นักโทษที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซูเจ้าที่ชื่อ Dismas ได้ยินพระเยซูเจ้าสวดภาวนาต่อพระบิดาว่า”พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดของเขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”(ลูกา 23:34) ถ้อยคำนี้เองที่เปิดใจของดิสมาสทำให้เขาแน่ใจว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ทำให้เขาสำนึกผิดต่อความผิดต่างๆมากมายในชีวิตของเขา และเขาต่อว่า Gesmas เพื่อนนักโทษที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกันว่า “แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือที่มารับโทษเดียวกัน สำหรับเราก็ยุติธรรมแล้วเพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดเลย”(ลูกา 23 40-41)
Dismas ได้วอนขอต่อพระเยซูเจ้า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์” (ลูกา 23 42) Dismas แสดงความเชื่ออย่างเปิดเผยต่อพระเยซูเจ้า ต่อหน้าทหารโรมัน ต่อเพื่อนนักโทษ และต่อผู้คน ณ. เชิงกางเขน ด้วยคำภาวนานี้ ด้วยเหตุนี้พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์” (ลูกา 23 43)
พระศาสนจักรคาทอลิกพิจารณา Dismas นักโทษที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูเจ้าว่า เป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของการกลับใจ (ดูลูกา 23: 39-43) นี่คือเหตุผลที่เขาถูกเรียกว่า นักบุญ แต่สำหรับผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์บางคนมองว่า นักโทษกลับใจซึ่งมีชื่อว่า นักบุญดิสมาส St. Dismas นั้น เป็นคนดีด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป
ดูเหมือนว่าเรื่องราวของนักโทษผู้นี้จะเป็นการพิสูจน์หลักคำสอนของชาวโปรเตสแตนต์บางคน ตัวอย่างเช่น การที่ Dismas ได้รับการไถ่กู้โดยปราศจากการรับบัพติสมา(ศีลล้างบาป) เป็นเหตุผลที่เชื่อได้ว่าการรับบัพติศมานั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการได้รับความรอด
หลักคำสอนอีกข้อหนึ่งของโปรเตสแตนต์ที่ดูเหมือนจะมีเหตุผลที่ดีก็คือ การกระทำความดีเพื่อความรอดนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็น ผมจำได้ว่า หลายปีก่อนขณะที่ผมไปพบหมอคนหนึ่ง หมอพยายามอธิบายว่านักโทษที่ดีคนนั้นไม่ได้ทำความดีอะไรที่สมจะได้รับรางวัลแห่งความรอด เขาเพียงแต่มีความเชื่อในพระเยซูเจ้าเท่านั้น หมอของผมพยายามใช้เรื่องราวของ Dismas เพื่อพิสูจน์ความเชื่อของเขาว่าเราสามารถได้รับความรอดได้โดยอาศัยความเชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่จำเป็นต้องมีการกระทำ
สรุปก็คือ เรื่องราวของ Dismas ดูเหมือนจะพิสูจน์ถึงหลักคำสอนของโปรแตสแตนท์ที่ปฏิเสธเรื่องของไฟชำระ เพราะพระเยซูเจ้าตรัสกับ Dismas ว่าในวันนี้เขาจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์? แล้วไฟชำระจะมีได้อย่างไร? ดังนั้นก็เกิดการโต้แย้งขึ้น
เรื่องราวของ Dismas เป็นการพิสูจน์ว่าความเชื่อของโปรเตสแตนต์นั้นถูกต้องหรือไม่? ผมไม่คิดอย่างนั้น ลองมาพิจารณากัน
ได้รับความรอดโดยไม่ต้องรับศีลล้างบาป
มีเหตุผลสองประการที่พระสัญญาของพระเยซูเจ้าต่อ Dismas นั้นไม่ได้พิสูจน์ว่าการรับศีลล้างบาปไม่ใช่สิ่งจำเป็น
เหตุผลแรก ถ้าพระเยซูทรงประสงค์ให้เรานำเรื่อง Dismas มาเป็นข้อพิสูจน์ว่าการรับศีลล้างบาปนั้นไม่จำเป็นต้องทำ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พระเยซูเจ้าจะทรงสั่งให้อัครสาวกทำพิธีล้างบาป(ในมัทธิว 28) และทำให้เป็นเงื่อนไขสำหรับการเป็นศิษย์ของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเปโตรคงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำสั่งของพระเยซูเจ้า เมื่อท่านบอกกับชาวยิวที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลองเทศกาลเพ็นเทคอสต์ว่า “จงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า . . เพื่อท่านจะได้รับการอภัยบาป” (กิจการ 2:38)
