วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

ความสว่างฉายแสงในความมืด


จากหนังสือ Mother Teresa: My Life for the Poor
 
ครั้งหนึ่ง คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาพบกับชายชราคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในสภาพที่ท่านเรียกว่า "สภาพที่น่าสมเพชที่สุด" หนึ่งในหลายๆวิธีที่ท่านและบรรดาซิสเตอร์ในคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมใช้ในการดูแลคนยากจนอันเป็นที่รักของพวกเขาก็คือเข้าไปในบ้านของพวกเขา ซิสเตอร์จะทำความสะอาดบ้าน, ซักเสื้อผ้าและอาบน้ำให้พวกเขา คุณแม่เทเรซาพูดคุยกับชายชราคนนี้และขออนุญาตทำความสะอาดบ้านให้เขา ในตอนแรกเขาปฏิเสธ แต่ในที่สุดท่านก็โน้มน้าวให้เขายอมให้ท่านทำ
 
ในขณะที่ท่านกำลังทำความสะอาด, ท่านก็พบตะเกียงเก่าที่สวยงามมากถูกปกคลุมด้วยฝุ่นและสิ่งสกปรก “คุณไม่จุดตะเกียงหรือ?” ท่านถามเขา
 
“จุดเพื่อใครล่ะ?” เขาตอบ “ไม่มีใครมาที่นี่ ผมไม่เคยเจอใคร ไม่มีใครมาหาผม ผมไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียง”
“แล้วถ้าซิสเตอร์มาหาคุณล่ะ คุณจะจุดตะเกียงไหม?” คุณแม่เทเรซาถาม
 “ใช่ ผมจะทำแน่นอน!” เขาตอบ หลังจากวันนั้น บรรดาซิสเตอร์ก็จะไปเยี่ยมเขาแล้วเขาก็จะจุดตะเกียง
 
หลายปีต่อมาชายชราขอให้ซิสเตอร์ส่งข้อความถึงคุณแม่เทเรซาว่า:“บอกเพื่อนของผมด้วยว่า แสงที่ท่านจุดในชีวิตผมยังคงลุกไหม้อยู่!”
 
ฉายแสงของพระคริสต์
 
แสงทางกายภาพที่คุณแม่เทเรซาส่องสว่างในบ้านของชายชรานั้นสวยงาม แต่แสงสว่างทางจิตวิญญาณที่ท่านและบรรดาซิสเตอร์มอบให้แก่เขานั้นเผาไหม้และส่องสว่างมากยิ่งกว่า และไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนึ่งในบทภาวนาที่คุณแม่เทเรซาชอบมากที่สุดคือการสวดภาวนาเพื่อขอให้บังเกิดแสงสว่างนี้..บทภาวนานี้คือ “Radiating Christ” (ฉายแสงของพระคริสต์) ซึ่งพระคาร์ดินัลจอห์น เฮนรี่ นิวแมนเป็นผู้ประพันธ์ขึ้น และคุณแม่เทเรซาพร้อมกับบรรดาซิสเตอร์ได้ภาวนาทุกวัน:
 
"พระเยซูเจ้าข้า โปรดช่วยให้ลูกกระจายความหอมของพระองค์ไปทุกหนทุกแห่ง โปรดทำให้จิตใจของลูกท่วมท้นด้วยพระจิตและชีวิตของพระองค์ โปรดครอบคลุมและครอบครองชีวิตทั้งหมดของลูกอย่างครบถ้วนจนชีวิตของลูกกลายเป็นรังสีความสว่างของพระองค์ โปรดส่องแสงโดยอาศัยลูกและอยู่ในตัวลูก ทำให้วิญญาณที่ลูกติดต่อด้วยรู้สึกถึงการมีอยู่ของพระองค์ในจิตวิญญาณของลูก ทำให้พวกเขามองไม่เห็นลูกอีกต่อไป แต่เห็นพระองค์ที่ทรงอยู่กับลูก แล้วนั้นลูกจะเริ่มส่องสว่างเช่นเดียวกับพระองค์ เพื่อที่ความสว่างจะฉายแสงให้แก่ผู้อื่น พระเยซูเจ้าข้า ความสว่างทุกอย่างมาจากพระองค์ ไม่มีความสว่างใดที่มาจากลูก เป็นพระองค์ที่ทรงฉายแสงโดยผ่านทางลูก ลูกขอสรรเสริญพระองค์ด้วยสิ่งที่พระองค์พอพระทัยที่สุดคือ การส่องสว่างให้แก่คนรอบข้าง ให้ลูกเทศน์สอนถึงพระองค์โดยไม่เทศน์สอน เพราะไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วยแบบอย่างของลูก โดยอาศัยความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นซึ่งเป็นพยานแห่งความรักที่แท้จริงของลูกที่มีต่อพระองค์"
 
