By Michele Vu, Christian Post
ประชาชนประมาณ 200,000 คน ในชุมชนมุสลิมของเขตซับซาฮาราอัฟริกา2 ได้หันมาเชื่อในพระเยซูเจ้าภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่นี่เป็นรายงานจากผู้ที่เข้าไปแพร่ธรรมในท่ามกลางชาวมุสลิมบริเวณอัฟริกาตะวันตก
Jerry Trousdale (ปัจจุบันเป็น director of 1International Ministries for CityTeam International) ได้เขียนหนังสือชื่อ Miraculous Movements รายงานเรื่องราวของการเผยแพร่ความเชื่อที่ก้าวหน้าอย่างน่าประหลาดใจในท่ามกลางชุมชนมุสลิมในอัฟริกา เขาบรรยายปรากฏการณ์ Miraculous Movements ของพระเจ้าที่ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของชาวมุสลิมเหล่านั้น
เจอรี่เขียนเล่าว่า เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้บังเกิดขึ้นในท่ามกลางประชากรมุสลิมซึ่งตัวเขาและผู้ร่วมงานได้ทำงานด้านอภิบาลอยู่นั้น เหตุการณ์เหล่านั้นได้แก่
-- พระเป็นเจ้าทรงใช้ชายและหญิงซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดานับพันคนให้มาเป็นผู้ทำงานของพระองค์ในการประกาศความเชื่อ
-- ชาวมุสลิมนับหมื่นคนที่มีความรู้ทางคริสต์ศาสนาแล้ว ได้อุทิศตนในการจำศีลอดอาหารและสวดภาวนาเพื่อการประกาศพระวรสารไปสู่ชุมชนใหม่ๆต่อไป
-- ชุมชนมุสลิมที่ยังไม่เคยมีโบสถ์ในท่ามกลางพวกเขามาก่อนเลย บัดนี้ได้มีโบสถ์ที่สร้างขึ้นมากกว่า 50 โบสถ์แล้ว และบางแห่งมีโบสถ์มากกว่า 100 โบสถ์ ภายในเวลาเพียงสองปีเท่านั้น
-- ในบรรดาผู้ที่เคยเป็นชีค อิหม่าม และนักรบมุสลิม มีประมาณ 20 เปอร์เซนต์ที่กลับกลายมาเป็นผู้นำคริสตชนในเขตของเขา
เจอรี่เล่าว่า “พวกเรามาอยู่ที่อัฟริกาได้ 7 ปีแล้ว และในบรรดาชาวอัฟริกันที่นี่ ซึ่งมีกลุ่มชนที่แตกต่างกัน 81 กลุ่ม จะมีชาวมุสลิมอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ที่ปฏิบัติภารกิจที่โดดเด่นในด้านการอภิบาลและประกาศความเชื่อในท่ามกลางพวกเขา และในบางกลุ่มจากใน 81 กลุ่มนี้ มีประชากรที่เป็นมุสลิมทั้งหมด” เจอรี่ได้ให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวว่า “เรากำลังพูดถึงกลุ่มต่างที่อยู่ในเขตที่ค่อนข้างเข้มงวดในศาสนาอิสลาม ในเขตนี้มีประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามสืบเนื่องกันมานานนับร้อยปีทีเดียว”
“เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นข่าวดี ดูเหมือนพระเป็นเจ้าจะทรงดำเนินงานของพระองค์เหมือนในหนังสือกิจการของอัครสาวก” เจอรี่ ผู้อำนวยการของสำนักงานนี้กล่าว “สานุศิษย์ของพระองค์ได้เกิดขึ้นมากมายเป็นทวีคูณ แม้แต่พระสงฆ์ อิหม่ามและชีคก็หันมาเชื่อในพระเยซูเจ้า ดังนั้นจึงไม่น่าสงสัยเลยว่าอีกไม่นาน เราคงสามารถทำภารกิจของเราให้เสร็จสมบูรณ์ได้ในคนรุ่นนี้เอง”
ถึงแม้จะมีบางกรณีที่ค่อนข้างจะเจ็บปวดเกิดขึ้นด้วย จากหนังสือของเขาได้เขียนเล่าเรื่องราวของชายผู้ที่เคยเป็นมุสลิมท่านหนึ่ง เขาเป็นนักธุรกิจตาบอดซึ่งประสพเหตุการณ์ที่ไม่สามารถลืมได้ ชายผู้นี้ชื่อ Zamil (ชื่อที่กล่าวในหนังสือเป็นชื่อที่สมมุติขึ้น เพื่อความปลอดภัย) เขาเคยเป็นนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จในชีวิตอีกทั้งเป็นผู้นำที่ได้รับความเคารพนับถือของมัสยิดแห่งหนึ่ง ในคืนหนึ่งเขาฝันไปว่าท่าน อิซา อัล มาซิฮ (พระเยซู พระแมสสิยาห์) ได้ปรากฏแก่เขาและตรัสว่า พระองค์เป็นแสงสว่างของโลก ภายหลังจากที่เขาฝันแล้ว เขาก็มองอะไรไม่เห็นอีกเลย
