ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมมีเรื่องราวที่น่าประทับใจของดาวิดหนุ่มที่ต่อสู้และได้ชัยชนะต่อโกลิอัท ชาวฟิลิสเตีย ดาวิดใช้เพียงก้อนหินสองสามก้อนและสายสลิงเป็นอาวุธ ขณะที่โกลิอัทมีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนธรรมดา สวมเสื้อเกราะและถือหอกเหล็กเป็นอาวุธ พูดท้าทายดูถูกดาวิดด้วยถ้อยคำใหญ่โต ดาวิดซึ่งอ่อนแอกว่าโกลิอัทอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ กลับได้รับชัยชนะด้วยอาวุธลับที่ศัตรูของเขาไม่รู้จัก บรรดานักบุญทั้งหลายต่างก็มีอาวุธลับที่จะเอาชนะศัตรูได้อย่างเด็ดขาดเช่นกัน
พระเจ้าทรงประทานอาวุธลับให้แก่พวกเราเช่นเดียวกัน เป็นอาวุธซึ่งเป็น "ความลับ" ศัตรูไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับมัน, หรืออาจมองข้ามมัน, หรือประเมินค่าของมันต่ำเกินไป พระสันตะปาปาปิอุสที่ 5 ทรงทราบถึงอานุภาพที่ร้ายกาจของสิ่งนี้และใช้มันเป็นส่วนหนึ่งของคลังแสงอาวุธของพระองค์ในระหว่างการต่อสู้ที่เลปันโต อาวุธนั้นคืออะไร? และใครคือพระสันตะปาปาปิอุสที่ 5 ?
พระองค์เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่มียศศักดิ์, ในเมืองบอสโกของอิตาลีเมื่อปี ค.ศ. 1504 ทรงเข้าสู่คณะโดมินิกันเมื่ออายุ 14 ปี และทรงเลือกใช้พระนามว่ามีคาแอล ทรงได้รับการบรรพชาเมื่ออายุ 24 ปี พระองค์ทำงานสอนวิชาเทววิทยาและปรัชญาเป็นเวลา 16 ปี ได้เป็นอาจารย์ของบรรดาโนวิส และได้รับเลือกให้เป็นอธิการของคณะโดมินิกัน ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์, พระองค์พยายามที่จะดำเนินชีวิตตามหลักคุณธรรม ในขณะเดียวกันก็ทรงเผยแพร่จิตวิญญาณและชีวิตของนักพรตคณะโดมินิกัน
พระสันตะปาปาปิอุสที่5 ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีชีวิตฝ่ายจิตที่ลึกซึ้ง พระองค์อดอาหาร, สวดภาวนา, ทำกิจใช้โทษบาป, และใช้เวลาในการพิจารณาไตร่ตรองพระคัมภีร์ตอนกลางคืนเป็นเวลานาน ในปีค. ศ. 1556 พระองค์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราช เนื่องจาก “ความกระตือรือร้น” ของพระองค์ในการต่อสู้กับความคิดที่หลงผิด, พระองค์จึงได้รับการขอร้องให้เป็น “ผู้ตรวจสอบความเชื่อ” ทั้งในมิลานและลอมบาร์เดีย ในปีค. ศ. 1557, พระองค์ได้รับการยกฐานะเป็นพระคาร์ดินัลและได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “ผู้ตรวจสอบทั่วไปสำหรับความเชื่อ” นอกจากนี้,พระองค์ยังเป็นผู้ต่อสู้ปกป้องการถือพรหมจรรย์ของพระสงฆ์ และเอาชนะความปรารถนาของแมกซีมีเลียนที่ 2, จักรพรรดิแห่งเยอรมนี ที่จะยกเลิกการถือพรหมจรรย์ของคณะสงฆ์
ในปี 1566 พระองค์ได้รับเลือกให้พระสันตะปาปา ภารกิจแรกของพระองค์คือการแสดงความเมตตาต่อคนยากจนด้วยการช่วยเหลือคนยากจน แม้จะมีหน้าที่หลายอย่าง, พระองค์ก็ยังคงจัดตารางเวลาสำหรับชีวิตฝ่ายจิต ซึ่งรวมถึงการพิจารณารำพึงสองครั้งต่อวันก่อนการรับศีลมหาสนิทและทรงดำเนินชีวิตอย่างเข้มงวด พระองค์ทรงสร้างโรงพยาบาล, เยี่ยมคนป่วยและผู้ใกล้ตาย ทรงปลอบประโลใจพวกเขา, ล้างเท้าคนยากจนและต้อนรับคนโรคเรื้อน
พระองค์ดำเนินการปฏิรูปสังคายนาแห่งเทรนต์ ทรงรวบรวมพิธีกรรมโดยการจัดพิมพ์เผยแพร่พิธีกรรมตามแบบโรมันเบรวารี , จัดพิมพ์บทสวดใหม่, และจัดพิมพ์คำสอนของสังคายนาแห่งเทรนต์ และเพื่อเป็นการให้ความรู้แก่เด็กๆ, พระองค์ทรงก่อตั้ง Confraternity of the Doctrine of Christian พระองค์ทรงร่วมมือกับนักบุญชาร์ลส บอร์โรเมโอ ในการต่อสู้กับคำสอนที่หลงผิดอย่างไม่หยุดยั้ง และต่อสู้กับการทุจริตและการผิดศีลธรรมภายในพระสงฆ์ ในการจัดรูปแบบอย่างถูกต้องสำหรับพระสงฆ์หนุ่ม พระองค์จัดตั้งสามเณเรลัยใหม่ขึ้นมา พระองค์ทรงเชื่อมั่นในคำประกาศ Coena Domini, คำแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการตำหนิความประพฤติที่ไม่ถูกต้องและสิทธิพิเศษของคณะสงฆ์ ซึ่งรวมถึงการมีอำนาจสูงสุดของศาสนจักรต่ออำนาจของพลเมือง
