วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

การสวดภาวนาไม่มีวันสูญเปล่า



เรื่องต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่าพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือสถานที่และกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นคุกขังนักโทษหรือกำแพงของอาราม ซึ่งได้เชื่อมโยง กาตาคอมบ์แห่งโรม กับ คุกเดทโรว์ แห่งเมือง แมคอเลสเตอร์ รัฐโอคลาโฮมา (Death Row in McAlester) โดยผ่านทางเรื่องราวของนักพรตที่ดำเนินชีวิตซ่อนเร้นในศตวรรษที่ 21 นี้เอง
 
นักพรตผู้นี้คือ บราเดอร์ เวียนเนย์-มารี เกรแฮม แห่งคณะ คอนเทมพลาทีว์ฟ แห่งอารามเคลียครีก ในเมือง ฮูลเบิรท์ โอคลาโฮมา (Brother Vianney-Marie Graham of the contemplative Clear Creek Monastery in Hulbert, Oklahoma,) ท่านได้สวดภาวนาเป็นเวลานานเพื่อนักโทษที่ถูกกักขังในคุก เพราะท่านเห็นว่า “เป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งมากที่สุดในบรรดาผู้ถูกทอดทิ้งทั้งหลาย”
 
บราเดอร์เวียนเนย์ ได้เห็นแบบอย่างของนักบุญเทเรซา แห่ง ลีซีเออร์ ผู้ซึ่งสวดภาวนาให้แก่ นาย เฮนรี่ ปรานซินี นักโทษถูกตัดสินประหารชีวิต ในปี 1887 และเธออ่านพบต่อมาในหนังสือพิมพ์ว่า วินาทีสุดท้ายก่อนที่จะถูกประหารชีวิต เขาได้กุมกางเขนในมือไว้แน่นขณะที่เดินเข้าสู่แดนประหาร และได้จูบที่รอยบาดแผลของพระเยซูเจ้าสามครั้งก่อนถูกตัดศีรษะด้วยกิโลติน
 
ในปี 2001 บราเดอร์ เวียนเนย์ มารีย์ ได้ขออนุญาตท่านอธิการที่จะเขียนจดหมายถึงนักโทษที่อยู่ในคุก “เพื่อปลอบโยนไม่ให้พวกเขาสิ้นหวัง และบอกพวกเขาว่าพระเมตตาของพระเป็นเจ้านั้นมีสำหรับพวกเขาเสมอไม่ว่าพวกเขาจะมีโทษหนักสักเพียงไร”
 
บราเดอร์เวียนเนย์ เสาะหานักโทษที่อุกฉกรรจ์ที่สุดที่จะเขียนจดหมายไปถึง และก็เลือกได้คือ เจมส์ มาลิโค๊ท ( James Malicoat) ชายที่ดุร้ายอย่างยิ่ง เขาได้ฆ่าลูกสาววัยเพียง 13 เดือนด้วยการตีอย่างรุนแรงเป็นเวลามากกว่าสองสัปดาห์
 
บราเดอร์กล่าวว่า “เมื่อผมเห็นนักโทษครั้งแรก ผมก็คิดว่า เขาต้องการเพื่อนมากยิ่งกว่าใครๆ ทุกคนต่างหันหลังให้เขาเพราะเขาน่ากลัวมาก”
 
แล้วบราเดอร์ก็ได้รับอนุญาตจากท่านอธิการให้สามารถเขียนจดหมายไปถึงมาลิโค๊ทได้ บราเดอร์เขียนจดหมายแรกในวันฉลองแม่พระเสด็จขึ้นสวรรค์ ปี 2001 นักโทษมาลิโค๊ทใช้เวลาหนึ่งเดือนครึ่งในการตอบจดหมายกลับมา คือในวันที่ 1 ตุลาคม ตรงกับวันฉลองของนักบุญเทเรซา
 
บราเดอร์เวียนเนย์ เขียนจดหมายถึงมาลิโค๊ทอย่างสม่ำเสมอ และถึงนักโทษอื่นอีกสองคน เดือนละฉบับ ท่านกล่าวว่า “ผมจะพูดถึงครอบครัวของพวกเขา พูดถึงชีวิตเวลาที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา ส่วนพวกเขาจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตัวพวกเขา”
 
