานจากบาดแผลเรื้อรัง หรือจากคำพูดที่บอกกับเขาว่าอย่าสนใจกับการแก้แค้น แต่ให้เขารักทุกคนและสวดภาวนาให้พวกเขาทั้งหมด” เพื่อเป็นการเปรียบเทียบ? “แกะเป็นสัตว์ที่มีความอดทนมากที่สุดเพราะหากมันถูกรังแกในขณะที่กินอาหารหรือถูกกระแทก มันก็ไม่ได้ป้องกันตัวเอง แต่กลับเดินไปที่อื่นและไม่แก้แค้นเพื่อตัวเอง เหมือนที่สุนัขหรือแพะทำ แต่มันจะถ่อมตน เป็นบุญของชายหรือหญิงผู้มีความอดทนเช่นนี้และไม่ต้องการแก้แค้นเพราะได้รับบาดเจ็บ แต่ให้อภัยแก่ผู้อื่นเนื่องจากพระเจ้าทรงให้อภัยเขา”
ประการที่สี่ – ความเชื่อฟังที่แท้จริง – หมายถึงการควบคุมความคิด , คำพูดและการกระทำทั้งหมดให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ของเราเอง เช่นเดียวกับที่แกะเชื่อฟังอย่างง่ายดาย แม้แต่เด็กที่ถือไม้เท้าก็สามารถนำทางแกะ 30 หรือ 40 ตัวได้โดยง่าย จำบทสดุดีที่ 23 ได้ไหม? จำได้ไหม - พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่า คนเลี้ยงแกะสามารถปล่อยแกะ 99 ตัวไว้เพียงลำพัง เพื่อไปตามหาแกะตัวเดียวที่หายไป?
นักบุญวินเซนต์สรุปคำสั่งขององค์พระชุมพาไว้ดังนี้: “ประการแรก ให้เราดำเนินชีวิตอย่างสุภาพถ่อมตน” เพราะพระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเรียนรู้จากเรา เพราะเรามีใจอ่อนโยนและสุภาพถ่อมตน” (มัทธิว 11:29) ผู้ที่มีใจเย่อหยิ่งไม่ได้เป็นแกะของพระคริสต์ แต่เป็นแพะของปีศาจ ประการที่สอง จงให้ด้วยความเมตตาและความเอื้ออาทร ส่วนผู้ที่ “ไม่เชื่อฟัง เขาจะไปในหนทางแห่งความโลภ ด้วยการคิดดอกเบี้ย , การโจรกรรม , การลักขโมย ฯลฯ พวกเขาไม่ใช่แกะของพระคริสต์ แต่เป็นแพะของปีศาจ” ถัดไปเราต้อง “เดินไปตามหนทางแห่งความสะอาด, ความดีงาม ฯลฯ” (มัทธิว 19:12) “เหตุฉะนั้นผู้ใดที่เดินไปตามทางที่ไม่สะอาดและความโสโครกด้วยตัณหาและกามารมณ์เช่นนั้นจะไม่ได้เป็นแกะของพระคริสต์ แต่เป็นแพะของมารปีศาจ”
ประการที่ห้า – การชดเชยใช้โทษบาปอย่างเหมาะสมกับบาปที่เราได้กระทำ ท่านนักบุญเน้นย้ำว่า ไม่มีใครได้รับการยกเว้นจากบาป ตามที่ปัญญาจารย์ (7:21) กล่าวว่า “เพราะไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่ทำความดีและไม่มีบาปเลย”
“ดังนั้นการชดเชยใช้โทษบาปอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยการเสียใจต่อบาปและตั้งใจจะไม่ทำบาปอีก ไปสารภาพบาปต่อพระสงฆ์และทำกิจใช้โทษบาป ด้วยวิธีนี้การชดเชยใช้โทษบาปจะทำให้บุคคลนั้นเป็นแกะของพระคริสต์” เพื่อเป็นการเปรียบเทียบ นักบุญวินเซนต์ได้อธิบายในรายละเอียดว่า แกะนั้นมีความสุภาพที่สุด ที่ตรงกันข้ามกับแพะซึ่ง “เป็นคนที่ไร้ยางอาย เพราะทุกคนรู้จักชีวิตและบาปที่ชั่วร้ายของเขา อาทิเช่น บุคคลที่ชั่วร้าย หรือผู้มีชื่อเสียงอื่นๆ และพวกเขาไม่ต้องการปกปิดความชั่วร้ายของตนด้วยหางแห่งการสำนึกผิด พวกเขาเป็นพวกที่ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง”
