“มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น
แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำ
ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'”
(มัทธิว 4:4)
แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำ
ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'”
(มัทธิว 4:4)
การมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อหาเงินสำหรับเลี้ยงชีวิตเท่านั้นไม่เป็นการเพียงพอ จิตใจของมนุษย์ยังต้องการแสวงหาความหมายของชีวิตอีกด้วย ตราบใดที่ยังไม่พบ,จิตใจก็จะไม่พบความสุขที่แท้จริง, ชีวิตของเราก็จะเป็นเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ล่องลอยไปเรื่อยๆแล้วแต่กระแสน้ำจะพัดพาไปในทิศทางใด พระวาจาของพระเจ้าเป็นเหมือนหางเสือเรือของชีวิตมนุษย์ พระวาจาชี้หนทางให้แก่ชีวิตของเรา เมื่อเราพิจารณาไตร่ตรองพระวาจาและเริ่มปฏิบัติตามพระวาจา เราจะเริ่มรับรู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรสำหรับชีวิตของเรา และเมื่อเราทำตามพระประสงค์แล้ว, จิตใจเราก็จะพบกับความสงบสุข
ประกาศกเยเรมีย์
ชีวิตของประกาศกเยเรมีย์ก็เป็นเช่นนี้ ท่านเริ่มรับรู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรสำหรับท่านเมื่อท่านมีอายุ 12-13 ปี ท่านมีประสบการณ์ลึกลับกับพระเจ้า พระเจ้าตรัสกับท่านว่า
“ก่อนที่เราปั้นท่านในครรภ์มารดา เราก็รู้จักท่านแล้ว
ก่อนที่ท่านจะเกิด เราก็แยกท่านไว้เป็นของเราแล้ว
เราแต่งตั้งท่านให้เป็นประกาศกสำหรับนานาชาติ” (ยม. 1:4-5)
แผนการณ์ของพระเป็นเจ้าสำหรับชีวิตของเยเรมีย์เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะถือกำเนิด เมื่อพระเป็นเจ้าตรัสว่า “เรารู้จักท่าน” พระองค์ตรัสในลักษณะที่ทรงรู้จักบุคคลนั้นเป็นอย่างดี ทรงรู้จักตั้งแต่ท่านเป็นทารกในครรภ์มารดา พระเป็นเจ้าจึงทรงเรียกเยเรมีย์ ทรงแต่งตั้งเยเรมีย์ให้เป็นประกาศกตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเกิดมา
เยเรมีย์ถ่อมตน
ในเรื่องราวต่อมา เยเรมีย์ได้พูดออกตัว เหมือนที่โมเสสได้พูดคัดค้านการเรียกของพระเป็นเจ้า เยเรมีย์ทูลพระเป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก” (ยม. 1:6) แต่นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวไม่ใช่เหตุผล พระเป็นเจ้าทรงไม่สนใจในข้อแก้ตัวของเขา “อย่าพูดว่าท่านยังเป็นเด็กเลย” และ “อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราจะอยู่กับท่านเพื่อป้องกันท่าน” (ยม. 1:7-8) แล้วพระเป็นเจ้าทรงประทานเครื่องหมายเป็นการยืนยันแก่เยเรมีย์ เมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มาสัมผัสปากของเขา (ยม. 1:9) และทรงสั่งให้เขายืนขึ้น แต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปยังลานสาธารณะ และเริ่มประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า
ในช่วงปีแรกๆของเยเรมีย์เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของท่าน ท่านเขียนไว้ว่า “เมื่อข้าพเจ้าพบพระวาจของพระองค์ ข้าพเจ้าก็ได้กินพระวาจานั้น พระวาจาของพระองค์เป็นความชื่นบาน และเป็นความยินดีของจิตใจข้าพเจ้า ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมจักรวาล เพราะข้าพเจ้าเป็นของพระองค์” (ยม. 15:16)
ภารกิจของประกาศก
พระเป็นเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ให้เป็นประกาศกก็น่าจะเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ? การที่พระเป็นเจ้าแต่งตั้งเยเรมีย์ให้เป็นผู้นำสาส์นของพระองค์ก็นับว่ามีเกียรติมิใช่หรือ? แต่พระเป็นเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ในสมัยที่สถานการณ์ของอาณาจักรยูดาห์เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ชนต่างชาติเข้ามายึดครองอาณาจักรยูดาห์ และจับกุมกษัตริย์ของยูดาห์เอาไว้ บ้านเมืองมีแต่ความยุ่งเหยิง กระแสเรียกของเยเรมีย์คือการประกาศสาส์นแห่งการพิพากษาของพระเป็นเจ้าต่อประชากรที่ไม่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ไม่มีใครฟังเยเรมีย์ ไม่มีใครนับถือเขา เขาไม่ประสบความสำเร็จในทํศนะของโลก เยเรมีย์ต้องประกาศถึงบาปของประชาชนซี่งได้แก่ การบูชาพระเท็จเทียมของพวกเขา การหน้าไหว้หลังหลอกของพวกเขา การที่พวกเขาเบียดเบียนข่มเหงคนยากจนและการมีใจดื้อดึงไม่ยอมนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ งานของประกาศกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ความทุกข์ของประกาศกอยู่ต่อหน้าเขา เยเรมีย์จะถูกฟ้องร้อง เขาจะถูกขังลืมในถ้ำและถูกทิ้งไว้ให้ตายหรือถูกลักพาตัวไปฆ่าทิ้ง แต่เยเรมีย์ยืนหยัดในกระแสเรียกของพระเป็นเจ้าท่ามกลางสถานการณ์ที่กดดันเช่นนี้ เขาต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง โดยได้รับการต่อต้านจะประกาศกเท็จเทียม จากสมณะที่ไม่ซื่อสัตย์ และได้รับการต่อต้านแม้แต่จากกษัตริย์เองด้วย