แสงสว่างที่คุณแม่เทเรซาแพร่กระจายออกไปนั้นยังคงเผาไหม้ในชีวิตของชายชราและคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
 
ความสว่างที่เกิดจากความรักของท่านนั้นเป็นจริงและจับต้องได้ ทำให้นักข่าวชาวอังกฤษชื่อดังระดับโลกอย่าง มัลคอล์ม มูเกอร์เจอริด( Malcolm Muggeridge )เชื่อว่ามันเป็น “อัศจรรย์แห่งภาพถ่ายครั้งแรกที่เป็นจริง”
 
มัลคอล์ม พบกับคุณแม่เทเรซาครั้งแรกเมื่อเขาสัมภาษณ์ท่านให้กับบีบีซีในปี 1967 ท่านทำให้เขารู้สึกประทับใจมาก ทำให้เขาเดินทางไปยังเมืองกัลกัตตาเพื่อถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับงานของท่าน ในขณะที่ถ่ายทำสารคดีนี้ มัลคอล์ม และช่างภาพของเขาเข้ามาที่บ้านสำหรับผู้ใกล้เสียชีวิต ที่ซึ่งบรรดาซิสเตอร์จะนำผู้ใกล้เสียชีวิตซึ่งพวกเขาพบตามท้องถนนของกัลกัตตามายังสถานที่แห่งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้ "ตายภายใต้การดูแลของผู้ที่มีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความรัก"
 
ในเวลานั้น ภายในอาคารนี้ยังมีเพียงแสงสลัวๆ เนื่องจากหน้าต่างมีขนาดเล็กและอยู่สูงมากบนผนัง ช่างภาพกล่าวว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะถ่ายภาพในอาคาร เขาถ่ายรูปที่นั่นแต่ไม่ได้หวังว่าจะได้รูปออกมา
 
เมื่อรูปภาพถูกนำไปล้าง ภาพที่ถ่ายใน Home for the Dying นั้น มัลคอล์ม เขียนว่า “อาบด้วยแสงอ่อนๆ ที่สวยงามเป็นพิเศษ” ช่างภาพกล่าวว่าโดยทางทางเทคนิคแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นนั้น เขาใช้ฟิลม์เดียวกันไปถ่ายภาพในที่อื่นซึ่งมีแสงสลัวแบบเดียวกัน แต่ไม่มีอะไรออกมา
 
มัลคอล์ม “เชื่อมั่นอย่างยิ่ง” ว่ามันเป็นแสงสว่างเดียวกันกับที่บิชอปนิวแมนเขียนไว้ว่า
 
“บ้านของคุณแม่เทเรซาเพื่อผู้ตายกำลังล้นหลั่งไปด้วยความรัก ที่ทุกคนรู้สึกได้ทันทีเมื่อเข้ามา” ...ความรักนี้ส่องสว่างราวกับรัศมีที่จิตรกรวาดภาพไว้รอบๆศีรษะของนักบุญ ข้าพเจ้าไม่ประหลาดใจเลยว่าความสว่างนี้จะเกิดบนฟิล์มถ่ายภาพได้ด้วย ... แสงนั้นสื่อถึงสถานที่นั้นได้อย่างสมบูรณ์ตามที่เป็นจริง ความสว่างที่ส่องออกไปด้านนอกและมองเห็นได้แสดงให้เห็นถึงความรักภายในที่มองไม่เห็นของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ”
 
ความสว่างฉายแสงในความมืด
 
แสงสว่างจากตะเกียงที่ลุกไหม้ของชายชราและแสงสว่างในชีวิตของเขา แสงที่คุณแม่เทเรซาสวดอธิษฐานทุกวัน แสงที่ส่องสว่างในบ้านสำหรับผู้ใกล้ตายและแสงบนใบหน้าของคุณแม่เทเรซานั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเป็นแสงสว่างของพระคริสต์ และ มัลคอล์ม ก็ได้รับรู้ถึงแหล่งที่มานั้น
 