วาระสุดท้ายของโลกและแอนตี้ไครส์
นักบุญวินเซนต์ เฟอร์เรอร์ไม่เพียงแต่เทศน์สอนในรายละเอียดของเรื่องดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น แต่ท่านยังอธิบายไว้ในจดหมายถึงพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13ในปี 1412 ด้วย แต่เนื่องจากคำเทศนาของท่านนั้นยาวมากและมุ่งประเด็นไปที่ ลก. 21:25-28 ดังนั้นเราจะกล่าวเพียงสิ่งสำคัญเท่านั้น
“พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราถึงความชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่และความทุกขเวทนาที่กำลังจะมาถึงในวาระสุดท้ายของโลก และทรงบอกเราถึงหมายสำคัญที่จะมีมาก่อนการพิพากษาของพระองค์” นักบุญวินเซนต์ รู้จักพระคัมภีร์อย่างขึ้นใจและเชื่อมโยงทุกอย่างเข้ากับพระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้เราหลงทาง ในความเมตตาของพระองค์, พระองค์มักจะประทานหมายสำคัญแก่เราเสมอ “เพื่อที่ประชาชนจะได้รับการเตือนล่วงหน้าถึงความทุกข์เวทนาโดยผ่านทางหมายสำคัญเหล่านี้ โดยอาศัยการสวดภาวนาและจากการกระทำที่ดี อาจทำให้ได้รับพระเมตตา และทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษตามพระยุติธรรมแห่งสวรรค์ หรืออย่างน้อยที่สุดโดยอาศัยการใช้โทษบาปและแก้ไขชีวิตของตนเอง อาจช่วยให้ประชาชนเตรียมตนเองให้พร้อมกับความทุกขเวทนาที่จะเกิดขึ้น” จำเรื่องของโนอาห์และโยนาห์ได้ไหม?
ความทุกข์ยาก “ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและน่ากลัวที่สุด” สามอย่างคือ “ประการแรก แอนตี้ไครส์ เขาเป็นชายผู้โหดร้ายเหมือนปีศาจ, ประการที่สองการทำลายล้างโลกด้วยไฟ; ประการที่สามการพิพากษาโลกทั้งมวล และด้วยความทุกขเวทนาเหล่านี้โลกจะถึงวาระสุดท้าย" พระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าจะทรงประทานหมายสำคัญบนท้องฟ้าเพื่อเตือนเรา – ดวงอาทิตย์ , ดวงจันทร์และดวงดาว
ความทุกข์ยากประการแรกคือ “แอนตี้ไครส์ ผู้เป็นคนโหดร้ายเหมือนปีศาจ ที่จะนำความทุกข์มาสู่ทั้งโลก” เขาจะหลอกลวงคริสตชนในสี่วิธี
วิธีแรก ในหมายสำคัญของดวงอาทิตย์ (ลูกา 21:25) ท่านนักบุญอธิบายว่า “ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระคริสต์ถูกเรียกว่าดวงอาทิตย์…เมื่อดูที่รากศัพท์ เรามีคำว่า: S-O-L (Super omnia lucens) - 'ส่องแสงเหนือทุกสิ่ง' …พระเจ้าพระบิดาทรงส่งพระบุตรมายังโลกโดยตรัสว่า: 'สำหรับผู้ที่เกรงกลัวนามของเรา ดวงอาทิตย์แห่งพระยุติธรรมจะขึ้นมาเหนือเขา' (มาลาคี 4: 2)” ดังนั้นอะไรคือหมายสำคัญที่ประทานมาโดยดวงอาทิตย์สำหรับการมาถึงของศัตรูเล่า?