บราเดอร์เล่าให้เพื่อนักพรตเบเนดิกตินฟังว่า - นี่เหมือนกับการยิงลูกศรไปในความมืด และไม่รู้ว่าลูกศรจะไปตกลงที่ไหนหรือไปโดนอะไร
 
นักพรตในคณะคอนเทมพลาทีว์ฟ อย่างเช่นที่ เคลียครีก จะไม่ค่อยออกจากอารามบ่อยครั้งนัก พวกนักพรตจะทำงานและสวดภาวนาตามพระวินัยด้วยความถ่อมตัวและซ่อนเร้นในอาราม จะมีผู้เห็นบราเดอร์เวียนเนย์ ได้จากถนนนอกอาราม ก็ต่อเมื่อบราเดอร์กำลังทำงานดูแลไก่ในเล้าของอารามเท่านั้น
 
บราเดอร์เวียนเนย์เขียนจดหมายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน สองปีเต็ม จึงตัดสินใจขออนุญาตจากท่านอธิการที่จะไปยังเดทโรว์ ปีละครั้งเพื่อเยี่ยมเยียนนักโทษเหล่านั้น
 
บราเดอร์กล่าวว่า “ผมต้องการเพียงแค่อย่างน้อยได้ติดต่อใกล้ชิดกับพวกเขาบ้าง เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นว่าผู้ที่พวกเขาเขียนจดหมายด้วยนั้นมีตัวตนจริง”
 
และบราเดอร์ก็ได้รับอนุญาต
 
การเยี่ยมเยียนที่เดทโรว์
 
บราเดอร์พบกับมาลิโค๊ทครั้งแรกวันที่ 17 กันยายน 2003 ท่านเลือกเขาจากความอุกฉกรรจ์ของโทษและความต้องการความเมตตามากที่สุด – ไม่ใช่เพราะมีโอกาสที่จะกลับใจมาก – บราเดอร์พูดคุยกับเขาด้วยความเคารพนับถือ และนักโทษก็รับรู้ได้ ท่านพูดกับเขาผ่านทางโทรศัพท์ซึ่งติดอยู่กับกระจกหน้าต่างห้องเยี่ยมนักโทษ
 
“ผมรู้สึกประหลาดใจทุกครั้งที่พวกเขาดูสุภาพมาก ไม่มีคำพูดหยาบคายเลย เป็นสิ่งที่ประหลาดมาก ผมคิดในเวลาต่อมาว่า พวกเขาคงจะตระหนักรู้ถึงโอกาสอันพิเศษที่จะหันกลับมาหาศาสนา เมื่อนานวันเข้าพวกเขาจะพูดว่า มีนักพรตคนหนึ่ง และเขาไปที่นั่นเพื่อหานักโทษที่เลวร้ายที่สุด ภายใต้จิตสำนึกของพวกเขา เขาอาจรู้ได้ว่า มิตรสหายคนนี้กำลังพยายามทำให้พวกเขาหาย จากตาบอด – จากความตาบอดนิรันดร”
 
ในตอนแรกนักโทษมาลิโค๊ทลังเลใจที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความผิดทางอาชญากรรมของเขา เขากลัวว่าจะถูกตำหนิจากนักพรต แต่เมื่อบราเดอร์เวียนเนย์ เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับลักษณะอาการของคนที่สิ้นหวังซึ่งท่านเคยไปทำงานด้วยในโรงงานก่อนที่บวชเป็นนักพรต มาลิโค๊ทก็เล่าเรื่องราวต่างๆในชีวิตของเขาออกมาอย่างหมดเปลือก
 
