วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

คำพิพากษา


ประสบการณ์ของคุณพ่อสตีเวน ไชเออร์
 
คุณพ่อ สตีเวน ไชเออร์ ได้รับศีลบรรพชาเป็นพระสงฆ์คาทอลิก ในปี 1973 คุณพ่อได้รับมอบหมายให้ดูแลวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐแคนซัส ซึ่งมีชื่อว่า “วัดพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์” น่าเสียดายที่คุณพ่อมักจะเป็นกังวลว่าพระสงฆ์องค์อื่นจะมองท่านอย่างไร แทนที่จะพยายามปฏิบัติตัวเป็นสงฆ์ที่ดีของพระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งลึกๆแล้วท่านก็ทราบดีว่าท่านไม่ได้เป็นพระสงฆ์ที่ดีเหมือนกับที่ใครๆคิดว่าท่านเป็น
 
ในวันที่ 18 ตุลาคม 1985 คุณพ่อ ไชเออร์ ได้เดินทางไปเยี่ยมพระสงฆ์องค์หนึ่งที่เมืองวิชิต้า ซึ่งอยู่ห่างออกไป 86 ไมล์ ขณะที่เดินทางกลับ ท่านขับรถอยู่บนถนนสาย 96 รถของท่านได้ประสบอุบัติเหตุประสานงากับรถกระบะ ไม่มีใครเสียชีวิต แต่ตัวคุณพ่อเองบาดเจ็บสาหัส ท่านถูกเหวี่ยงออกนอกรถ กะโหลกด้านขวาของท่านเปิดออก คุณหมอแจ้งว่าสมองด้านขวาถูกเฉือนหลุดออก เซลล์สมองบางส่วนถูกทำลาย กระดูกคอหัก ท่านจำได้ว่าท่านพยายามสวดบทวันทามารีอา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลา
 
คุณพ่อ ไชเออร์ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเล็กๆในรัฐแคนซัสในสภาพสาหัสปางตาย ซึ่งต่อมาได้นำท่านขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลในรัฐวิชิต้า แพทย์คาดว่าโอกาสรอดชีวิตมีเพียง 15 % ในคืนนั้น หลายเขตวัดที่ทราบเรื่องอุบัติเหตุ รวมทั้งวัดของท่านในแคนซัส ได้เปิดประตูวัดตลอด 24 ช.ม. ให้สัตบุรุษเข้าไปภาวนา และสวดสายประคำ รวมทั้งวัดนิกายเมโธดิสท์ วัดหนึ่งด้วย
 
หลังจากออกจากโรงพยาบาลในเดือนธันวาคมโดยมีอุปกรณ์พยุงรอบศรีษะ อาการของคุณพ่อดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่านใช้เวลาพักพื้นที่บ้านของท่านจนถึงเดือนเมษายนแพทย์ได้ถอดอุปกรณ์ออก และท่านได้กลับไปรับหน้าที่เดิมในเดือนพฤษภาคม
 
วันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังถวายบูชามิสซาในวัดของท่าน ท่านได้อ่านพระวรสารของนักบุญลูกาเรื่องต้นมะเดื่อที่ปลูกอยู่ในสวนองุ่น แต่ไม่มีผล เมื่อเจ้าของสวนองุ่นสั่งให้คนดูแลสวนโค่นต้นมะเดื่อนี้ คนดูแลได้ขอผัดผ่อนโดยสัญญาจะพรวนดินใส่ปุ๋ย ถ้ามันยังไม่ได้ผลจึงค่อยโค่นทิ้ง ขณะที่ท่านกำลังอ่านพระวรสารนี้ หน้าหนังสือได้เรืองแสงขึ้น ตัวหนังสือขยายใหญ่ขึ้น ท่านถวายมิสซาต่อจนจบแล้วจึงกลับไปที่บ้านพัก พร้อมกับความทรงจำที่ท่านได้ลืมไปแล้วว่า ท่านได้เคยถูกนำไปอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเยซูคริสตเจ้าหลังจากประสบอุบัติเหตุไม่นาน
 