นักบุญวินเซนต์อธิบายว่า นักบุญมัทธิวกล่าวไว้อย่างแม่นยำ:“ดวงอาทิตย์จะไม่ส่องแสง” เป็นไปได้อย่างไร? ท่านอธิบายว่าดวงอาทิตย์จะไม่มืดและไม่สามารถมืดในตัวเองได้ แต่จะเป็นได้เฉพาะเมื่อมีเมฆมาบดบังมันเท่านั้น:
ในทำนองเดียวกันในช่วงเวลาของแอนตี้ไครส์ ดวงอาทิตย์แห่งความยุติธรรมจะถูกบดบังด้วยการแทรกแซงจากข้าวของสินค้าทางโลกและความมั่งคั่งที่แอนตี้ไครส์จะมอบให้กับโลก เพราะฉะนั้น ความสว่างแห่งศรัทธาในพระเยซูคริสต์และแสงสว่างแห่งชีวิตที่ดี จะไม่ส่องแสงในหมู่คริสตชน ด้วยเหตุที่เกรงว่าพวกเขาจะต้องสูญเสียความเป็นใหญ่ สูญเสียอำนาจ ผู้ปกครอง, กษัตริย์และเจ้าชายทั้งหลายจะไปอยู่เคียงข้างแอนตี้ไครส์ ในทำนองเดียวกัน พระสังฆราชทั้งหลายเพราะกลัวว่าจะสูญเสียศักดิ์ศรี บรรดานักบวช, พระสงฆ์เพื่อให้ได้รับเกียรติและความร่ำรวยจะละทิ้งศรัทธาความเชื่อในพระคริสต์และจะสวามิภักติ์ต่อแอนตี้ไครส์ ถึงตอนนี้แอนตี้ไครส์จะเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง แต่ความเย่อหยิ่งของมันยังไม่เพียงพอ มันต้องการที่จะมีอำนาจปกครองอย่างสากลในโลกทั้งโลก ยิ่งไปกว่านั้นมันสั่งให้ผู้คนเรียกมันว่าพระเจ้าและให้มันได้รับการนมัสการอย่างสูงสุดจากทุกคน
คนชั่วร้ายนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะในดาเนียล (11:43) พยากรณ์ว่า - 'เขาจะควบคุมความมั่งคั่งแห่งทองคำและเงินและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของอียิปต์' "ด้วยความมั่งคั่งนี้เขาจะรวบรวมกองทัพจากทุกชนชาติในโลกเพื่อต่อสู้กับผู้ที่ต่อต้านเขา - (วิวรณ์ 20: 7)" และจะทำการ "ล่อลวงประชาชาติ" และ "ล่อลวงประชาชนด้วยทองคำ,เงินและเกียรติยศชื่อเสียง"
นักบุญวินเซนต์กล่าวต่อไปว่า “จะมีหมายสำคัญในดวงอาทิตย์แห่งความยุติธรรม เพราะมันจะถูกบดบังในหัวใจของชาวคริสตชน เนื่องจากจากหัวใจเหล่านั้นจะไม่ส่องแสงแห่งศรัทธาความเชื่อ การเทศนาเรื่องชีวิตที่ดีทั้งหมดจะยุติลงเนื่องจากการแทรกแซงของ…เมฆแห่งสิ่งของทางโลก”
วัตถุนิยมเข้ามายึดครอง
นักบุญวินเซนต์บอกเราในทุกกรณีว่า เหตุใดพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพจึงทรงอนุญาตให้เกิดความผิดพลาดนี้ได้ คำตอบก็เป็นเหมือนเดิม -- ปรีชาญาณ 11:17:“โดยการที่มนุษย์ทำบาป โดยสิ่งเดียวกันกับที่ทำให้เขาถูกทรมาน”
“เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ต้องการถูกล่อลวง บัดนี้ด้วยสุดหัวใจของท่านจงพิจารณาและดูหมิ่นสิ่งของทางโลกทั้งหมด และรอคอยผู้ที่มาจากสวรรค์ โดยพิจารณาว่าสิ่งของของโลกนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและว่างเปล่า ในขณะที่สิ่งที่อยู่ในสวรรค์เป็นสิ่งถาวรนิรันดร ด้วยวิธีนี้ท่านก็จะมีจิตใจที่เข้มแข็ง”
