วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ไฟชำระ - ชีวิตหลังความตาย

 

'ไฟชำระ' สถานที่ซึ่งทำให้บรรดาวิญญาณได้รับผลแห่งการกระทำของตนที่ได้ปฎิบัติมาในชีวิต ถือเป็นเรื่องชีวิตหลังความตายที่ผู้นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก เป็นเครื่องหมายของการรอคอย การชำระตน และเมื่อชำระตัวสะอาดดีพร้อมแล้วก็จะไปสวรรค์

ซึ่งหากจะอ้างอิงจากหนังสือ 'หลักธรรม คำสอน คาทอลิก' นั้น ได้ให้ความหมายของ 'แดนมรณะ' ไว้อย่างเข้าใจง่ายว่า เมื่อมนุษย์ที่เกิดในยุคก่อนพระเยซูเจ้าเสด็จลงมานั้นสิ้นชีวิตลง ดวงวิญญาณของพวกเขาก็จะไปรวมกันอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ไม่ว่าวิญญาณนั้นจะเป็นวิญญาณของคนดีมีธรรม หรือคนบาปก็ตาม เพื่อรอคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้ไถ่

แต่อย่างไรก็ดี คำสอนดังกล่าวยังคงไม่ได้รับการอธิบายที่ชัดเจน ทำให้แม้แต่ตัวคริสตชนเองบางคนยังเกิดความสงสัยหรือสับสนอยู่บ้าง เนื่องจากเรื่องราวดังกล่าวอยู่เหนือเหตุผลของมนุษย์

เพราะเหตุนี้ บทความนี้จึงนำเอาความหมาย 'ไฟชำระ' จากคำนิยามของบาดหลวงทั้ง 4 ท่าน ที่อธิบายออกมาในภาษาที่เข้าใจง่าย ให้ท่านผู้อ่านได้ลองทำความเข้าใจ หนึ่งในความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของคริสตชน

"ไฟชำระเป็นสภาพของวิญญาณตามความเชื่อคาทอลิก, ที่ยังไม่สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ เนื่องจากตอนยังมีชีวิตได้ทำบาปผิดแต่ไม่ร้ายแรงหรือหนักมาก, ตามคำสอนที่ว่าไว้ เช่นการตั้งใจฆ่าคนตาย, การลบหลู่ต่อพระและศีลมหาสนิท / ถ้ามีบาปเบาเมื่อตายไปวิญญาณจะต้องไปใช้โทษบาป ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถตอบได้ว่าจะมากน้อย, ยาวนาน, และแบบไหน" - บาดหลวงสมพร มีมุ่งกิจ

"ไฟชำระ หมายถึง สภาพที่บรรดาวิญญาณมนุษย์ที่ได้ตายไป และยังไม่สามารถอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะยังมีบาป มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ยังไม่เหมาะจะไปสวรรค์ ต้องรอและใช้โทษบาปเสียก่อน เราเรียกพระศาสนจักรนี้ว่า พระศาสนจักรที่กำลังใช้โทษ" - บาดหลวงนันทพล สุขสำราญ

"ไฟชำระ คือ สถานะที่ชำระตนให้หมดจากโทษของบาป เมื่อพร้อมแล้ววิญญาณก็จะได้ไปอยู่ในสวรรค์ สวรรค์ที่จะพบกับพระเป็นเจ้า และมีความสุขกับพระองค์" - บาดหลวงเอกพงษ์ สุวิชากร

"พระศาสนจักรเราสอนว่าไฟชำระ ซึ่งเป็นสถานที่หรือสภาพที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ มีไว้สำหรับการตระเตรียมวิญญาณเพื่อให้ได้รับสิทธิในการเข้าสู่สวรรค์ พระศาสนจักรจึงสนับสนุนเราภาวนา, ให้ทานและทำกิจใช้โทษบาปแทนวิญญาณทั้งหลายในไฟชำระ เพราะดวงวิญญาณเหล่านั้นไม่สามารถที่จะภาวนาเพื่อตัวเองได้อีกต่อไป" - บาดหลวงศิรวิชย์ มารีย์พัฒนกิจ

ทั้งนี้ ชาวคริสต์ยังมีความเชื่อหลังความตายในเรื่องของ 'การกลับคืนชีพ' ความเชื่อถึงความรอดพ้น ที่ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณที่ไม่แยกจากกัน ซึ่งตรงข้ามกับตามหลักมานุษยวิทยานั้น ได้แบ่งธรรมชาติมนุษย์เป็นสองส่วน คือ ร่างกาย และ วิญญาณ ก่อให้เกิดความสับสนทางด้านข้อความเชื่อของการกลับคืนชีพของร่างกาย

โดยพระคัมภีร์ไบเบิลตอนหนึ่งเขียนไว้ว่าถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสตเจ้า "วันที่สามทรงเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพจากบรรดาผู้ตาย" (ลก.24:1-12) และอีกตอนหนึ่งที่ว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไป แล้วก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย” (ยน 11:25-26) รวมทั้งคำยืนยันอื่นๆ อีกจำนวนมากในพระคัมภีร์

สอดคล้องกับความเชื่อเรื่องการกลับเป็นขึ้นมาของบรรดาผู้ตาย ที่ถูกเขียนไว้ว่า “คนจำนวนมากที่หลับอยู่ในผงคลีดินจะตื่นขึ้น บางคนจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร บางคนจะได้รับความอับอายและความอัปยศ อดสูตลอดนิรันดร” (ดนล 12:2) และอีกตอนหนึ่งที่ว่า “กษัตริย์จอมจักรวาลจะบันดาลให้เรากลับคืนชีพมีชีวิต ตลอดไป เพราะเราได้ตายเพื่อธรรมบัญญัติของพระเจ้า” (2มคบ 7:9)

รวมถึงการเขียนไว้อย่างชัดเจนถึงการกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร ที่ว่า “เวลานั้นกำลังจะมาถึงและขณะนี้ก็กำลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรพระเจ้า และผู้ที่ ได้ยินแล้วจะมีชีวิตเพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใด พระองค์ก็ทรงประทานให้พระบุตรมีชีวิตใน พระองค์ฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษา เพราะพระบุตรทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์ ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึงเวลาแล้วที่คนในหลุมศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรและจะออกมา ผู้ที่ทำความดีจะกลับคืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์” (ยน 5:25-29)

--------------------------------


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น