บราเดอร์เวียนเนย์บอกว่า นักโทษหลายคนในเดทโรว์ไม่ได้รับการศึกษาสูงนัก พวกเขามีประสพการณ์ความยากลำบากในชีวิตเมื่อถูกพิพากษาลงโทษ บราเดอร์เล่าว่า มาลิโค๊ท ไม่รู้ตัวว่าทำไมเขาจึงฆ่าลูกสาวของเขา ที่ชื่อว่า เทสสา เมื่อตอนเป็นเด็กเขาก็ถูกตีเช่นเดียวกัน เขาเองไม่แน่ใจว่าพ่อของเขาเป็นใคร เขาแต่งงานแล้วแต่ไปอยู่กินกับหญิงอีกคนหนึ่ง คือแม่ของเทสสา เมื่อลูกสาวเสียชีวิตวันที่ 21 ก.พ. 1997 ผู้เป็นแม่ถูกพิพากษาลงโทษเพราะยินยอมให้เกิดความรุนแรงต่อลูกสาว
 
บราเดอร์เล่าต่อไปว่า “ในเวลานั้น มาลิโค๊ทติดคุกนาน 5 ปีแล้วและไม่เคยเล่าให้ใครฟังเกี่ยวกับอาชญากรรมของเขาเลย” บราเดอร์สังเกตเห็นได้ถึงความโล่งใจของมาลิโค๊ท เมื่อเขาได้เปิดเผยเรื่องราวเหล่านั้นแก่ท่าน ในที่สุดบราเดอร์ตัดสินใจที่จะถามคำถามหนี่งซึ่งอาจซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของฆาตกรผู้นี้ โดยต้องการเปิดจิตใจของเขา
 
“คุณได้พูดคุยกับเทสสาบ้างไหม?”
 
ความตกใจแสดงออกมาให้เห็นในใบหน้าของมาลิโค๊ท – เป็นเพียงครั้งเดียวที่บราเดอร์ได้เห็นอารมณ์ของเขาที่แสดงออกมา บราเดอร์บอกว่า มาลิโค๊ทไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาถามคำถามนี้กับเขา แต่เขาได้เคยพูดกับลูกสาวที่ตายไปแล้วของเขาจริงๆ ในแบบเดียวกับที่เราคาทอลิกพูดกับนักบุญ
 
“แล้วคุณพูดอะไรกับเธอ?” บราเดอร์ถามต่อ
 
“เทสสา ลูกให้อภัยพ่อไหม?” นักโทษตอบ
 
เปิดใจให้กับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า
 
ทั้งการเยี่ยมเยือน และการเขียนจดหมาย บราเดอร์ได้กระตุ้นให้มาลิโค๊ทสวดภาวนาเพื่อแก้ไขอุปนิสัยให้ถูกต้อง บราเดอร์ยังได้สอนเขาให้สวดภาวนาและสำนึกในความผิดอย่างจริงใจ เป็นเวลานานถึงสามปี ที่ท่านต้องสร้างความไว้วางใจระหว่างกันอย่างอดทน พยายามทำให้เขาไม่ท้อถอยและหันหลังกลับ ท่านรอคอยให้เขาเปิดใจให้กับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าที่จะเข้าสู่ส่วนลึกในใจของเขา นักโทษไม่ได้ตอบสนองอย่างดีนัก บ่อยครั้งที่มีอาการหงุดหงิด
 
ในจดหมายวันที่ 26 มิ.ย. 2006 มาลิโค๊ทบอกกับบราเดอร์เวียนเนย์ว่า การประหารชีวิตถูกกำหนดไว้เป็นวันที่ 22 สิงหาคม เวลา 6 โมงเย็น วันที่ 5 กรกฏาคม บราเดอร์ได้ไปเยี่ยมเขาโดยใช้เวลาที่ได้รับอนุญาตอย่างเต็มที่ บราเดอร์เรียกเขาว่า “ปรานสินี น้อยๆของผม” เหมือนดังเช่นทุกครั้ง
 