เยเรมีย์เขียนถึงความไม่ซื่อสัตย์ของอิสราเอลทางตอนเหนือ และความล้มเหลวของยูดาห์ในการที่จะเรียนรู้จากตัวอย่างที่ไม่ดีของอิสราเอล:
พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าในสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ว่า “ท่านเห็นไหมว่าอิสราเอลที่เป็นกบฏได้ทำอะไร เขาขึ้นไปบนภูเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น เพื่อไปเล่นชู้ เราคิดว่า ‘เมื่อเขาทำทุกสิ่งเหล่านี้หมดแล้ว เขาจะกลับมาหาเรา' แต่เขาก็ไม่ได้กลับมา และยูดาห์ที่เป็นเสมือนน้องสาวที่ไม่ซื่อสัตย์ก็เห็นเช่นนั้น และเห็นว่า เราได้ขับไล่อิสราเอลหลายครั้งที่เป็นกบฏเพราะการเล่นชู้ พร้อมกับมอบเอกสารหย่าร้างให้ด้วย
แต่ยูดาห์น้องสาวที่ไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่กลัวเลย กลับไปเล่นชู้ด้วย ทำให้แผ่นดินมีมลทินเพราะการเล่นชู้อย่างหน้าด้านเช่นนี้ เขาเล่นชู้กับรูปเคารพที่เป็นก้อนหินและท่อนไม้ แม้เขาทำการเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศของเขาก็มิได้หันกลับมาหาเราสุดจิตใจ แต่แสร้งทำเท่านั้น” พระยาห์เวห์ตรัส (ยม. 3: 6-10)
เยเรมีย์ยังมีชีวิตต่อมาอีก 40 ปีภายใต้กษัตริย์ยูดาห์สี่พระองค์ คือ เยโฮยาคิม, โยโฮอาชิน, เศเดคียาห์และเกดาลิยาห์ กษัตริย์ทั้งสี่ไม่ได้วางใจในพระเจ้า แต่หันไปประนีประนอมกับโลกเพื่อความสงบสุขจอมปลอม เยเรมีย์จึงได้ทำนายถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์และความขี้ขลาดทางการเมือง
การสนับสนุนจากพระเป็นเจ้า
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ พระเป็นเจ้าทรงเข้ามาช่วยเหลือเยเรมีย์ พระเป็นเจ้าทรงสัญญาแก่ประกาศกว่า เขาจะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากสวรรค์
“ดูซิ วันนี้เราทำให้ท่านเป็นเหมือนเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็กและเป็นเหมือนกำแพงทองสัมฤทธิ์ ต่อสู้กับทั่วแผ่นดิน ต่อสู้กับบรรดากษัตริย์แห่งยูดา บรรดาเจ้านาย บรรดาสมณะ และประชากรของแผ่นดิน เขาทั้งหลายจะต่อสู้กับท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะเราอยู่กับท่านเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น พระยาห์เวห์ตรัส” (ยม. 1:18-19)
และทุกคนก็ต่อสู้กับเยเรมีย์ แต่พระเป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเยเรมีย์ พระหรรษทานของพระเป็นเจ้าคอยสนับสนุนช่วยเหลือและปกป้องเขาให้พ้นจากการคุกคามต่างๆ
การพูดตักเตือนว่ากล่าวต่อ บรรดาสมณะ, ประชาชนทั้งหมด และต่อกษัตรย์ ทำให้เยเรมีย์ถูกโจมตีโดยศัตรู, โดยครอบครัวและเพื่อนฝูง คนของฝ่ายปกครองและของพระวิหารกลายเป็นศัตรู เขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและ “ไม่มีเพื่อนในยูดาห์” ประกาศกจำนวนมากไม่ใช่คนที่มีความสุขเลย
ประกาศกต้องทนทุกข์เพราะพวกเขารักและห่วงใยประชากรของพระเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตในปัจจุบันของพวกเขา ประกาศกต้องทนทุกข์เพราะพวกเขาไม่ได้ขึ้นกับการเมืองหรือโลก ประกาศกพูดในความจริงของพระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
ก่อนที่ยูดาห์จะถูกทำลาย กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงปล่อยเยเรมีย์ออกจากคุก และขอให้เขาทำนายเกี่ยวกับการทำสงครามกับบาบิโลน เยเรมีย์ได้ทำนายในทางที่ไม่ดีต่อกษัตริย์และเมือง ท่านบอกว่าการยกทัพมาของบาบิโลนเป็นการที่พระเจ้าทรงลงโทษต่อบาปของยูดาห์
เยเรมีย์ทูลกษัตรย์เศเดคียาห์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ ถ้าพระองค์ยอมเสด็จไปมอบพระองค์แก่บรรดาเจ้านายของกษัตริย์แห่งบาบิโลน พระองค์ก็จะทรงเอาชีวิตรอด และเมืองนี้จะไม่ถูกไฟเผา พระองค์และพระราชวงศ์จะทรงมีชีวิตรอด แต่ถ้าพระองค์ไม่ยอมเสด็จไปมอบพระองค์แก่บรรดาเจ้านายของกษัตริย์แห่งบาบิโลน เมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของชาวเคลเดีย เขาทั้งหลายจะจุดไฟเผาและพระองค์จะทรงหนีไม่พ้นจากมือของเขา” (ยม. 38:17-18).