เหตุผลที่สองคือ ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าจะทรงทำให้ความรอดอันเนื่องมาจากการไถ่กู้ของพระองค์นั้นเชื่อมโยงเข้ากับศีลล้างบาป แต่พระองค์เองหาได้ผูกพันกับศีลล้างบาปนั้นไม่ (ดูข้อคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก 1257) พระศาสนจักรสอนว่าพระเยซูเจ้าสามารถประทานพระคุณแห่งความรอดในรูปแบบที่พิเศษแบบอื่นได้เมื่อสถานการณ์ไม่อาจทำให้รับพระคุณนั้นโดยวิธีการรับศีลล้างบาปตามปกติ: เนื่องจากพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนทั้งปวงและในความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนได้รับการเรียกให้ไปสวรรค์ เราต้องถือว่าพระจิตเจ้าทรงทำให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับความลึกลับแห่งปัสกา ทุกคนที่ไม่รู้เรื่องข่าวดีของพระคริสต์และพระศาสนจักรของพระองค์ แต่ถ้าเขาแสวงหาความจริงและทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าตามความเข้าใจของเขา อาจเป็นไปได้ว่าบุคคลดังกล่าวจะต้องปรารถนาที่จะรับการล้างบาปอย่างแน่นอนหากพวกเขารู้ถึงความจำเป็น (CCC 1803)
พระเจ้าทรงหยั่งรู้และสามารถตัดสินจิตใจมนุษย์ได้ (1 ซามูเอล 16: 7) พระองค์ทรงรู้ว่าบุคคลนั้นแสวงหาความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่ และความจริงอะไรที่เขาไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบว่าบุคคลนั้นจะตอบสนองหรือไม่หากรู้ความจริงและพระองค์จะตัดสินตามนั้น ในฐานะบุคคลที่ปรารถนาและแสวงหาพระเจ้า เขาก็จะปรารถนาสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงประสงค์รวมถึงการรับศีลล้างบาป
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าการรับศีลล้างบาปนั้นไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่ได้รับการเปิดเผยให้ทราบแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า การรับศีลล้างบาปเป็นการเกิดใหม่ของเรา (ดูยอห์น 3: 3-5) และพระองค์ทรงทำให้ศีลนั้นเป็นประตูสำหรับการเป็นสมาชิกในพระศาสนจักรของพระองค์ (ดูมัทธิว 28:19) ซึ่งเป็นพระกายลึกลับของพระองค์ (ดู 1 โครินธ์ 12:13)
.
ได้รับความรอดโดยไม่ต้องกระทำความดี
แล้วการที่ Dismas ได้รับความรอดโดยไม่ต้องมีการกระทำเล่า? สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการกระทำ(ความดี)ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรอดของเราใช่หรือไม่? เพราะทางโปรแตสแตนท์สอนว่ามีความเชื่อในพระเยซูเจ้าเพียงอย่างเดียวก็สามารถได้รับความรอดได้ (นั่นคือมีความเชื่อเพียงอย่างเดียวก็ขึ้นสวรรค์ได้) ลองมาพิจารณาดู
ถ้าหากจะคิดเช่นนั้นก็ดูเหมือนจะมีมุมมองที่แคบเกินไป เนื่องจาก Dismas มีความเชื่อในพระเยซูเจ้าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แน่นอนว่า Dismas ไม่ได้ทำความดีอย่างเช่น เลี้ยงคนยากจนหรือทำงานด้านมนุษยธรรมอื่นๆ แต่คำพูดของเขาต่อเพื่อนนักโทษได้ปกป้องพระเยซูเจ้าและประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่ถือว่าเป็นการกระทำดีใช่ไหม
ยิ่งกว่านั้น Dismas ได้สำนึกผิดกลับใจต่อความผิดต่างๆในชีวิตของเขา สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงประสงค์ให้มนุษย์สำนึกผิดและไม่ทำบาปอีก ดังนั้นนักบุญยากอบจึงกล่าวว่า “มนุษย์จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ก็ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยความเชื่อแต่อย่างเดียว” (ยากอบ 2:24)
ประการที่สองแม้ว่าบางคนอาจจะไม่ยอมรับว่าการปกป้องความบริสุทธิ์ของพระคริสต์และการกลับใจของ Dismas เป็นการกระทำความดีก็ตาม ความจริงที่ว่าในเวลานั้น Dismas ไร้ความสามารถทางร่างกายที่จะกระทำความดีได้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหลักการที่ว่าการกระทำความดีย่อมเป็นสิ่งจำเป็นต่อความรอด
นักบุญเปาโลกล่าวว่า “การเชื่อในพระเยซูเจ้านั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความรอด“ (โรม 10: 9) กรณีของ Dismas เขาไม่มีโอกาสจะกระทำความดีได้ภายหลังจากที่เขามีความเชื่อในพระเยซูเจ้าแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีการกระทำความดี เพราะถ้าหาก Dismas มีโอกาสแน่ใจได้ว่าเขาจะต้องกระทำสิ่งที่ดีแน่นอน
ไม่จำเป็นต้องมีไฟชำระ
ความคิดที่ว่า Dismas ได้ไปสวรรค์ในวันนั้นตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยไฟชำระเสียก่อนใช่ไหม?