พระองค์ดำรงชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวาย ความไม่สงบทางการเมืองและทางศาสนาเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วยุโรป พระองค์เคยทำบัพชะนียกรรมต่อ พระนางเอลิซาเบธที่ 1 ของอังกฤษ และทรงประณามข้อเขียนของเฮเรติก(คนที่สอนผิดต่อความเชื่อ) พระองค์ช่วยเหลือคนที่ถูกกดขี่, โดยการปฏิรูป, พยายามที่จะฟื้นฟูความศรัทธาของเมือง – รัฐ, ทรงทำลายการแข่งขันชิงดีกันและการทำสงครามกัน ทีละเล็กทีละน้อย, พระองค์ทรงติดต่อกับประมุขแห่งรัฐต่างๆ พยายามรวมยุโรปให้เป็นหนึ่งเดียวกันในการต่อสู้กับการคุกคามของจักรวรรดิออตโตมันตุรกีซึ่งรุกรานยุโรป
ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของรัชสมัยของพระองค์, พระองค์ตระหนักถึงอันตรายของความป่าเถื่อนของจักรวรรดิออตโตมัน พระองค์ทรงประกาศปีศักดิ์สิทธิ์และทรงปลุกเร้าประชาชนให้ทำการชดเชยโช้โทษบาปและทำบุญให้ทาน เพื่อเอาชนะศัตรู,พระองค์ทรงขอความร่วมมือจากสำนักต่างๆในยุโรปซ้ำแล้วซ้ำอีก; แต่พวกเขาส่วนใหญ่ปฏิเสธและเพิกเฉย พระองค์ยืนยันในการทำสงครามครูเสดเพื่อรวมประเทศในคริสตศาสนจักรให้ต่อสู้กับพวกเติร์ก พระองค์ทรงจัดหารายได้เพื่อช่วยเหลือเมืองและกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มอัศวินแห่งมอลตา, เพื่อเสริมสร้างป้อมปราการและปกป้องพวกเขา
ในปี ค.ศ. 1570 พวกออตโตมานเข้าโจมตีไซปรัสอย่างไร้ความปราณี พระสันตะปาปาปีอุสที่ 5 ทรงใช้ความพยายามมากขึ้นในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ “ภาคีพันธมิตรศักดิ์สิทธิ์” ในที่สุดกองทัพเรือคริสตชนก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างมีระเบียบ, หลังจากการทะเลาะวิวาทกันก่อนหน้านี้ และกองทัพเรือก็เริ่มออกเดินทาง เมื่อรู้ว่ากองทัพเรือของคริสตชนมีจำนวนน้อยกว่ากองทัพเรืองของออตโตมันที่โหดเหี้ยมมาก พระสันตปาปาปิอุสที่ 5 ทรงสั่งให้เปิดโบสถ์แห่งกรุงโรมเพื่อให้มีการสวดภาวนาสี่สิบชั่วโมง, ทรงจัดให้มีการสวดสายประคำและมีขบวนแห่ด้วยการสวดสายประคำในที่สาธารณะ ทรงวอนขอให้ทุกประเทศในยุโรปสวดสายประคำวอนขอต่อพระแม่มารีย์ในฐานะพระมารดาของพระเจ้า ให้ทรงเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือ ไม่เพียง แต่ประชาชนเท่านั้นที่สวดสายประคำ แม้แต่ทหารและกะลาสีเรือทุกคนก็สวดสายประคำก่อนที่จะเข้าสู่สนามรบ ในที่สุด, กองทัพออตโตมันก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบโดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระแม่มารีย์ องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน เพื่อขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเอาชนะต่อชาวมุสลิม พระสันตะปาปาปิอุสได้จัดตั้งวันฉลองแม่พระแห่งชัยชนะซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ ซึ่งตรงกับวันที่ 7 ตุลาคม ..
ดอนฮวนแห่งออสเตรีย, เป็นผู้บัญชาการกองกำลังของคริสตชนกล่าวว่า “ไม่ใช่นายพลหรือกองพันหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ที่นำชัยชนะมาให้เรา แต่เป็นแม่พระแห่งสายประคำศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก”
เราฉลองพระสันตะปาปาปีอุสที่ 5 ในวันที่ 30 เมษายน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น