วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พระจิตเจ้าคือลมหายใจของพระเยซูเจ้า

 

เราไม่สามารถรู้สึกถึงลมหายใจของคนอื่นได้นอกจากเราจะอยู่ใกล้กับร่างกายของผู้นั้น  สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ถ้าเราอิงแอบชิดใกล้ใครบางคน  หรือเกิดขึ้นขณะที่มารดาอุ้มลูกน้อยของเธอ

บางครั้งเราลืมนึกถึงเรื่องลมหายใจในเวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์เกี่ยวกับการที่พระเยซูเจ้าทรงเป่าลมหายใจของพระองค์เหนือศีรษะของบรรดาศิษย์ (ยอห์น 20:13) มาฟังดูอีกครั้ง

“ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์ชุมนุมกันปิดอยู่เพราะกลัวชาวยิว  พระเยซูเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่ตรงกลางตรัสกับเขาทั้งหลายว่า สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด ตรัสดังนี้แล้ว  พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย  เมื่อพวกเขาเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า 'สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น' ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า จงรับพระจิตเจ้าเถิด  ท่านอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัย

คิดดูเถิดว่าบรรดาศิษย์ต้องอยู่ใกล้ชิดพระเยซูเจ้าสักเพียงไร  พวกเขาจึงได้รู้สึกถึงลมหายใจของพระองค์ที่เป่าเหนือพวกเขา  เรื่องนี้แสดงถึงความจริงประการหนึ่ง  นั่นคือเราจะรู้สึกถึงพระจิตเจ้าได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ใกล้ชิดพระคริสต์มากเพียงไร

นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “ให้พวกเขากลับกลายเป็นพระกายของพระคริสต์เถิด ถ้าพวกเขาปรารถนาที่จะดำรงชีวิตในพระจิตของพระองค์  เพราะไม่มีผู้ใดมีชีวิตในพระจิตของพระคริสต์ได้  ถ้าหากผู้นั้นไม่กลายเป็นพระกายของพระองค์”

นักบุญออกัสตินเทศน์สอนเรื่องนี้สำหรับเตือนผู้ที่ประกาศตนว่าเขาเป็นคริสตชนแต่เขาไม่ต้องการที่จะเข้ามาอยู่ในพระศาสนจักร  บุคคลเหล่านี้ก็เป็นเหมือนกับใครบางคนที่กล่าวว่า “ผมชอบคุณ แต่ผมไม่ต้องการอยู่ใกล้ตัวคุณ”

นักบุญออกัสตินยังได้นำเราให้พิจารณาไตร่ตรองอีกเรื่องหนึ่ง  เนื่องจากเราต้องอยู่ในพระกายของพระคริสต์ (พระศาสนจักร) เพื่อที่จะรับพระจิตของพระคริสต์ได้  ดังนั้นเป็นพระจิตเจ้าที่ทรงช่วยเราให้อยู่ในพระกายของพระคริสต์  ดังเช่นที่พระเจ้า - พระบุตร  พระวจนาตถ์ – ทรงลงมาบังเกิดโดยอาศัยพระจิตเจ้า และเป็นพระจิตเจ้านี้เองที่ทำให้เราเกิดใหม่ด้วยศีลล้างบาป  เป็นพระจิตเจ้าที่ทรงทำให้พระคริสต์ทรงปรากฏพระองค์ในศีลมหาสนิท

เป็นพระจิตเจ้าที่นำเราไปสู่ความเชื่อในพระคริสต์และเติมเต็มเราด้วยพระหรรษทาน ในพระวาจาที่ทรงไขแสดง

พระจิตเจ้าทรงเตรียมมนุษย์และทำให้พวกเขามีชีวิตด้วยพระหรรษทานของพระองค์เพื่อนำพวกเขาให้มาสู่พระคริสต์  พระจิตเจ้าทรงเปิดเผยพระคริสต์ผู้ทรงกลับคืนพระชนม์แก่พวกเขา  ทำให้พวกเขาจดจำพระวาจาและเปิดจิตใจของพวกเขาให้เข้าใจถึงพระธรรมล้ำลึกเรื่องความตายและการกลับคืนชีพของพระคริสต์

พระคัมภีร์ให้ภาพลักษณ์ของพระจิตเจ้าเป็นเหมือนลมหายใจของพระคริสต์ซึ่งเชื่อมโยงกับการลงมาบังเกิดของพระองค์ด้วยวิธีพิเศษ  ในการลงมาบังเกิดนั้น พระเจ้าผู้ทรงเป็นนิรันดรทรงรับเอาธรรมชาติมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนังและกระดูกและทรงรับธรรมชาติที่เสื่อมสลายและตายได้ของมนุษย์  แน่นอนสิ่งที่เสื่อมสลายได้เหล่านี้มิอาจบังเกิดกับองค์พระเจ้าผู้ทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ได้  การกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นเครื่องปลอบประโลมใจพวกเราว่า  สักวันหนึ่งร่างกายที่เสื่อมสลายของพวกเราจะเป็นอมตะตลอดนิรันดร

พระสัญญานี้มั่นคงและยืนยงด้วยพระจิตเจ้า  พระจิตเจ้าผู้ทรงเปรียบเสมือนลมหายใจ  เพราะสิ่งใดที่จะจะเป็นเครื่องบ่งบอกความเป็นมนุษย์ได้ดีเท่ากับลมหายใจได้เล่า?  ดังที่บทสดุดี 39;6 กล่าวไว้ว่า “ชีวิตของข้าพระองค์หาได้มีค่าอันใดไม่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์  มนุษย์ทุกคนมิได้เป็นอะไรนอกจากลมหายใจ”  และบทสดุดี 144:4 กล่าวว่า “มนุษยเป็นเพียงลมหายใจ  วันเวลาของเขาเป็นเหมือนเงาที่ผ่านไป”

ในพระจิตเจ้า ร่างกายที่ตายได้ของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปในนิรันดรภาพเหมือนดังเช่นพระจิตเจ้าเอง  พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงสังขารของมนุษย์เพื่อที่พวกเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์
--------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น