 เพราะการที่ไม่ได้เป็นคาทอลิก มาลิโค๊ทจึงต้องใช้ความพยายามที่จะทำความเข้าใจว่า ครั้งหนึ่งเคยมีซิสเตอร์คนหนึ่งได้สวดภาวนาให้แก่ปรานสินี และเขาก็เข้าใจในความสัมพันธ์ของเรื่องนี้” เมื่อถึงจุดวิกฤต มาลิโค๊ทพูดกับบราเดอร์เวียนเนย์ว่า เขาไม่ได้ห่วงเรื่องจะถูกประหารชีวิตเลย เขาพูดว่า “ผมได้ทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ภาคภูมิใจเลย และผมจะต้องเผชิญสิ่งนี้ต่อพระเป็นเจ้า
 
และนี่เป็นเวลาที่บราเดอร์รอคอย ขณะที่ท่านนั่งอยู่เบื้องหน้ากระจก “เขาได้เปิดใจแล้ว เขาเปิดใจให้กับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าทรงประทานโอกาสเล็กๆน้อยๆให้กับคุณเสมอ คุณต้องเปิดใจยอมรับ”
 
บราเดอร์เวียนเนย์บอกกับมาลิโค๊ทว่า ท่านได้มอบเขาให้อยู่ในการวอนขอของผู้ชอบธรรมสี่ท่านคือ แม่พระแห่งการตายดี น.เทเรซาแห่งลีซีเออร์ น. มารีอา กอเร็ตตี (เพราะเธอถูกฆาตกรรมในวัยเด็กและได้ให้อภัยแก่ฆาตกรก่อนที่เธอจะเสียชีวิต และฆาตกรก็ได้สำนึกผิดกลับใจ) และอีกท่านหนึ่งเป็นมรณสักขีเด็กแห่งกาตาคอมบ์ คือ น. โบโนซ่า
 
ไม่ได้มีเพียงบราเดอร์เวียนเนย์ มารีย์เท่านั้นที่สวดภาวนาเพื่อมาลิโค๊ท ยังมีเพื่อนสมาชิกในคณะและคณะอื่นที่อยู่รอบอารามเคลียครีกทางตอนเหนือของโอคลาโฮมาด้วย บราเดอร์เวียนเนย์ยังได้ขอให้เด็กหญิงตาบอดผู้หนึ่งช่วยสวดภาวนาเพื่อมาลิโค๊ทเป็นพิเศษอีกด้วย
 
20 กรกฏาคม ทนายความของมาลิโค๊ทได้รายงานให้บราเดอร์เวียนเนย์ ทราบว่า ครอบครัวของนักโทษไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นั่นในระหว่างการประหารชีวิต มาลิโค๊ทยินยอมให้พระสงฆ์และบราเดอร์เวียนเนย์มาอยู่ด้วยเพื่อช่วยเหลือเขา
 
ต้องใช้เวลาสองวันกว่าที่ข่าวจะมาถึง บราเดอร์เวียนเนย์ตระหนักว่า “เวลานี้ทุกสิ่งเป็นไปได้แล้ว” บราเดอร์เขียนจดหมายถึงมาลิโค๊ท ร่ายยาวเกี่ยวกับพระศาสนาคาทอลิก โดยไม่ให้มีอะไรตกหล่น “ผมอธิบายถึงความเชื่ออย่างละมุนละม่อมและหวังว่าเขาจะยอมรับ ผมสอนเขาเรื่องการสวดภาวนา การวอนขอต่อพระเมตตาของพระเป็นเจ้าและการขออภัยต่อผู้ที่เขาได้ทำร้าย”
 
“ผมอธิบายให้เขาทราบเล็กน้อยเกี่ยวกับการสารภาพบาปว่า พระสงฆ์ได้รับอำนาจในการยกบาปได้ และเป็นไปได้ที่จะประกาศยืนยันความเชื่อของตนก่อนในโบสถ์ แล้วจึงสารภาพบาปทีหลัง เป็นขั้นตอนที่สั้นที่สุดที่คาทอลิกจะสามารถรับศีลอภัยบาปนี้ได้” บราเดอร์กล่าว (จำเป็นต้องสารภาพบาปก่อนจึงรับศีลล้างบาปได้)
 
มาลิโค๊ทไม่ได้เขียนจดหมายตอบกลับมาในครั้งนี้ ประสบการณ์ของบราเดอร์เวียนเนย์บอกท่านว่า นักโทษคงจะยุติการเขียนจดหมายเมื่อใกล้ถึงความตาย
 
