“เราจงยึดมั่นโดยไม่หวั่นไหวในการประกาศความหวังที่เรามีอยู่ เพราะว่าพระองค์ผู้ประทานสัญญานั้นทรงซื่อสัตย์” ฮีบรู 10:23
พระเยซูเจ้าตรัสถึงพระทัยใส่ของพระบิดาต่อลูกของพระองค์ไว้อย่างน่าฟังว่า
“อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายย่อมสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ? จงดูนกในอากาศเถิด มันไม่ได้หว่าน มันมิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายไม่ได้มีค่ามากกว่านกหรือ?” (มธ. 6 :25-27) ...ดังนั้นอย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไรหรือจะดื่มอะไร หรือจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งเหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้” (มธ. 6 :31-33)
ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับพระเมตตาและพระหรรษทานของพระเจ้า เราจึงต้องไว้วางใจว่าพระเจ้าทรงประสงค์ช่วยเราให้รอดและพระองค์จะทรงประทานสิ่งจำเป็นต่างๆแก่เราในการดำรงชีวิตในโลกนี้และเพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร บรรดานักบุญทั้งหลายรับรู้ถึงการปรากฏของพระเยซูเจ้าในชีวิตของพวกท่านอย่างลึกซึ้ง.....
ครั้งหนึ่งในรัชสมัยของกษัตริย์นักบุญหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส มีการประกอบพิธีมิสซาในโบสถ์น้อยของวัง ได้เกิดอัศจรรย์ขึ้นระหว่างภาคถวาย: พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์มาที่พระแท่นบูชาในรูปของพระกุมารน้อยที่สวยงาม ทุกคนต่างจ้องมองที่พระองค์ด้วยความพิศวงใจและตระหนักว่าอัศจรรย์นี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงการปรากฏอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท มีคนรีบไปบอกพระเจ้าหลุยส์ซึ่งไม่ได้อยู่ที่นั่น เพื่อให้พระองค์มาที่โบสถ์และดูอัศจรรย์นี้ แต่พระเจ้าหลุยส์ทรงปฏิเสธและตรัสว่า “ฉันเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในศีลมหาสนิทอย่างแท้จริง พระองค์ทรงบอกไว้และนั่นก็เพียงพอแล้ว ฉันไม่ต้องการสูญเสียความเชื่อของฉันโดยไปดูอัศจรรย์นี้”
บทความนี้นำมาจากหนังสือ Saintly Solutions
พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นฝ่ายจิตให้แก่เราตามที่พระองค์สัญญา ทั้งความจำเป็นฝ่ายร่างกายด้วย ตราบเท่าที่เรามีความวางใจในพระองค์
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนได้รับรายงานจากพ่อครัวว่าไม่มีอาหารสำหรับวันต่อไปแล้ว ท่านตอบพ่อครัวว่า “ปล่อยให้พระเจ้าจัดเตรียมอาหารเถิด พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง พระองค์จะทรงดูแลพวกเราเอง” แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังไม่มีอาหาร...จนกระทั่งมีเสียงเคาะที่ประตู พ่อค้าคนหนึ่งมาที่อารามและเล่าให้ฟังว่า เขาฝันเมื่อคืนก่อนนี้ว่า นักบวชที่อารามนี้ต้องการอาหารและเขาได้นำอาหารมาให้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ
ในศตวรรษที่19 บุญราศี Anne-Marie Jahouvey ได้ตั้งคณะหนึ่งขึ้นโดยได้รับการขัดขวางอย่างหนักจากบิดาของเธอเอง เธอและน้องสาวได้ตั้งบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และเมื่อเงินสำหรับซื้ออาหารหมดลงในวันหนึ่ง เธอได้ไปที่โบสถ์และสวดภาวนา “ลูกต้องการความช่วยเหลือ. ลูกไม่ใช่คนฉลาด และสิ่งที่ลูกวอนขอก็อาจเกินกว่าน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ลูกทำสิ่งเหล่านี้เพื่อเด็กๆ และพวกเขาก็เป็นของพระองค์ มากกว่าเป็นของลูก หากลูกทำผิดไป โปรดลงโทษลูกเถิด โปรดอย่าลงโทษพวกเขาเลย ลูกขอร้องพระองค์อย่าทรงทอดทิ้งพวกเขา โปรดช่วยด้วยเถิด”