คุณพ่อไม่ทราบว่าประสบการณ์ของท่านดำเนินไปนานเท่าไร ท่านเล่าว่าท่านได้ยินแต่เพียงเสียงซึ่งกล่าวโทษความผิดที่ท่านได้กระทำมาตลอดทั้งชีวิต ซึ่งท่านได้แต่ยอมรับ ท่านเคยคิดว่าวันใดที่ท่านต้องถูกพิพากษา ท่านจะสามารถหาเหตุผลมาหักล้างความผิดของท่านได้ ท่านอาจทูลพระเป็นเจ้าว่าที่ท่านทำบาปในวันนั้น เพราะมี ใครบางคนกดดันให้ท่านทำสิ่งนั้นๆ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านกำลังเผชิญหน้ากับความจริง และเบื้องหน้าความจริงย่อมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ
 
ท้ายที่สุด คำพูดที่ท่านได้ยิน คือ “ คำพิพากษาของเรา คือ นรก ” ท่านรู้ตัวดีว่านั่นคือสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ
 
จากนั้น ท่านได้ยินเสียงของสตรีเอ่ยขึ้นว่า “ ลูกแม่ ลูกจะไว้ชีวิตของเขา วิญญาณอันเป็นนิรันดรของเขาได้ไหม ? ”
 
พระเยซูเจ้าตรัสว่า : “ พระมารดา เขาเป็นพระสงฆ์มา 12 ปี เพื่อตนเอง มิใช่เพื่อลูก ให้เขาได้รับโทษที่เขาสมควรได้รับเถิด”
 
พระนางตรัสต่อไปว่า : “ แต่ถ้าเราให้พระหรรษทานพิเศษ และพละกำลังแก่เขา แล้วคอยดูผล ถ้าไม่เกิดผล ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด ”
 
หลังจากทรงเงียบอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า : “ พระมารดา เขาเป็นของท่าน”
 
และคุณพ่อ สตีเวน ไชเออร์ ก็ถวายตัวเป็นของแม่พระนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้งๆที่ท่านเองก็ยอมรับว่า ท่านไม่เคยมีความศรัทธาต่อแม่พระเป็นพิเศษมาก่อนเลย
 
หลังอุบัติเหตุ คุณพ่อ จึงได้สำนึกว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา สิ่งแรกที่เราควรทำคือ เอาวิญญาณของตนเองให้รอด รวมทั้งช่วยเหลือวิญญาณอื่นๆให้รอดด้วย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์อยู่แล้ว สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดคือพระเป็นเจ้า เพราะเมื่อเราตายลง เราต้องไปอยู่เบื้องหน้าพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
 
อีกประการหนึ่งคือ บทบาทของแม่พระ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงมอบศิษย์ที่พระองค์รักให้แก่พระมารดา ซึ่งหมายความว่าทรงมอบพระศาสนาจักรทั้งมวลให้พระนางดูแลด้วย พระนางทรงรับหน้าที่นี้อย่างเต็มพระทัย ประสบการณ์ของคุณพ่อ คือ พระเมตตาของพระเป็นเจ้า และคุณพ่อได้รับพระเมตตานี้ผ่านการยื่นพระหัตถ์เข้าช่วยเหลือของแม่พระนั่นเอง คุณพ่อ ไชเออร์ ได้เรียนรู้ความจริงข้อหนึ่ง คือ ทุกพระบุคคลแห่งพระตรีเอกภาพ ทั้งพระบิดา พระบุตรและพระจิต จะไม่ทรงปฏิเสธพระนางในสิ่งใดๆเลย เพราะฉะนั้นพระนางจึงเป็นผู้ที่เราอยากให้อยู่ข้างกายเราเสมอ
 
เมื่อถูกถามถึงความหมายของ “ การเป็นพระสงฆ์เพื่อตนเอง” ของท่าน ท่านอธิบายว่า เป็นทัศนคติที่ท่านมีต่อศักดิ์ศรีของสังฆภาพ (Prestige of Priesthood) และการพยายามทำตัวให้เทียมหน้าเทียมตากับเพื่อนพระสงฆ์ ท่านทำงานในแต่ละวันเพื่อให้คนทั่วไปนิยมชมชอบเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อประชากรของพระเป็นเจ้า การพบปะเยี่ยมเยียนกันในหมู่พระสงฆ์จะเป็นการชวนกันดื่ม และคุยเรื่องกีฬา แทนที่จะเป็นการพูดคุยหรือปรึกษาถึงปัญหาฝ่ายวิญญาณ ซึ่งในส่วนลึกของจิตใจ ท่านทราบว่าท่านไม่ได้ทำสิ่งอันสมควร ท่านเพียงแต่สวมบทพระสงฆ์เท่านั้น ท่านไม่ได้ “ เป็น” พระสงฆ์ คุณพ่อไชเออร์ เล่าว่า แม้ว่าท่านไม่เคยมีปัญหาในการถวายบูชามิสซา หรือฟังมิสซา แต่ท่านหลีกเลี่ยงกางเขนมาโดยตลอด ท่านไม่ยอมรับความทุกข์ ท่านเพิ่งจะสำนึกได้ว่า หากเราวิ่งหนีกางเขนอันหนึ่ง เราจะพบว่า มีกางเขนอันใหญ่กว่าอีกอันรอเราอยู่เบื้องหน้าเสมอ
 