คุณพ่อ เคริก ลาร์กิน (Father Kirk Larkin) เป็นพระสงฆ์ผู้ช่วยในเมือง Ponca City, Oklahoma ท่านเคยเป็นผู้อภิบาลนักโทษก่อนที่จะมาบวช ท่านได้รับการติดต่อจากทนายความของมาลิโค๊ทเพื่อให้ความช่วยเหลือนักโทษในเวลาประหารชีวิตของมาลิโค๊ท
 
“ในตอนแรกผมปฏิเสธ” คุณพ่อลาร์กินกล่าว การงานของท่านในเวลานั้นไม่พร้อมที่จะให้ท่านมารับงานแบบนี้ “แต่ต่อมา ผมมาคิดว่า พระเป็นเจ้าอาจเรียกให้ผมมาทำงานนี้ก็ได้”
 
ท่านได้ร่วมมือกับบราเดอร์เวียนเนย์ในการเตรียมจิตวิญญาณของมาลิโค๊ท แต่แล้วเวลาแห่งความเศร้าก็ถูกเลื่อนออกไป การประหารถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 31 สิงหาคม และบราเดอร์เวียนเนย์ก็ได้ทราบในเวลาต่อมาเช่นกันว่าการมาถึงของ พระธาตุ น. โบโนซ่า ก็ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันเดียวกันนี้ด้วย  (มีการนำพระธาตุ น.โบโนซ่า มาที่อารามในเคลียคริก เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะกันพอดี บราเดอร์เชื่อว่าน.โบโนซ่า ได้ช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย)
 
วันสุดท้าย

คืนก่อนวันประหาร บราเดอร์เวียนเนย์ฝันร้าย ทำให้ท่านรู้สึกเพลียมากจนในที่สุดก็หลับไป
 
แต่มาลิโค๊ทหาเป็นเช่นนั้นไม่ วันที่ 31 สิงหาคม พระสงฆ์และบราเดอร์เวียนเนย์ขับรถไปถึงแดนประหารล่าช้าเล็กน้อยประมาณ 10 นาที และถูกนำไปที่ หน่วย H (home of Death Row) ทนายความของมาลิโค๊ทมาพบกับทั้งสองพร้อมกับข่าวว่า เขาไม่แน่ใจว่ามาลิโค๊ทจะยอมสารภาพบาปต่อพระสงฆ์ไหม หรือแม้แต่จะยอมพบกับทั้งสองท่านหรือไม่ด้วย
 
บราเดอร์เล่าให้ฟังว่า “เขาใจแข็ง เขาบอกว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาสารภาพผิด เขาถูกนำตัวมาที่คุกเดทโรว์ คุณคงไม่รู้หรอกว่าเขามีความเครียดมากแค่ไหน”
 
แต่ในเวลา 10:45 น. ภายใต้ความตึงเครียดของทุกฝ่าย บราเดอร์และพระสงฆ์ขอพบกับมาลิโค๊ท เป็นเวลาหลายวันที่คุณพ่อลาร์กินพยายามนึกภาพว่านักโทษจะมีสภาพเช่นไร ท่านรู้สึกเบาใจอยู่บ้างที่ยังเห็นสภาพมนุษย์หลงเหลืออยู่ในบุคคลที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกระจก บราเดอร์เวียนเนย์ไม่เคยเห็นมาลิโค๊ทในสภาพเยี่ยงนี้มาก่อน เขาตกอยู่ในความหวาดกลัวและต้องการจะนอน “ไม่ใช่สภาพของมนุษย์” บราเดอร์บอก มาลิโค๊ทได้รับอนุญาตหนึ่งชั่วโมงเพื่ออยู่กับผู้มาเยี่ยม และบราเดอร์ก็ไม่ยอมเสียเวลา ท่านสอบถามเกี่ยวกับตัวมาลิโค๊ทและครอบครัวของเขาและได้แนะนำคุณพ่อลาร์กินแก่มาลิโค๊ท บราเดอร์บอกกับมาลิโค๊ทว่า เขาสามารถประกาศยืนยันความเชื่อและสารภาพบาปต่อคุณพ่อลาร์กินในเวลานี้ได้ แล้วบราเดอร์ก็มอบโทรศัพท์ให้แก่คุณพ่อลาร์กิน
 
