วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

แม่พระประจักษ์ที่บันเนอส์



บันเนอส์เป็นเมืองเล็กๆในประเทศเบลเยี่ยม มันเป็นเมืองที่เล็กมากจนไม่มีระบุอยู่ในแผนที่ ในระหว่างสมัยที่ฮิตเลอร์เรืองอำนาจ เด็กหญิงอายุ 11 ปี นามว่า มารีแอ็ต เบโก Mariette Beco ได้เห็นแม่พระทรงประจักษ์มา
 
มารีแอ็ต เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1921 ตรงกับวันฉลอง แม่พระรับสาร บิดาคือ นายจูเลียน เบโก เป็นคนยากจน มีลูกทั้งหมด 7 คน เขาและภรรยาต้องทำงานหนัก จึงไม่ค่อยได้ไปร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะให้ลูกไปโบสถ์หรือเรียนคำสอนซึ่งรวมถึง มารีแอ็ต ด้วย เธอจึงมีความรู้ทางศาสนาไม่มากนัก มารีแอ็ต มีสายประคำประจำตัวอยู่สายหนึ่งซึ่งเธอบังเอิญไปพบเข้า และบางครั้งเธอก็จะสวดสายประคำในเวลาก่อนเข้านอน
 
วันที่ 15 มกราคม 1933 มารีแอ็ตกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องครัวเพื่อหาน้องชายที่ชื่อจูเลียนที่กำลังกลับบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ข้างนอกมืดและอากาศหนาวเย็นและมีหิมะบนพื้นดิน สายลมพัดผ่านกิ่งไม้ทำให้เกิดเสียงหวีดที่ดูน่ากลัว
 
ขณะนั้นเอง มารีแอ็ตก็เห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน มีแสงสว่างเจิดจรัสล้อมรอบและสตรีผู้นั้นสวยงามมาก เธอสวมอาภรณ์สีขาวลงมาคลุมเท้าซ้าย, ส่วนเท้าขวาเปลือยมีกุหลาบทองคำประดับไว้ดอกหนึ่ง, มีผ้าคลุมศีรษะผืนใหญ่, คาดรัดปะคดสีน้ำเงิน ที่ปลายแขนข้างขวามีสายประคำสีขาวห้อยอยู่ มารีแอ็ตสังเกตว่าสตรีนั้นไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นแต่อยู่เหนือพื้น สตรีได้โบกมือเรียกมารีแอ็ตให้มาหาเธอ

มารีแอ็ตไม่เชื่อในสายตาของเธอและคิดว่านั่นอาจเป็นเงาสะท้อนจะแสงตะเกียง ดังนั้นเธอจึงเอาตะเกียงไปวางไว้ที่อีกห้องหนึ่ง เมื่อเธอกลับมาที่หน้าต่าง, สตรีผู้นั้นก็ยังคงอยู่ มารีแอ็ตร้องเรียกหาแม่ของเธอและบอกแม่ถึงสิ่งที่เธอเห็น แต่แม่สั่นศีรษะและพูดว่า “เหลวไหล”
 
มารีแอ็ตยังคงยืนยันว่ามีสตรีอยู่ข้างนอก แม่ของเธอพูดประชดว่า “บางทีอาจจะเป็นแม่พระกระมัง” แล้วก็ยื่นมือไปปิดผ้าม่าน
 
มารีแอ็ตเปิดผ้าม่านออกและพูดว่า “แม่ดูซิ เธอสวยมาก เธอยิ้มมาที่หนูด้วย หนูอยากจะออกไปข้างนอก”
 
แต่แม่ของเธอพูดว่า “ลูกจะไม่ไปไหนทั้งนั้น พอทีเรื่องเหลวไหลนี้และล็อคประตูเสีย”
 
เมื่อมารีแอ็ตกลับไปที่หน้าต่างอีก สตรีผู้นั้นก็หายไปแล้ว มารีแอ็ตจำภาพที่เห็นได้ไม่ลืม สตรีผู้นั้นมีสายประคำแขวนที่สายรัดประคดและเธอกำลังใช้นิ้วสาวประคำ มารีแอ็ตจึงกลับไปที่ห้องนอนและค้นหาสายประคำที่เธอซ่อนไว้แล้วเริ่มสวด
 
สามวันต่อมาคือในวันที่ 18 มกราคม มารีแอ็ตรีบวิ่งออกจากบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 19.00 น. พ่อของเธอวิ่งตามมารีแอ็ต เธอมาที่ลานหน้าบ้านและคุกเข่าลง สตรีผู้นั้นได้ประจักษ์แก่มารีแอ็ตอีกครั้ง พ่อของเธอเฝ้ามองอยู่ข้างหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง
 
สตรีส่งสัญญาณให้มารีแอ็ตตามเธอไป พ่อของเธอก็ตามไปด้วย ทันใดมารีแอ็ตก็หยุดเดินและคุกเข่าลงอีกครั้ง มีน้ำพุอยู่ข้างๆมารีแอ็ตและเธอได้ยินสตรีพูดว่า “จงเอามือของลูกจุ่มลงไปในน้ำเถิด น้ำพุนี้เป็นของแม่เอง ลาก่อน ราตรีสวัสดิ์”
 
