วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

การประท้วงในฝรั่งเศส

21 เมษายน 2019

ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ออกมาสวนกลับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงการขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกลางกรุงปารีส
 
"น่าละอายจริง ๆ สำหรับพวกที่โจมตีตำรวจ" และ "ไม่มีพื้นที่สำหรับความรุนแรงในสาธารณรัฐฝรั่งเศส" นายมาครงทวีตข้อความ หลังเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นบนถนนช็องเอลีเซ่ เมื่อวันเสาร์ (24 พ.ย.) จนตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม
 
กลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกเรียกว่า "'เสื้อกั๊กเหลือง" ตามสีเสื้อที่พวกเขาสวมใส่ ระบุว่า การชุมนุมในวันเสาร์เป็น "ภาคที่ 2" ในการรณรงค์ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อต่อต้านการขึ้นภาษีน้ำมันดีเซล และก็ขยายความโกรธแค้นไปยังปัญหาค่าครองชีพโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท และความคับแค้นใจต่อนโยบายของนายมาครง
 
กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสประเมินว่า มีประชาชนมากกว่า 1 แสนคนเข้าร่วมการประท้วงที่เกิดขึ้นราว 1,600 จุดทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมอย่างสงบ ยกเว้นในกรุงปารีสซึ่งมีผู้ชุมนุมราว 8,000 คน ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
 
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะ 19 คน ในจำนวนนี้เป็นตำรวจ 4 นาย และมีผู้ถูกจับกุม 40 คน
 
ชนวนก่อเหตุประท้วงเกิดจากอะไร
 
ราคาน้ำมันดีเซลซึ่งใช้กับรถยนต์ส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสได้ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา จนมีราคาเฉลี่ย 1.51 ยูโรต่อลิตร (ประมาณ 56.65 บาท) ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000 ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ก่อนร่วงลงมา แต่รัฐบาลนายมาครงได้ปรับขึ้นภาษีไฮโดรคาร์บอนในปีนี้ที่อัตรา 7.6 เซนต์ต่อลิตรสำหรับดีเซล และ 3.9 เซนต์ต่อลิตรสำหรับเบนซิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ให้ใช้เชื้อเพลิงสะอาด
 
การตัดสินใจขึ้นภาษีดีเซลอีก 6.5 เซนต์ต่อลิตร และเบนซิน 2.9 เซนต์ต่อลิตร ที่จะมีผลในวันที่ 1 ม.ค. 2019 กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นประท้วง ทว่าประธานาธิบดีมาครงกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันโลกเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส 3
 
การประท้วง 2 ครั้งนี้เป็นสัญญาณร้ายต่อรัฐบาลของนายมาครง เพราะเป็นการรวมกลุ่มของประชาชนหลากหลายกลุ่ม แม้แต่กลุ่มที่เคยสนับสนุนนายมาครงเองก็ตาม ฝรั่งเศสมักคุ้นชินกับการประท้วงในเรื่องต่าง ๆ แต่ก็มักนำโดยกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง หากแต่กลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองไม่มีผู้นำเช่นนั้น และทำให้ยากที่จะควบคุมพฤติกรรมฝูงชน
 
**************************
นิมิตจาก บุญราศีคัทรีน เอมมาริก – “การก่อม็อบประท้วงที่ป่าเถื่อนเกิดขึ้นเป็นความรุนแรง แต่มันจะไม่กินเวลานาน”
 