ชีวิตในสามเณราลัยของท่านไม่ได้เตรียมให้ท่านรับชีวิตแห่งความทุกข์เ หมือนกับพระสงฆ์ในอดีต พระสงฆ์ควรยอมรับชีวิตที่เสียสละ ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ควรเป็นพระสงฆ์เสียเลย
 
สาเหตุหนึ่งที่ท่านได้รับคำพิพากษาหนักเช่นนั้น คือท่านได้ละเมิดพระบัญญัติด้วย แม้ว่าท่านจะสารภาพบาปเป็นประจำก่อนประสบอุบัติเหตุ แต่ก็ทำไปอย่างไม่ถูกต้อง ท่านไม่ได้สารภาพบาปเพราะสำนึกผิดด้วยหัวใจ และไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย ท่านยังสงสัยอยู่ว่าการแก้บาปของท่านที่ผ่านมาทั้งหมด จะมีสักกี่ครั้งที่ท่านไม่ได้ละเมิดพระบัญญัติ เพราะท่านไม่เคยมีความคิดที่จะปรับปรุงแก้ไขความผิดนั้นๆ
 
คุณพ่อ ไชเออร์ ได้ให้คำแนะนำแก่เพื่อนพระสงฆ์ว่า การเป็นพระสงฆ์รับใช้พระเยซูคริสตเจ้านั้น ต้องสวดภาวนาเสมอ เมื่อใดที่การสวดภาวนาจบสิ้นลง สังฆภาพก็จบลงด้วย พระสงฆ์ควรกล้าพูดในสิ่งที่ควรพูด แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ไม่เป็นที่นิยมของสัตบุรุษก็ตาม พระคริสตเจ้าไม่เคยทรงสัญญาว่า ผู้ที่ติดตามพระองค์จะเป็นที่นิยมของคนทั่วไป พระองค์ทรงสัญญาจะให้แต่กางเขน แต่กางเขนนั้นจะเบาพอจะแบกได้ เพราะพระองค์ประทับอยู่กับเรา พร้อมกับพระมารดาของพระองค์
 
สิ่งสำคัญที่พระสงฆ์จะขาดเสียมิได้คือ การสวดภาวนา ศีลศักดิ์สิทธิ์ และแม่พระ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่คุณพ่อมองข้ามไป คือ เวลา ท่านเคยคิดว่าท่านยังมีเวลากลับใจ แต่พระเยซูเจ้าทรงบอกท่านว่า “ สตีเวน เวลาหมดลงแล้ว ”
 
คุณพ่อ ไชเออร์ พูดถึงการสารภาพบาปว่าเป็นศีลแห่งการกลับคืนดี ที่พระศาสนจักรเสนอให้แก่สัตบุรุษ ทุกคนต้องยึดถือพระบัญญัติ และเมื่อใดที่ทำบาป ก็ต้องสารภาพบาป
 
คนทั่วไปหลงเชื่อนักจิตวิทยาที่พร่ำบอกว่า เราไม่ควรรู้สึกผิด เราพลาดเพราะพ่อแม่ หรือสภาพแวดล้อม ฯลฯ เมื่อเราไม่รู้สึกผิด เราก็ไม่คิดว่าเราได้ทำบาป และย่อมไม่สารภาพบาปนั้นๆ และนั่นคือสาเหตุของความเสื่อมของพระศาสนจักรในอเมริกา
 
ป.จันทร์
 
(ถอดความจากเทปบันทึกเสียงการสัมภาษณ์คุณพ่อสตีเวน ไชเออร์(Steven Scheier)
 
ดำเนินรายการโดยคุณแม่แองเจลิกา (Mother Angelica)
 
ทางสถานี EWTN สหรัฐอเมริกา

**************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น