กษัตริย์เศเดคียาห์ไม่ยอมเชื่อฟังคำเตือนของเยเรมีย์ เหตุการณ์ที่เลวร้ายจึงบังเกิดขึ้นตามที่เยเรมีย์ได้เตือน กษัตริย์เนบูคัดนัสเซอร์แห่งบาบิโลนได้ยกทัพมา และกษัตริย์เศเดคียาห์ได้ต่อสู้และพ่ายแพ้ พระองค์ถูกจับตัว, ถูกควักนัยน์ตาและนำไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ประชาชนในเมืองก็ถูกนำไปเป็นทาสที่บาบิโลนด้วย ยกเว้นคนยากจนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติเท่านั้นที่คงอยู่ที่ยูดาห์ต่อไป เมืองถูกเผาทำลายแทบไม่เหลือ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดในพระวิหารและในพระราชวังถูกขนนำไปไว้ที่บาบิโลน
กษัตริย์เนบูคัดนัสเซอร์ปล่อยตัวเยเรมีย์ออกจากคุกและอนุญาติเขาไม่ต้องไปบาบิโลน เยเรมีย์ไปอยู่กับชาวเมืองที่ยากจนที่สุดซึ่งไม่ได้ถูกนำตัวไปที่บาบิโลน ในเวลาต่อมาประชาชนเหล่านี้ต้องการลี้ภัยไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์ เยเรมีย์ได้เตือนพวกเขาไม่ให้ไปแต่ก็ไม่ได้ผล เยเรมีย์จึงจำเป็นต้องไปอียิปต์พร้อมกับพวกเขาด้วยโดยไม่เต็มใจ และเหตุการณ์ก็เกิดกับพวกเขาตามที่เยเรมีย์เตือนไว้แล้ว
“คนจำนวนน้อยจะหนีพ้นดาบกลับจากแผ่นดินอียิปต์ไปยังแผ่นดินยูดาห์ แล้วชาวยูดาห์ที่รอดชีวิตทั้งหมดซึ่งเคยอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์จะรู้ว่าถ้อยคำของผู้ใดเป็นความจริง ถ้อยคำของเราหรือถ้อยคำของเขา” (ยม. 44: 28)
ดูเหมือนว่าเยเรมีย์จะเสียชีวิตในอียิปต์ด้วยวัยชรา เขาสิ้นใจอย่างสงบแม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่ได้บันทึกความตายของเยเรมีย์เอาไว้
------------------
ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นประกาศกที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายเหมือนเยเรมีย์ แต่พวกเราก็ถูกเรียกให้เป็นพยานยืนยันถึงพระวาจาของพระเป็นเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเรา อาจจะมีบางเวลาที่เราต้องเผชิญกับการต่อต้านบ้าง เมื่อพระวาจาของพระเยซูเจ้าไม่ได้รับการต้อนรับ หรือความพยายามให้ความช่วยเหลือของเราถูกปฏิเสธ ในความสัมพันธ์ของเรากับพระเป็นเจ้า และกระแสเรียกของพระองค์ในชีวิตของเรา เราก็อาจเหมือนกับเยเรมีย์ คือ “เป็นเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็กและเป็นเหมือนกำแพงทองสัมฤทธิ์” เมื่อพระเป็นเจ้าทรงเรียกเราให้ไปปฏิบัติภารกิจ พระหรรษทานของพระองค์จะสนับสนุนเราเสมอ ถ้าเราวางใจในพระองค์
********************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น