แล้ว แอน มารีย์ก็ได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าอย่างชัดเจน: “ทำไมลูกจึงมาที่นี่เพื่อเปิดเผยความสงสัยของลูกเล่า? ลูกไม่มีความเชื่อในตัวเราหรือ? เราเคยทำให้ลูกผิดหวังไหม? จงกลับไปหาเด็กๆเถิด” ปรากฏว่าบิดาของแอน มารีย์ได้มาที่บ้านเด็กกำพร้าพร้อมด้วยเกวียนขนอาหารมากมายเขาพูดว่า “พ่อไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงทำแบบนี้ แต่พ่อไม่สามารถปล่อยให้ลูกอดอาหารได้” แอน มารีย์ ตระหนักว่าพระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่ทดสอบความเชื่อของเธอเท่านั้น แต่ยังทรงยืนยันถึงความรักและพระทัยใส่ของพระองค์ที่มีต่อเธอด้วย
นักบุญยอห์น บอสโกได้ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการดูแลเด็กกำพร้าจำนวนมากและเด็กชายคนอื่นๆโดยไม่มีอะไรสนับสนุนอย่างเพียงพอเลย ทุกครั้งที่ผู้ช่วยของท่านบอกกับท่านว่าทางคณะกำลังมีปัญหาทางการเงินอย่างหนักและไม่มีทางออกอีกต่อไป คุณพ่อบอสโกรับรองพวกเขาว่า “พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมไว้ให้” - และท่านก็พูดถูกในทุกๆกรณี
นักบุญฟรานเชส คาบรินี ชาวอิตาเลียนที่มีชื่อเสียง เป็นอีกคนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจแบบเด็กเช่นนี้ ในระหว่างการแพร่ธรรมอันยาวนานในสหรัฐอเมริกา เธอและบรรดาซิสเตอร์ในคณะได้เผชิญกับความปัญหาความยุ่งยากมากมายในการดูแลผู้อพยพชาวอิตาเลี่ยนที่ยากจน แต่พวกเขาก็สามารถสร้างโรงเรียนโรงพยาบาลและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายแห่ง เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาเกิดขึ้น คุณแม่คาบรินีจะถามว่า “ใครเป็นผู้ทำกิจการนี้? เรา - หรือพระเยซูเจ้า?”
การไว้วางใจในพระเจ้าหมายถึงการเชื่อในการดูแลของพระองค์ที่มีต่อเรา แม้ในขณะที่ความชั่วร้ายดูเหมือนจะได้เปรียบ ตามที่ท่านอธิการ เซนต์สตีเฟ่นแห่ง Rieti(ในศตวรรษที่ 6)ได้เล่าว่า เมื่อชายชั่วร้ายเข้ามาเผายุ้งฉางที่เก็บข้าวในอาราม นักบวชพูดกับท่านอธิการสตีเฟ่นว่า “อนิจจาเอ๋ย น่าสงสารในสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน!” ท่านอธิการตอบว่า “จงพูดแบบนี้ว่า 'อนิจจาเอ๋ย น่าสงสารในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขา เพราะการกระทำครั้งนี้' เพราะจะไม่เกิดอันตรายใดๆกับฉัน” ท่านสตีเฟ่นรู้ดีว่าพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าการกระทำที่ชั่วร้ายใดๆของมนุษย์
ตามที่นักบุญอัลเบิร์ตผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “ยิ่งมีความเชื่อมั่นในพระเจ้ามากขึ้นเพียงใด เรายิ่งได้รับทุกสิ่งที่เราขอมากขึ้นเท่านั้น” ประเด็นนี้สอดคล้องกับนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลาผู้ซึ่งยืนยันเราว่า“พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจและไม่เคยละเลยต่อผู้ที่ทุกข์ทรมานและถูกดูหมิ่น ถ้าเพียงแต่พวกเขาไว้วางใจในพระองค์เท่านั้น”
ถ้าเราพยายามที่จะทำงานของพระเจ้าแทนที่จะทำงานของเราเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาและทรงจัดหาสิ่งที่เราต้องการ (แม้กระทั่งการทำอัศจรรย์ ถ้าจำเป็น) อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่พระองค์ไม่สามารถทำได้คือบังคับให้เราวางใจในพระองค์ หากเราเลือกด้วยใจอิสระที่จะทำสิ่งนี้, เรากำลังร่วมมือกับพระหรรษทานของพระองค์และผลลัพธ์ก็รับประกันได้ว่าจะยอดเยี่ยมและน่าอัศจรรย์
ข้อคิดจากนักบุญ
“อย่ากลัวสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ พระบิดาผู้ทรงห่วงใยท่านในวันนี้จะดูแลท่านในวันพรุ่งนี้และทุกวัน ไม่ว่าพระองค์จะปกป้องท่านจากความทุกข์ทรมานหรือพระองค์จะประทานพละกำลังอย่างไม่เสื่อมคลายให้ท่านแบกรับไว้ จงอยู่อย่างสงบสุขแล้วทิ้งความวิตกกังวลและจินตนาการทั้งหมดไปเสีย”
– นักบุญ ฟรานซิส เดอ ซาลส์
****************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น