พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ตราบใดที่ยังเป็นกลางวันอยู่ เราทั้งหลายต้องทำกิจการของผู้ที่ทรงส่งเรามา แต่เมื่อกลางคืนมาถึงก็ไม่มีใครทำงานได้” (ยอห์น 9:4)
ความคิดทั่วไปในพระวาจานี้คือ โดยปกติเราจำเป็นต้องหยุดทำงานเมื่อพระอาทิตย์ตกดินและเวลากลางคืนมาถึง แต่แน่นอนว่าพระวาจานี้มีความลึกซึ้งมากกว่านั้น ให้เราลองพิจารณาไตร่ตรองความหมายฝ่ายจิตและประยุกต์ใช้กับช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติโรคระบาดในขณะนี้
อันดับแรก, นักบุญแอมโบรสให้ข้อสังเกตถึงพระวาจานี้ “กลางวันหมายถึงชีวิตในปัจจุบัน และกลางคืนหมายถึงความตายและสิ่งที่จะติดตามมาหลังความตาย” [*] จากนั้นท่านเตือนเราว่า เราควรกลัวความตายอย่างมีสติ และพึงตระหนักว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เราควรยอมรับสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา เพราะเราอาจไม่มีวันพรุ่งนี้ก็ได้
ในช่วงเวลาของการเกิดโรคระบาดใหญ่ครั้งนี้, เรากำลังได้รับการลิ้มรสของ “ความตาย” เพราะสำหรับพวกเราส่วนใหญ่, วิกฤติการณ์อาจไม่ส่งผลให้เราตาย แต่สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับตาย เราไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เราไม่สามารถทำตามแผนการณ์ที่เราวางไว้ “กลางคืน” ได้มาถึงเราแล้ว อย่างไรก็ตาม, ก็ยังมีหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้ในช่วงเวลาเหล่านี้ และเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลย ได้แก่: การอธิษฐานภาวนา, การอ่านพระคัมภีร์การกลับใจจากบาปของเรา และใช้เวลากับครอบครัว โทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อนเก่า
ประการที่สอง, พระวาจาตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่างแสงสว่างและความมืด ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของพระวรสารนักบุญยอห์น การสู้รบถูกประกาศไว้ในบทแรกของพระคัมภีร์:
"ชีวิตอยู่ในพระองค์และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์ แสงสว่างส่องในความมืดและความมืดชนะแสงสว่างนั้นไม่ได้" (ยอห์น 1: 4-5)
ในยอห์นบทที่ 3 พระเยซูทรงกำหนดบทบาทในการต่อสู้สำหรับแต่ละคน:
ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือ "ความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่าง และไม่เข้าใกล้ความสว่างเกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริงย่อมเข้าใกล้ความสว่างเพื่อให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เขาทำ, ได้ทำโดยพึ่งพระเจ้า" (ยอห์น 3: 19-21)
ในพระวรสารตอนนี้, พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายตาบอดตั้งแต่เกิดและนำเขาเข้าสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง พระวรสารตอนนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความมืดฝ่ายจิตของผู้ที่ดื้อรั้นต่อต้านพระเยซูเจ้า พระผู้เป็นแสงสว่างของโลกด้วย จากพระองค์, มีการเตือนสอนและการพิพากษา
“เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น ส่วนคนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด” (ยอห์น 6:39)
แล้วนั้น เวลาของพระเยซูเจ้าก็มาถึง เวลาที่จะเผชิญหน้ากับอาณาจักรแห่งความมืดโดยผ่านทางพระมหาทรมาน, ความตาย, และการกลับฟื้นคืนชีพ ยูดาสออกไปเพื่อทรยศพระเยซูเจ้า ยอห์นได้เขียนเล่าเรื่องราวไว้ว่า
และมันก็เป็นเวลากลางคืน (ยอห์น 13: 30)
พระวาจาของพระเยซูเจ้าในพระวรสารตอนนี้เตือนเราถึงการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ที่อยู่รอบๆตัวเรา มันคือการต่อสู้ฝ่ายจิต ซึ่งเริ่มต้นที่ตัวของเราเอง และแผ่ขยายไปถึงครอบครัวและเพื่อนๆ ในความสนุกเพลิดเพลินใจของเรา ทำให้เรามักจะลืมคิดถึงการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่นี้ แต่ในวิกฤตการณ์ของโรคระบาดที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ ทำให้เราไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำในเวลาปกติได้ เรากำลังมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายฝ่ายจิตวิญญาณ เราต้องใช้เวลาถามตัวเองในคำถามที่สำคัญ นั่นคือ ชิวิตของเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน? เรารู้จักพระเจ้าหรือไม่? เราเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตอย่างไร? และมันเป็นพอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? เราได้รับผิดชอบในการสั่งสอนความเชื่อให้แก่บุคคลในครอบครัวของเราหรือเปล่า? เราต้องสำนึกผิดในบาปอะไรบ้าง?
ใช่แล้ว, ในช่วงเวลาเช่นนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นถึงการสู้รบของเราแต่ละคน จงใช้เวลาในการสู้รบเพื่อตัวคุณเองและผู้อื่น หากคุณพบว่าเป็นการสู้รบที่ดี การต่อสู้เพื่อวิญญาณเป็นสิ่งที่ดี! จงสวดภาวนา, พลีกรรมอดอาหาร, พูดคุย, และเป็นพยานแห่งความเชื่อ แสวงหาแสงสว่างจากบทความดีๆที่มีอยู่ในเวปไซต์มากมายของโบสถ์และจากผู้มีความเชื่อที่เผยแพร่ไปในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ขอให้เราใช้เวลาในวิกฤตการณ์นี้อย่างชาญฉลาด โคโรน่าไวรัสอาจหายไป แต่การต่อสู้จะดำเนินต่อไปจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของเรา
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น