วิธีที่สอง คือหมายสำคัญในดวงจันทร์ “ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ดวงจันทร์หมายถึงพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ของเรา ซึ่งเป็นการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชนทั่วโลก” เมื่อกล่าวถึงสถานะของดวงจันทร์(Moon phase) สถานะของพระศาสนจักรในระยะสุดท้าย “ไม่อยู่ในสถานะเหมือนที่พระคริสต์ทรงสถาปนาไว้อีกต่อไป” แต่ “หันกลับไปสู่ความหยิ่งยโส, ความเอิกเกริกและไร้สาระ ... ความเมตตาและความใจกว้างถูกเปลี่ยนเป็นความรักในเงินทองเกียรติยศและแสวงหาอำนาจ ความบริสุทธิ์ทางเพศพรหมจรรย์กลายเป็นความลามก, ความไม่สะอาดและการทุจริต ความสว่างแห่งคุณธรรมเปลี่ยนไปเป็นความอิจฉาริษยาและความประสงค์ร้าย ความรู้จักพอประมาณกลายเป็นคนตะกละและความโลภ ความอดทนทำให้เกิดความโกรธ, สงครามและการแบ่งแยกในหมู่ชนชาติ ความขยันจะถูกแทนที่ด้วยความละเลยและเฉื่อยชา”
พระคริสต์ทรงเตือนเรา: “จะมีพระคริสต์เทียมและผู้ทำนายเทียมเกิดขึ้น พวกเขาจะแสดงหมายสำคัญและสิ่งมหัศจรรย์มากมายเพื่อหลอกลวง แม้แต่ผู้เลือกสรรก็อาจหลงไหลไปได้” (มัทธิว 24:24) มนุษย์จะถูกล่อลวงด้วย “ปาฏิหาริย์” เท็จ “เพราะมนุษย์ในโลกทำบาปผิดต่อพระเจ้าโดยการขอความช่วยเหลือจากผลงานของปีศาจ เช่นการทำนายโชคชะตาและการทำไสยศาสตร์…แทนที่จะวางใจในพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ” ลองพิจารณาถึงสถานการณ์ในโลกทุกวันนี้ดูเถิดว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่?
จงอย่ายอมให้ถูกหลอก แต่ “จงวางความไว้ใจและความเชื่อมั่นของท่านไว้ในพระนามพระเยซูคริสต์และปฏิเสธที่จะยอมรับการอัศจรรย์ใดๆ เว้นแต่จะเป็นการกระทำในพระนามเดียวกันนี้ แล้วท่านจะยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งต่อการล่อลวง”
วิธีที่สาม “ดาวจะตกจากท้องฟ้า” พระคริสต์ตรัส (มัทธิว 24:29) เมื่อดูในดาเนียล (12: 3) นักบุญวินเซนต์พิสูจน์ให้เห็นว่า ดาวนั้นหมายถึงบรรดาอาจารย์, นักเทวศาสตร์และผู้ที่มีชื่อเสียงทางศาสนศาสตร์บางคน “พวกเขาบางคนจะตกจากท้องฟ้าซึ่งหมายถึงจากความสูงแห่งศรัทธาความเชื่อ” (ดาเนียล 11:36) พระคริสต์ทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น “เพราะการดำเนินชีวิตที่หยาบช้าและชั่วร้ายและเพราะบาปมากมาย” ของบางคน
พระคริสต์ทรงเตือนเราใน มัทธิว (24:21):“เพราะจะมีความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่สร้างโลกจนถึงทุกวันนี้ และถ้าวันเหล่านั้นไม่ถูกทำให้สั้นลง ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้เลือกสรร วันเหล่านั้นจะถูกทำให้สั้นลง " แอนตี้ไครส์จะก่อกวนบนโลกโดยทำให้ประชาชาติทั้งหลายเกิดความหวาดหวั่นและสับสน