เขาได้ไปพบกับคริสตชนผู้หนึ่ง และคริสตชนผู้นั้นได้พาเขาไปที่แคมป์สวดภาวนา และทั้งๆที่ได้สวดภาวนาแล้ว สายตาของเขาก็ยังคงมองอะไรไม่เห็น ต่อมาเขาไปพบกับ Mama Nadirah ซึ่งเป็นผู้จัดการของแคมป์สวดภาวนานี้ และเธอได้เป็นผู้ดูแลเขา ครอบครัวของ Zamil ซึ่งรวมทั้งภรรยาของเขาได้ละทิ้งเขาในทันทีที่รู้ว่าเขาได้มาเป็นคริสตชน Zamil ต้องกลายเป็นคนตาบอด ไม่มีบ้าน และสูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดหลังจากที่เขามาเป็นคริสตชน
ภายใต้การดูแลของ Mama Nadirah ซามิล ค่อยๆเรียนรู้พระคัมภีร์และเขาได้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า ให้ศิษย์ของพระองค์ออกไปประกาศข่าวดีของพระองค์แก่ผู้อื่น ทั้งๆที่ซามิล ตาบอด แต่เขาได้บอกกับ Mama Nadirah ว่า เขาตั้งใจจะไปหมู่บ้านอื่นๆและเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าในการประกาศข่าวดีของพระองค์ ทุกๆคนบอกกับเขาด้วยความอ่อนโยนว่า เขาไม่สามารถไปได้หรอก เพราะเขาตาบอด
แต่เช้าวันหนึ่ง ซามิลก็นั่งรถแท็กซี่ไปยังชุมชนมุสลิมที่อยู่ใกล้ๆ ไม่กี่วันต่อมา ซามิลก็โทรศัพท์ถึง Mama Nadirah และบอกเธอว่า เขาอยู่ที่ไหน และต่อมาภายในไม่ถึงหนึ่งเดือนเขาก็โทรศัพท์มาบอกอีกว่า โบสถ์ได้ถูกสร้างขึ้นในชุมชนที่เขามาประกาศพระเยซูเจ้านี้แล้ว และเขากำลังจะกลับบ้าน เพื่อเตรียมตัวจะไปประกาศในชุมชนอื่นต่อไป
เจอรี่เขียนเล่าว่า “Mama Nadirah (เธอเป็นหญิงหม้าย) ได้ทำให้ชายนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จให้กลายเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า ชายมุสลิมที่ตาบอดหลังจากได้เห็นแสงสว่างของโลก นี่เป็นอัศจรรย์ประการหนึ่งในหลายๆเรื่องซึ่งเกิดขึ้นทุกๆวันที่นี่ อันทำให้เกิดการปฏิบัติงานของผู้ติดตามพระคริสต์รุ่นใหม่ในทั่วทุกมุมโลก”
เจอรี่ เทราสเดล แสดงความสำนึกในพระอานุภาพของพระเป็นเจ้าที่ทรงสำแดงให้เห็นในปรากฏการณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ท่ามกลางชาวมุสลิมในอัฟริกา เขายังให้ความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับโครงการประกาศข่าวดี ซี่งน่ากระทำด้วยวิธีการดังนี้
1. ดำเนินงานอย่างช้าๆในตอนแรกเพื่อที่จะไปต่ออย่างรวดเร็วในภายหลัง – พระเยซูเจ้าทรงเลือกศิษย์ตามวิธีการของพระองค์ เพื่อเตรียมพวกเขาให้ทำงานไปทั่วโลก
2. มุ่งไปยังกลุ่มคนเล็กๆก่อนเพื่อจะชนะใจคนจำนวนมาก – พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนศิษย์ 12 คนเป็นพิเศษเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมุ่งความสนใจในคนเพียง สามสี่คนเป็นพิเศษในระยะแรกก่อน
3. ให้ความเอาใจใส่ต่อคนทั้งครอบครัวหรือทั้งกลุ่ม ไม่ใช่ต่อคนเพียงบางคน – พระคัมภีร์พระธรรมใหม่กล่าวว่าคนในครอบครัวทุกคนได้กลับใจมาสู่ความเชื่อ
4. ประกาศข่าวดีในสถานที่และในเวลาที่ผู้คนพร้อมที่จะฟังเท่านั้น – พระเป็นเจ้าจะทรงเตรียมสถานที่และเวลาให้สำหรับการประกาศข่าวดีต่อประชาชนในครอบครัวหรือชุมชนของพวกเขา
5. เริ่มประกาศด้วยเรื่องการเนรมิตสร้างโลกก่อน ไม่ใช่เริ่มด้วยพระคริสต์ - ชาวมุสลิมต้องการการเริ่มต้นด้วยพระคัมภีร์ปฐมกาลเพื่อจะได้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่างคัมภีร์โกหร่านและพระคัมภีร์ไบเบิลซึ่งบรรยายเกี่ยวกับพระเจ้า
การประกาศเป็นเรื่องของการค้นพบและการเชื่อ ไม่ใช่การสอนและความรู้
6. ให้ประชาชนเป็นยอมรับเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าก่อนแล้วเขาจึงจะเปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่เปลี่ยนศาสนาก่อนแล้วจึงเป็นศิษย์ – พระเยซูเจ้าทรงเลือกคนธรรมดาและให้พวกเขาเดินไปพร้อมกับพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าให้พวกเขารู้ และไม่ช้าพวกเขาก็จะมาถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจว่าจะติดตามพระเยซูเจ้าหรือไม่ นี่เป็นรูปแบบการมาเป็นศิษย์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการยอมรับเป็นศิษย์ก่อนและจะนำไปสู่การเปลี่ยนศาสนา ตัวอย่างของเอวาในหนังสือปฐมกาลที่เล่าไว้นั้น เธอต้องการความรู้แทนที่จะเชื่อฟังพระเป็นเจ้าและนั่นนำเธอไปสู่การทำบาป