สตรีได้จากไป พ่อของมารีแอ็ตไม่เห็นสตรีผู้นั้นเลย เขารู้สึกประหลาดใจมาก จิตใจของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป เขาไปพบกับคุณพ่อจามิน ผู้เป็นพระสงฆ์ฟังแก้บาปเพื่อสารภาพบาป เขาร่วมพิธีมิสซาและรับศีลมหาสนิท
 
แม่พระประจักษ์แก่มารีแอ็ต 8 ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือวันที่ 2 มีนาคม 1933 ในระหว่างการประจักษ์แม่พระตรัสแก่มารีแอ็ตว่า “แม่คือพระนางพรหมจารีย์ของคนยากจนและน้ำพุนี้มีไว้เพื่อชนทุกชาติเพื่อนำความบรรเทามาให้แก่ผู้เจ็บป่วย”

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ แม่พระทรงขอให้สร้างโบสถ์น้อยไว้ที่นั้นด้วยและตรัสแก่มารีแอ็ตว่า พระนางเสด็จมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก พระนางทรงขอร้องให้สวดภาวนามากๆ ในระหว่างการประจักษ์ครั้งสุดท้ายวันที่ 2 มีนาคม 1933 นั้น พระนางตรัสว่า “แม่คือมารดาของพระผู้ไถ่ มารดาของพระเจ้า จงสวดภาวนามากๆเถิด”
 
แม่พระยังได้วางพระหัตถ์ที่ศีรษะของมารีแอ็ตด้วยและตรัสว่า “Adieu. จนกว่าเราจะได้พบกันในพระเจ้า”
 
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พระนางพรหมจารีทรงบอกความลับข้อหนึ่งแก่มารีแอ็ต "หนูจะต้องไม่บอกเรื่องนี้แก่ใครเลย แม้แต่กับคุณพ่อหรือคุณแม่…"
 
พระสังฆราชแห่งเมืองลีเอช ประกาศรับรองการประจักษ์นี้ เมื่อ วันที่ 19 มีนาคม 1942 และพระศาสนจักรได้รับรองการประจักษ์ในปี 1949 โดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 12
 
สิ่งที่น่าสนใจคือ มารีแอ็ตยังคงใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป เธอแต่งงานกับเจ้าของร้านอาหาร และมีปัญหาในชีวิตแต่งงานซึ่งทำให้เธอตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก ต่อมาเธอจึงไปอาศัยอยู่กับบรรดาคนพิการที่เธอดูแลเอาใจใส่พวกเขาจนถึงเวลาที่เธอเสียชีวิต ชีวิตของเธอไม่เหมือนกับผู้เห็นแม่พระอื่นๆ เธอปฏิบัติศาสนกิจไม่มากนักและเธอไม่พูดกับนักข่าวหรือคนที่มาหาเธอเพื่อเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของเธอ ในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 75 ปีของการประจักษ์ มารีแอ็ตที่อายุมากแล้วได้อธิบายถึงสาเหตุที่เธอไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการประจักษ์ว่า “ดิฉันก็เหมือนกับบุรุษไปรษณีย์ที่ส่งจดหมาย เมื่อทำงานเสร็จ บุรุษไปรษณีย์ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป”

มารีแอ็ตมีชีวิตอยู่จนถึงอาเยุ 90 ปี ซึ่งยืนยาวกว่าแบร์นาแด็ตหรือเด็กสามคนที่ฟาติมา หรือ น. คัทรีน ลาบูเรและคนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตทางศาสนาของเธออย่างชัดเจนให้รู้เลย
 
พระเจ้าทรงประทานพระหรรษทานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะพระองค์ทรงรู้ถึงสถานะของวิญญาณดีกว่าพวกเราอย่างแน่นอน
 
แม่พระประจักษ์มาที่บันเนอส์ ในยุคที่คนจนไม่อยากยอมรับสภาพของตน และต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง, พระนางเสด็จมาในขณะที่ชนหมู่มากกำลังถูกฉุดลากไปสู่สิ่งที่ผิด และเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เข้าไปหานั้น คือยาบำบัดความทุกข์ของพวกตนในการยึดถือลัทธิการปฏิวัติ พระนางประจักษ์ที่บันเนอส์ เพื่อเตือนให้เราทราบว่า พระนางแต่ผู้เดียว สามารถขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากต่างๆ ได้ เพราะพระนางทรงเป็นคนกลางแจกจ่ายพระหรรษทานทั้งหลาย พระนางทรงประกาศว่า
 
"แม่คือพระนางพรหมจารีย์ของคนยากจน" แล้วตรัสต่อไปว่า "แม่มาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก”
 
และการประจักษ์ครั้งสุดท้าย พระนางทรงเตือนให้ระลึกว่า "พระนางคือ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่มีสิทธิแจกจ่ายขุมทรัพย์สวรรค์แก่ชาวเราทั้งหลาย”
 
โดยทรงกล่าวว่า "แม่คือมารดาพระผู้ไถ่, มารดาพระเจ้า จงสวดภาวนามากๆ เถิด"

**************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น