วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562

พระเมตตาของพระเยซูเจ้า


เล่าโดย เออร์ม่า จีน เบล Erma Jean Beil

ตั้งแต่ปี 1986 เมื่อฉันทราบเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญโฟสตินาและสายประคำพระเมตตา ฉันก็ได้สวดภาวนาอธิษฐานให้แก่เพื่อนสนิทคนหนึ่งคือ M.B. ซึ่งฉันถือว่าเธอเป็นเหมือนน้องสาวของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ฉันได้สวดอ้อนวอนขอให้เธอกลับคืนมาเข้าโบสถ์อีกครั้ง ในตอนเย็นของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2018 ฉันเหมือนถูกบังคับให้สวดสายประคำพระเมตตาอย่างไม่เคยมีมาก่อนและคร่ำครวญให้กับวิญญาณของเธอ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเธอกำลังป่วยหนัก
 
ในเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน 2018 เพื่อนบ้านของ M.B. ต้องการที่จะยืมสิ่งของจากเธอ เธอบอกเพื่อนบ้านให้รอ 30 นาทีเพราะเธอรู้สึกไม่สบาย สามสิบนาทีต่อมาเพื่อนบ้านก็เดินไปหาเธอ และพบว่าเธอป่วยหนักไม่สามารถขยับขาของเธอหรือยืนได้ เมื่อรถพยาบาลพาเธอไปโรงพยาบาลปอดของเธอก็เริ่มเต็มไปด้วยของเหลว
 
แพทย์พบว่าเธออยู่ในอาการโคม่า น้ำตาลในเลือดของเธอสูงมาก, ออกซิเจนในเลือดต่ำและอัตราการเต้นของหัวใจของเธอไม่ดี ฉันรีบไปที่โรงพยาบาล เครื่องตรวจคลื่นหัวใจแสดงให้เห็นว่า M.B. มีเนื้องอกมะเร็งในหัวใจของเธอยาวประมาณ 4 นิ้วและใหญ่เท่ากำมือของฉัน
 
        พวกเขาผ่าตัดเธอในเช้าวันต่อมา แต่ฉันอยู่เฝ้าเพื่อนรักของฉันตลอดทั้งคืนในหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก ฉันสวดสายประคำพระเมตตาอย่างต่อเนื่อง วันรุ่งขึ้นหลังจากการผ่าตัดของ M.B. หมอบอกว่ามันเป็นไปด้วยดี แต่พวกเขาต้องรอเธอให้ตื่นขึ้นมาก่อน ปรากฎว่าเธอไม่ตื่นขึ้น แพทย์อธิบายว่าเธออยู่ในสภาวะเจ้าหญิงนิทราอย่างถาวรและพวกเขาไม่คาดว่าเธอจะออกมาจากสภาพนี้ ฉันหวาดหวั่นใจว่าเธอจะตายโดยไม่ได้รับศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิทหลังจากที่เธอห่างเหินจากโบสถ์เป็นเวลานานถึง 40 ปี
 
ตลอดทั้งคืนนั้น ฉันอ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วยวิญญาณของเธอ ในวันถัดไปฉันก็ได้พบว่าร่างกายของ M.B. ตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย ร่างกายของเธอเคลื่อนไหว แต่จิตใจเธอไม่ปกติ เธอมักจะดิ้น, ดวงตาของเธอกลอกไปมา, อ้าปากค้างและเธอไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น เธอถูกมัดไว้กับที่นอนเพราะการดิ้นของเธอรุนแรงมาก
 
เวลา 15.00 น. พระสงฆ์ได้มาเยี่ยม ท่านให้ศีลเจิมแก่เธอแล้วเราก็สวดภาวนาให้เธอ
 
แพทย์ได้จัดประชุมในวันถัดไปเพื่อหารือว่าจะทำอะไรกับ M.B บ้าง ตอนนี้เธอไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขาต้องการหารือว่าสมควรจะใช้เครื่องพยุงชีวิตเพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่
 
ฉันไปค้นหาคำสอนของพระศาสนจักรเกี่ยวกับสถานการณ์แบบนี้  ก่อนหน้านี้ฉันได้ไปหาเพื่อนของฉันที่เตียงของเธอและกระซิบข้างหูเธอว่า "เธอจะไม่เข้าใจสิ่งนี้ แต่ฉันกำลังสวดภาวนาให้เธออยู่ และพระเยซูทรงยืนอยู่ระหว่างเธอกับพระเจ้าพระบิดา, ไม่ใช่ในฐานะผู้พิพากษาแต่ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงเมตตา" ฉันได้ลูบหน้าผากของเธอ ชั่วไม่กี่วินาที, เธอได้สบสายตากับฉัน ถึงแม้พวกเขาจะบอกฉันว่ามันเป็นเพียงการตอบสนองแบบอัตโนมัติ ฉันจึงพูดกับเธอว่า "พระเยซูอยู่กับเธอ จงวางใจในพระเยซู" แล้วก็มีน้ำตาไหลรินจากดวงตาของเธอ
 
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาโทรศัพท์มาหาฉันและพูดว่า "M.B. ตื่นขึ้นมาแล้ว และเรียกหาคุณ มันเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง" ไม่มีใครบอกแพทย์และเมื่อเขามาถึงที่ห้องของเธอเพื่อพบกับเรา หมอเห็นฉันยืนอยู่ที่นั่นพูดกับเธอราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็พูดว่า "มันเป็นปาฏิหาริย์"
 
ต่อมา M.B. บอกฉันว่า "ฉันได้ยินเธอบอกฉันว่า เธอกำลังสวดภาวนาเพื่อฉันและบอกว่าพระเยซูทรงอยู่ที่นี่" เธอยังบอกอีกว่า เธอรู้สึกถึงฉันที่กำลังสวดภาวนาให้เธอเมื่อคืนก่อนนี้ด้วย (แต่ความจริงนั่นเป็นสี่หรือห้าคืนก่อน) และเธอรู้สึกถึงฉันกำลังอยู่ที่นั่นในห้องและก้าวเดินไปมา เหมือนคนพิการที่ใช้ไม้เท้า โดยปกติฉันมักไม่ค่อยก้าวเดิน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่เธอจะจินตนาการขึ้นมาเอง เพราะในคืนนั้นฉันก้าวเดินไปมาเพื่อสวดภาวนาสายประคำพระเมตตาของพระเจ้า เธอยังบอกด้วยว่า เธอได้ตื่นขึ้นมาในฝันร้ายพยายามจะเคลื่อนไหวและส่งเสียงกรีดร้อง
 
หนึ่งปีต่อมาเธอยังคงเป็นสิ่งท้าทายต่อความคาดหวังของแพทย์เกี่ยวกับความคืบหน้าในอาการของเธอ ขอบพระคุณพระเมตตาของพระเจ้า โปรดสวดภาวนาเพื่อการกลับใจและสุขภาพของเพื่อนที่รักของฉันต่อไปด้วย



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น