7. ผู้สั่งสอน จะต้องทำให้ผู้คนค้นพบและเชื่อฟังความจริงในพระคัมภีร์ตั้งแต่เริ่มแรก
8. ใช้เวลายาวนานเพื่อเตรียมศิษย์ของพระเยซูเจ้าที่เข้มแข็ง และกระตุ้นเร่งเร้าจิตใจของพวกเขา
9. คาดหวังที่จะไปยังสถานที่ยากลำบากที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
***************************
***************************
หมายเหตุ
1. International Ministries for CityTeam International เป็นองค์กรอาสาสมัคร ของเอกชนชาวอเมริกันซึ่งมีเป้าหมายที่จะสร้างที่พักอาศัยให้แก่ผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย กิจการเริ่มต้นในสหรัฐก่อนแล้วจึงขยายงานไปนอกประเทศโดยเฉพาะที่อัฟริกา และมีการส่งมิชชันนารีเข้าไปด้วย
2. ประเทศในทวีปแอฟริกาที่อยู่ใต้เขตทะเลทรายซาฮารา หรือดินแดนที่อยู่ต่ำกว่าลุ่มแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ ถือว่าเป็นเขตซับซาฮารา (sub-Saharan) ที่มีหลายประเทศรวมอยู่ด้วย และประเทศในเขตซับซาฮาร่าได้ชื่อว่ายากจนที่สุดในโลก เนื่องจากภูมิประเทศจะไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในด้านต่างๆ
ประเทศในเขตซับซาฮาราแบ่งออกเป็นสองกลุ่มตามภาวะอากาศ คือกลุ่มแรกมีภูมิประเทศแบบร้อนชื้นในเขตร้อน และอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ระหว่างเส้นศูนย์สูตรที่อากาศร้อนจัด หากประเทศใดไม่มีภูมิประเทศติดกับทะเลหรือมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ก็จะอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ไม่เหมาะกับการทำการเพาะปลูก
สภาพภูมิประเทศของซับซาฮาราเป็นตัวบ่งชี้ทำให้เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศมีฐานะยากจน แต่ในเวลาเดียวกันความยากจนไม่ได้เกิดขึ้นจากภูมิประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลแต่ละประเทศ, การปกครอง ที่มีการคอร์รัปชันสูง, ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าต่างๆในประเทศที่มีประชากรหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน และยังมีประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของชาติตะวันออก เมื่อได้รับเอกราชแล้วไม่สามารถพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ซึ่งทางสหประชาชาติหรือยูเอ็นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องวางแผนเร่งพัฒนาภูมิประเทศเหล่านี้ เนื่องจากมีประชากรจำนวนมากถึง 700.3 ล้านคน ยังมีฐานะยากจนหรือมีรายได้ต่ำกว่าวันละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนหน้านั้นเมื่อช่วงทศวรรษ 1960 ชาติต่างๆในเขตซับซาฮารามีฐานะยากจนต้องได้รับความช่วยเหลือจากนานาประเทศ ซึ่งมูลค่าการช่วยเหลือจากต่างชาติมายังประเทศในกลุ่มซับซาฮารามีมากถึง 625,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา แต่ความช่วยเหลือจากนานาชาติไม่ทำให้เศรษฐกิจของซับซาฮาราพัฒนาเติบโตดีขึ้น ซึ่งการศึกษาของนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ยูนิเวอร์ซิตี พบว่าในปี 1976-2000 การค้าระหว่างประเทศของซับซาฮาราอยู่ที่ 1% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ประชาชนในเขตซับซาฮารา ยังมีผู้ที่ติดเชื้อเอดส์มากด้วย ในปี 2010 ผู้ที่ติดเชื่อเอดส์มีประมาณ 22.9 ล้านคน
*********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น