นั่นคือวิธีที่สี่ เป็นการเตรียมการสำหรับการต่อสู้ของมัน
แอนตี้ไครส์จะครองอำนาจเป็นเวลาสามปีครึ่ง = 1,290 วัน แล้วมันจะถูกสังหาร “จากสายฟ้าฟาดบนยอดเขามะกอก เมื่อการตายของมันจะเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก แล้วนั้นโลกของเราจะดำรงอยู่อีก 45 วัน ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าหลายปี แต่เป็นวัน” (ดาเนียล 12: 11-12) นักปราชญ์ของพระศาสนจักรบอกว่า “พระเจ้าจะทรงประทานเวลาให้อีก 45 วันเพื่อการกลับใจของผู้ที่ถูกแอนตี้ไครส์ล่อลวง แต่แอนตี้ไครส์จะซ่อนความมั่งคั่งร่ำรวยและความสุขอันเหลือเฟือไว้ในคนเหล่านั้นจนแทบจะไม่มีใครในประชาชาติทั้งหลายหันกลับมาสู่ความเชื่อในพระคริสต์เลย . “เพราะไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดอื่นใดนอกจากพระคริสต์ แม้กระนั้นพวกเขาก็จะไม่กลับใจ" ในลูกา 17 พระคริสต์ทรงเตือนเราว่า เวลานั้นจะเป็นเหมือนในสมัยของโนอาห์และโลท ผู้คนยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติก่อนที่น้ำมหาวินาศและฝนไฟจะมาถึง
จากนั้น "ความน่ากลัวแห่งการพิพากษาและความกราดเกรี้ยวของไฟจะเผาผลาญศัตรู” (ฮีบรู 10:27) ดังที่เดวิดกล่าวไว้ใน สดุดี 96: 3:“ไฟจะไปข้างหน้าเขาและจะเผาศัตรูที่ล้อมรอบเขา อสุนีบาตของพระองค์ส่องสว่างไปทั่วโลก แผ่นดินโลกเห็นแล้วสั่นสะท้าน ภูเขาละลายเหมือนอย่างขี้ผึ้งต่อเบื้องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก”
“เพราะฉะนั้น” นักบุญวินเซนต์ เฟอร์เรอร์ เตือน “จงใช้โทษบาปเสียเวลานี้, จงยกโทษให้, จงชดใช้ความเสียหายใดๆ , เปลี่ยนแปลงชีวิตและสารภาพบาปของท่าน ถ้าหากเรารู้และแน่ใจว่าเมืองนี้จะถูกไฟเผาจนมอดไหม้ในไม่ช้า ท่านจะไม่แลกเปลี่ยนสิ่งของที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ทั้งหมดกับสิ่งของที่ท่านสามารถนำติดตัวไปได้หรอกหรือ?”
ทรัพย์สมยัติที่แท้จริงคือทรัพย์สมบัติที่สะสมอยู่ในสวรรค์เท่านั้น
**********************************
ดวงอาทิตย์จะไม่ส่องแสง....ดวงจันทร์จะมืดมัว...ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า
..อานุภาพบนท้องฟ้าจะถล่มทลายไป
เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เริ่มต้นขึ้น ท่านจงเงยหน้าขึ้นมองเถิด
เพราะความรอดของท่านอยู่ใกล้แล้ว
..อานุภาพบนท้องฟ้าจะถล่มทลายไป
เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เริ่มต้นขึ้น ท่านจงเงยหน้าขึ้นมองเถิด
เพราะความรอดของท่านอยู่ใกล้แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น