ถ้าข้อความข้างบนนี้หมายถึงเฉพาะสำหรับ Dismas เท่านั้น คำตอบก็คือใช่ เพราะพระเยซูเจ้าเองตรัสเช่นนั้น Dismas ได้รับสิทธิพิเศษสองประการในกรณีนี้ นั่นคือ เขาไม่ต้องรับศีลล้างบาปก่อนตาย และเขาไม่ต้องผ่านไฟชำระเสียก่อนถึงแม้เขาจะได้ทำบาปมากมายในชีวิตก่อนที่จะรับโทษ เพราะเขาได้สารภาพความผิดของเขาอย่างจริงใจต่อพระเยซูเจ้า “สำหรับเราก็ยุติธรรมแล้ว”
คำสอนของพระศาสนจักรได้กล่าวว่า “การกลับใจด้วยความจริงใจทำให้เขาได้รับพระหรรษทานการชำระล้างให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์จากบาป ทำให้เขาไม่ต้องได้รับการลงโทษจากบาปที่ติดค้างอยู่” (CCC 1472) และ Dismas เป็นตัวอย่างในกรณีเช่นนี้
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการกลับใจของ Dismas ไม่สมบูรณ์หรือมีความจริงใจไม่เพียงพอล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้น การที่ Dismas ได้รับโทษโดยถูกตรึงกางเขนก็นับได้ว่าเป็นการชำระล้างให้บริสุทธิ์บนโลกนี้แล้วเช่นเดียวกัน จึงถือได้ว่าเขาได้ชดเชยอาชญากรรมของเขาแล้วอย่างแน่นอน และนั่นก็ไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าไฟชำระไม่ได้มีอยู่จริง
ข้อสรุป
แม้ว่าทางโปรเตสแตนต์เห็นด้วยกับทางคาทอลิกว่า Dismas เป็นนักโทษที่ดีเพราะการกลับใจของเขา แต่โปรแตสแตนท์ไม่สามารถนำเรื่องของ Dismas มาใช้อ้างเป็นข้อพิสูจน์ในคำสอนของพวกเขาดังกล่าวข้างต้น ในความเป็นจริงรายละเอียดการกลับใจของ Dismas สอดคล้องกับคำสอนของคาทอลิกเกี่ยวกับความรอดและชีวิตหลังความตาย ดังนั้นทางคาทอลิกจึงยกย่อง Dismas เป็นนักบุญของเรา
****************************
การถูกทรมาณตั้งแต่เดินทางและถูกทับขาเท้าจนตายและการกลับใจอย่างสมบูรณ์ของดีสมาส และดีสมาสไม่สามารถลงจากกางเขนมากราบมนัสการพระองค์ได้ และการใช้โลหิตเพื่อลบล้างบาปทั้งหลาย โลหิตมีค่ากว่าน้ำ เรียกว่าการรับศีลล้างบาปด้วยเลีอด และพระองค์ทรงตรัสว่าในสรรค์เป็นคำกว้างๆซึ่งไม่จำเป็นว่าจะเป็นที่นั่งไหนในสรรค์ และการให้ดีสมาสเป็นนักบุญก็เพื่อเอาใจคนมีเวลาน้อยๆ ให้ได้เข้าพระอนาจักรสรรค์ เท่านั้น เจ้าควรจะไปรำเรียนกับเหล่านักบวชให้มากกว่านี้ หากว่าพวกเจ้าโดนโจมตีอีกข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้านิ่งเป็นใบ้อึก แล้ว พระสาสน์แม่พระ ทำไมเจ้าถึงไม่ใส่ใจเอามาลง พวกเจ้าไม่เสมอต้นไม่เสมอปลาย ไม่ชื่อสัตย์ เอาเสียเลยนะ
ตอบลบ