ระยะเวลานี้อากาศร้อนมากทั่วประเทศ คนเมืองส่วนใหญ่จะหันไปนอนแอร์กันถ้วนหน้า
แต่จะใช้แอร์อย่างไรให้สามารถประหยัดไฟฟ้าให้ได้ถึงประมาณ 12,500 บาท ต่อปี/ห้อง
วันนี้แอร์ขนาด 1 ตัน (10,000 BTU) ต้องการไฟฟ้าประมาณ 1500 watts ถ้าเปิดวันละ 8-10 ชม. ค่าไฟ 3.5 บาทต่อหน่วย ก็จะต้องเสียค่าไฟปีละ ประมาณ 19,000 บาท ค่อนข้างแน่นอน
แต่คอมเพรสเซอร์แอร์จะตัดการทำงานตัวมันเองสัก 20% (แล้วแต่ระดับการตั้ง) ดังนั้นค่าไฟจะตกประมาณปีละ 15,000 บาท
ส่วนใหญ่วิศกรเครื่องกลไทย จะแนะนำให้ตั้งที่ 25 อศ. และ ความชื้นสัมพัทธ์ที่ 50% ตามคำแนะนำของฝรั่ง
สำหรับประเทศไทยเรา ควรกำหนดที่ 28 ความชื้นที่ 70 % ก็เพียงพอแล้ว
...เพียงแค่นี้ค่าแอร์จะลดจาก 15,000 เหลือ 10,000 ทันที
ในขณะที่ยังรู้สึกสบายดี เพราะสำหรับคนไทยเรา 25/50 นั้นมันหนาวเกินไปแล้ว บางคนป่วยเอาด้วย บางคนคลุมโปงมิดเลยด้วยซ้ำไป
ถ้าใช้ชุดนอนโปร่งๆไม่ห่มผ้าหนา ตั้งค่าความเย็นที่ 28 องศายังได้เลย
เงินค่าไฟก็จะลดลง เหลือ 8000 บาท
ถ้าตั้งใว้ที่ 28-30 แล้วเอาพัดลมตั้งพื้น มาเป่าแบบส่ายไปมา พัดลมนี้กินไฟเพียง 50 วัตต์ เปิด 10 ชม. ต่อวันตลอดปีเสียค่าไฟแค่ 630 บาท
.....จะลดค่าไฟแอร์ จาก 8000 เหลือ 2000 เท่านั้น
...เหลือเชื่อเลยเชียวนะเพราะพอเลยเที่ยงคืนไปแล้ว อุณหภูมิมันจะต่ำกว่า 30 แล้ว
.....แอร์ ก็จะหยุดไม่ทำงานบ่อยจนถึงเช้า ส่วนเราก็หลับแล้ว ไม่ว่าจะหลับหรือไม่ก็จะเย็นสบายดีเพราะพัดลมจะทำงานตลอด ทำให้เรารู้สึกสบายเหมือนว่าอยู่ที่ 27 องศาซึ่งเป็นอุณหภูมิท่ีกำลังพอดีสำหรับคนไทย ทำให้ไม่เป็นโรคจากความเย็นเกินไปอีกต่างหากด้วย
..จากเที่ยงคืนถึง 7-8 โมงเช้า เราแทบจะไม่เสียค่าไฟแอร์เท่าไหร่เลย (1500 w.) แต่เสียค่าพัดลม 50 w.แทนซึ่งถูกกว่ามากๆ ทั้งค่าใช้จ่ายและวิธีใช้ไฟฟ้า
สรุป คือ จะเสียค่าไฟแอร์แบบประหยัดประหยัดได้ ถึง ราวๆ12,500 บาท ต่อปี
...จริงๆแล้ว ไม่ใช่อากาศร้อนเฉยๆดอก แต่เป็นความร้อนที่แผ่ออกจากผนังปูนที่มันอมเก็บความร้อนไว้มากจากตอนกลางวันด้วย
ถ้าเปิดพัดลมให้ระบายความร้อนจากผนังออกไปก่อนจะช่วยประหยัดแอร์ได้อีก เพิ่มความสบายจากการที่ห้องนอนจะเย็นได้เร็วขึ้นเมื่อเปิดแอร์
ไม่งั้นครึ่งชม.แรกก็จะยังคงร้อนอยู่ ยังระบายรังสีไม่หมดจากที่ปูนมันแผ่รังสีความร้อนที่เก็บไว้เมื่อตอนกลางวัน ออกมานั่นเอง
**************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น