มัลคอล์ม ไม่ได้เป็นคาทอลิกเมื่อเขาเขียนเกี่ยวกับคุณแม่เทเราซาในหนังสือของเขาชื่อ Something Beautiful for God เขาชื่นชมคุณแม่เทเรซาเป็นอย่างมาก และเขารู้ว่าแสงสว่างของท่านมาจากพระคริสต์ แต่การแตกแยกและความขัดแย้งที่เขาเห็นภายในพระศาสนจักรทำให้เขาไม่สามารถเข้ามาสู่พระศาสนาจักรได้ ด้วยเรื่องอื้อฉาวเช่นนั้นเขาจึงไม่สามารถเชื่อว่าพระศาสนจักรเป็นอะไรที่มากกว่าสถาบันของมนุษย์
 
แม้กระนั้น คุณแม่เทเรซาก็จะไม่ยอมแพ้ต่อเขา
 
“ฉันไม่รู้ว่าทำไม” ครั้งหนึ่งท่านเขียนจดหมายถึงเขา “แต่บ่อยครั้งที่ในใจของฉันมีความปรารถนาว่า เมื่อคุณรับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทครั้งแรก ฉันจะได้อยู่ที่นั่นในอังกฤษด้วย ฉันไม่รู้สาเหตุ – แต่พระเยซูเจ้าไม่ทรงให้เกิดความปรารถนา ถ้าหากพระองค์ไม่ประสงค์ให้สิ่งนั้นสำเร็จไป"
 
มัลคอล์ม ประทับใจมากในความปรารถนาของท่าน แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้
 
“ผมรู้ดีและแน่ใจว่า ถึงแม้ผมอยากจะให้มันเป็นเช่นนั้นก็ตาม ระฆังก็จะไม่มีวันดังขึ้นสำหรับผม” เขาเขียน “ไม่มีที่สำหรับผมที่บริเวณคุกเข่าสำหรับรับพระกายพระคริสตเจ้า ผมควรอยู่ข้างนอกที่นั่นด้วยซ้ำ”
 
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นว่าเขาไม่อาจเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรได้ มัลคอล์ม ก็ยังเปิดหน้าต่างไว้ในบ้านที่ปิดของเขา:“ผมพูดได้แต่เพียงว่า ถ้ามันชัดเจนสำหรับผมว่าผมสามารถเข้าสู่พระศาสนจักรด้วยความเชื่อแล้ว ผมจะรีบทำทันทีด้วยความกระตือรือร้นและยินดี เพราะผมรู้ว่ามันจะทำให้คุณแม่เทเรซามีความสุข"
 
ในปี 1982 เป็นเวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษหลังจากที่ มัลคอล์ม เขียนคำเหล่านั้น เขาได้เข้าไปในโบสถ์คาทอลิก มันทำให้เขาพูดว่า “มีความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ได้เก็บเศษเสี้ยวของชีวิตที่หายไป”
 
แสงที่เขาเห็นในความรักของคุณแม่เทเรซาได้ส่องสว่างหนทางกลับบ้าน ในขณะที่คุณแม่เทเรซาสวดภาวนาด้วยบทภาวนาของบิชอปนิวแมนซึ่งไม่ใช่แสงสว่างของท่าน แต่เป็นแสงสว่างของพระคริสต์ที่ส่องแสงสู่ผู้คนโดยผ่านท่าน แสงนั้นส่องทะลุความมืดด้วยรังสีแห่งความหวัง
 
ดังที่นักบุญยอห์นกล่าวว่า “ความสว่างส่องสว่างในความมืดและความมืดไม่สามารถเอาชนะได้” (ยอห์น 1: 5)
 
ขอนักบุญคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาซึ่งเราฉลองในวันที่ 5 กันยายน ช่วยพวกเราทุกคนให้ได้รับแสงสว่างนั้นและนำไปแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น เหมือนที่คุณแม่ได้ทำ ผู้ที่อยู่ในความมืดกำลังรอคอยให้มีใครสักคนฉายแสงรังสีของพระคริสต์มายังพวกเขา

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น