มาลิโค๊ทบอกกับพระสงฆ์ว่า เขาไม่ต้องการสารภาพบาป
 
“เจมส์ มาลิโค๊ท ใส่ใจในผู้อื่นมากกว่าตัวของเขาเองในตอนนั้น” คุณพ่อลาร์กินเล่า “เขาบอกผมว่า คุณพ่อ ผมไม่ต้องการเป็นภาระให้คุณพ่อในเรื่องร้ายๆที่ผมได้ก่อขึ้นมา และมันนำผมมาสู่จุดสุดท้ายของชีวิตผม”
 
คุณพ่อลาร์กิน โดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน พยายามที่จะเปิดประตูจิตใจซึ่งบราเดอร์เวียนเนย์ได้สะเดาะกลอนออกไปแล้ว และทำให้เขามาสู่ความเชื่อ ท่านสวดบทข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้าทีละข้อ และขอให้มาลิโค๊ทตอบรับในแต่ละข้อที่ท่านได้กล่าว
 
บราเดอร์เวียนเนย์เงยหน้าขึ้นมองจากที่ๆท่านยืนอยู่ ท่านเห็นคุณพ่อลาร์กินกำลังยกมืออวยพร เจมส์ มาลิโค๊ท บราเดอร์ไม่มีทางรู้ว่านี่เป็นการอภัยบาปที่เต็มร้อยหรือไม่ แต่บราเดอร์ค่อนข้างแน่ใจ
 
“ผมรู้ว่าเขาได้สารภาพบาปแล้ว” บราเดอร์เวียนเนย์กล่าว “และผมก็อยากจะกระโดดตัวลอยทะลุเพดานห้องขังเลย”
 
“เขาถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิงในคุกนั่น” บราเดอร์เวียนเนย์กล่าว “และในวาระสุดท้าย พระหรรษทานของพระเป็นเจ้าได้ถูกประทานให้แก่เขา เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ยาก มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ”
 
นักพรตที่ซ่อนเร้นและอำนาจของการสวดภาวนา
 
“พลังอำนาจ ได้มาจากอำนาจของการสวดภาวนา ซึ่งทำงานอยู่เบื้องหลัง” คุณพ่อแอนเดอร์สัน อธิการอารามเคลียครีก กล่าว
 
“คณะคอนเทมพลาทีว์ฟ มีจุดประสงค์เพียงแค่การสวดภาวนา ไม่ใช่การอภิบาลโดยตรง แต่การสวดภาวนานี้ครอบคลุมไปทั่วโลก ส่วนใหญ่จะมองไม่เห็น แต่อยู่ในจิตวิญญาณ เพียงชั่วขณะหนึ่ง พระเป็นเจ้าจะทรงยกมุมๆหนึ่งของม่านออก แล้วคุณก็จะเห็นว่ามันทำงานอย่างไร”
 
บราเดอร์เวียนเนย์กล่าวว่า “เป็นงานของพระเป็นเจ้าที่ได้ทรงกระทำที่เดทโรว์”
 
และไม่เพียงเท่านี้ บราเดอร์เวียนเนย์ยังพบอีกว่า วันที่มาลิโค๊ทเสียชีวิต ตรงกับวันที่ ปรานสีนี นักโทษของน. เทเรซา ถูกประหารชีวิตเช่นเดียวกัน คือวันที่31 สิงหาคม
 
ไม่กี่วันหลังจากการประหารชีวิต บราเดอร์เวียนเนย์ได้รับจดหมายจากมาลิโค๊ท ลงวันที่ 29 สิงหาคม สองวันก่อนถูกประหารชีวิต ในจดหมายนั้นเขาเขียนว่า “แล้วคุณจะได้เห็นว่า การสวดภาวนาจะไม่มีวันสูญเปล่า”

************************

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น