“ดิฉันเห็นโบสถ์หลายแห่งประดับตกแต่งโบสถ์ด้วยเครื่องประดับที่ไร้รสนิยม, ไม่เหมาะสม ด้วยสิ่งของไร้ค่าทางโลก แทนที่เครื่องประดับอันงดงามในยุคที่เคร่งศาสนา บ่อยครั้งที่ดิฉันเห็นว่าคนจนที่สุดอาศัยในกระท่อมของพวกเขา ยังดีกว่าเจ้านายแห่งสวรรค์และโลกทรงพำนักอยู่ในโบสถ์ของพระองค์ อา! มนุษย์ช่างนำความเสียใจมาสู่พระเยซูเจ้ามากยิ่งนัก ทั้งที่พระองค์ทรงมอบพระองค์เองเป็นอาหารเลี้ยงพวกเขา! …ด้วยสาเหตุนี้เอง ที่ทำให้ดิฉันได้เห็นเรื่องเสื่อมเสียต่างๆอันเนื่องมาจากความอ่อนแอ ศีลศักดิ์สิทธิ์ถูกลบหลู่ โบสถ์รกร้างว่างเปล่า และพระสงฆ์ถูกดูหมิ่น สถานะของความไม่บริสุทธิ์และความประมาทละเลยได้แพร่ขยายไปแม้กระทั่งในวิญญาณของผู้มีความเชื่อ ทำให้พวกเขาละเลยไม่ดูแลตู้ศีลแห่งหัวใจของพวกเขา และไม่เตรียมตัวอย่างดีพร้อม หรือมีหัวใจที่ไม่สะอาด เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหัวใจของพวกเขา เหมือนกับเวลาที่พวกเขาละทิ้งตู้ศีลของพระองค์ที่อยู่บนพระแท่นบูชา ... "
 
“ดิฉันเห็นคริสตชนที่หยาบคาย , พระสงฆ์ที่ล่วงละเมิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์, ฝูงชน่ที่มีใจเย็นชาและไร้ค่า, ทหารที่โหดร้ายกำลังลบหลู่ภาชนะศักดิ์สิทธิ์ และคนที่รับใช้ปีศาจกำลังกระทำทุรจารต่อศีลมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์โดยนำไปใช้ในพิธีกรรมของนรกอันน่าตกใจ ในบรรดาภาพเหล่านั้นที่ดิฉันเห็น ดิฉันเห็นนักเทววิทยาจำนวนมากกำลังถูกดึงไปสู่ความคำสอนที่หลงผิดอันเนื่องมาจากบาปของพวกเขา พวกเขากำลังโจมตีพระเยซูเจ้าในศีลศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพระศาสนจักรของพระองค์ และทำให้ดวงพระทัยของพระองค์ชอกช้ำจากคำพูดที่ล่อลวงของพวกเขา ทำให้วิญญาณจำนวนมากที่พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิตให้นั้นต้องเสียไป”
 
“ดิฉันยังได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ สำหรับดิฉันดูเหมือนว่ามีการวอนขอบางอย่างจากพระสงฆ์ซึ่งไม่สามารถอนุมัติได้ ดิฉันเห็นพระสงฆ์ชราหลายคน โดยเฉพาะพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่ร้องไห้อย่างขมขื่น พระสงฆ์ที่อายุอ่อนกว่าก็ร้องไห้ด้วยเช่นกัน แต่พระสงฆ์อื่นๆ และผู้คนที่ใจอุ่นๆเฉื่อยชาที่อยู่ในหมู่พวกเขาพร้อมที่จะทำตามคำสั่ง ราวกับว่าประชาชนกำลังแตกแยกเป็นสองฝ่าย”
 
"ดิฉันเห็นความร้ายกาจของศาสนาจักรเท็จเทียมเหล่านี้ว่าน่ากลัวขนาดไหน ดิฉันเห็นมันมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น คนที่สอนคำสอนหลงผิดทุกคนเข้ามาในเมือง (กรุงโรม) พระสงฆ์ในท้องถิ่นมีใจอุ่นเฉื่อยชามากขึ้น และดิฉันก็เห็นความมืดมิดอันยิ่งใหญ่ ... จากนั้น นิมิตดูเหมือนจะแผ่ขยายออกไปทุกด้าน ชุมชนคาทอลิกทั่วโลกถูกกดขี่ข่มเหง, ถูกกักขังและถูกกีดกันจากเสรีภาพของพวกเขา ดิฉันเห็นโบสถ์หลายแห่งปิดตัวลง มีความทุกข์ยากมากมายในทุกที่, มีสงครามและการนองเลือด มีการก่อม็อบประท้วงที่ป่าเถื่อนเกิดขึ้นเป็นความรุนแรง แต่ไม่นานมันก็จะสิ้นสุดลง"
 
****************************
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น