วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พระศาสนจักรกับประสบการณ์ใกล้ตาย



Simone Delochan บรรณาธิการของ catholicnewstt.com .ให้ข้อสรุปการตรวจสอบประสบการณ์ใกล้ตาย (NDE- near-death experiences1) ด้วยมุมมองคาทอลิกว่า มีเหตุผลบางอย่างที่บางคนกลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังความตาย บทสรุปส่วนแรกปรากฏในบทความวันที่ 3 พฤศจิกายน
 
ไม่ใช่ทุกคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย และได้รับประสบการณ์ของความอบอุ่นและความรัก บางคนมีประสบการณ์ที่น่ากลัวเช่นเห็นภาพของนรก
 
ในการศึกษาเรื่องหนึ่งที่ได้กล่าวไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน, คนไข้รายหนึ่งเล่าว่า “เมื่อฉันไปถึงจุดต่ำสุด, มันดูคล้ายกับทางเข้าสู่ถ้ำ มีสิ่งที่เหมือนใยแมงมุมแขวนอยู่ . . ฉันได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ, เสียงโอดครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฉันเห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ที่คล้ายกับมนุษย์, ด้วยรูปร่างของศีรษะและร่างกาย แต่พวกเขาน่าเกลียดและพิลึกพิลั่น . .. พวกเขากำลังหวาดกลัวและส่งเสียงด้วยความเจ็บปวดเหมือนถูกทรมาน”
 
ในปี 1985, พระสงฆ์องค์หนึ่งมีประสบการณ์ใกล้ตาย ท่านจำได้ว่า ได้ไปอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์และท่านถูกสาปแช่งให้ตกนรก และมีเสียงอ้อนวอนของสตรีผู้หนึ่ง, ซึ่งท่านรู้ว่าเป็นพระแม่มารีย์, พระนางทรงวอนขอให้ชะลอการพิพากษาไว้ก่อน และท่านถูกส่งกลับมายังร่างกายของท่านเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน
 
นี่เป็นประสบการณ์ใกล้ตายของคุณพ่อไชเออร์(Fr Scheier) ท่านได้ยินพระเยซูกล่าวว่าพระองค์ไม่ทรงพอพระทัยกับการดำเนินชีวิตของท่านในฐานะพระสงฆ์ และพระแม่มารีย์, พระมารดาของพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงแทรกแซงช่วยเหลือเพื่อที่ชีวิตของท่านจะเป็นที่พอพระทัยขององค์พระบุตรของพระนางมากขึ้น
 
ทำไมท่านจึงได้รับอนุญาตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง คุณพ่อไชเออร์ตอบว่า: “ภารกิจของผมคือบอกให้พวกคุณรู้ว่า นรกนั้นมีอยู่จริงและเราในฐานะพระสงฆ์มีแนวโน้มที่จะไปสู่มัน” ท่านได้รับความรู้ถึงพระเมตตาของพระเจ้าว่า มีอย่างไม่สิ้นสุด พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระยุติธรรม
 
จากการค้นหาด้วย Google เราได้พบกับเรื่องราวหลายเรื่องของคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า, คนที่เป็นคาทอลิก, แองกลิกัน, ผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าและคนอื่นๆที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย และพงกเขาได้กลับใจอย่างสมบูรณ์หลังจากประสบการณ์นั้น ด้วยความเชื่ออย่างลึกซึ้งในพระเจ้า มีความเชื่อในสวรรค์และนรก พวกเขามีความเชื่อที่มั่นคงยิ่งขึ้นในเรื่องความรักและความเมตตากรุณาของพระเจ้า
 
เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทราบว่า ไม่ใช่ประสบการณ์เฉียดตายทุกประสบการณ์นั้นเป็นประสบการณ์ใกล้ตาย ประสบการณ์ใกล้ตายที่แท้จริงจะต้องมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สามารถตรวจสอบได้ตามการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
 
คุณพ่อโรเบิรต สปิตเซอร์ แห่งคณะเยซูอิต (Fr Robert Spitzer SJ) ท่านเป็นนักปรัชญา, นักการศึกษา, ผู้เขียนบทความและผู้บรรยาย ท่านแนะนำให้มีความระมัดระวังในการรับรู้เรื่องราวตามตัวอักษร เนื่องจากสิ่งที่บางคนประกาศว่าประสบการณ์ของเขาเป็น NDE นั้นอาจกลายเป็นการบิดเบือนในตอนสุดท้าย ท่านแนะนำให้พิจารณาที่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำไปแล้วรวมถึงแหล่งที่มาของเรื่องราวและการที่มันถูกนำไปใช้
 
การเปลี่ยนจากกายภาพสู่จิตวิญญาณ
 
พระศาสนจักรคาทอลิกไม่มีการศึกษาและข้อสรุปเป็นพิเศษในเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย คุณพ่อเจราล์ด โอ คอลินส์(Fr Gerald O 'Collins)อดีตศาสตราจารย์ด้านเทววิทยาอย่างเป็นระบบที่ Pontifical Gregorian University อันทรงเกียรติในกรุงโรม ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์คาทอลิก The Register กล่าวว่า “ผมพิจารณาต่อประสบการณ์เหล่านี้อย่างระมัดระวัง โดยถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตหลังความตาย และมีผลต่อความเชื่อของเราในเรื่องการกลับฟื้นคืนชีพ”
 
ถึงกระนั้นก็ตามมีพระสงฆ์และนักบวชบางคนที่ทำการถกเถียง / ตรวจสอบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 1. ผลกระทบต่อบุคคลคือการไขแสดงส่วนตัว และ 2. ความเป็นไปได้ที่ประสบการณ์ใกล้ตายให้การสนับสนุนพระคัมภีร์และหลักคำสอน
 
ตามการอภิปรายในเวทีคาทอลิก, ประสบการณ์ใกล้ตายเป็นหลักฐานของชีวิตหลังความตายและการเปลี่ยนจากกายภาพสู่จิตวิญญาณ หลังจากการตาย, ประสบการณ์ที่วิญญาณออกนอกร่างกายเป็นไปตามองค์ประกอบทาง transphysical ซึ่งเป็นการวิญญาณแยกจากร่างกาย และวิญญาณมองเห็นร่างกายนั้น
 
วิญญาณยังคงสามารถรับรู้, เก็บความทรงจำ, รักษาความรู้สึกของการได้ยินและการมองเห็นและไม่ได้ถูกจำกัดโดยสิ่งกีดขวางทางกายภาพเช่น ประตู, หน้าต่างที่ปิดอยู่, หรือผนังกำแพง
 
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกกล่าวว่า หลังจากความตาย, ร่างกายและวิญญาณจะแยกจากกัน:“ …และ [วิญญาณ] นั้นเป็นอมตะ: มันไม่สูญสลายไปเมื่อแยกออกจากร่างกายเมื่อตาย, และจะกลับมารวมเข้ากับร่างกายอีกครั้งในการกลับฟื้นคืนชีพครั้งสุดท้าย”
 
วิทยาศาสตร์และหลักคำสอนได้ผสานเข้าด้วยกัน เพื่อบ่งบอกถึงการมีอยู่ของส่วนที่ไม่ใช่ทางร่างกายของมนุษย์, ซึ่งเป็นอิสระจากร่างกาย
 
มีหลายคนได้อธิบายถึงความรู้สึกที่ท่วมท้นด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข, ความสุขและความสงบซึ่งสอดคล้องกับการเปิดเผยของคริสตชนเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์
 
นักบุญโฟสตินา โควาสกา (St Faustina Kowalska) (1905-1938) ได้เขียนในไดอารี่ของเธอเกี่ยวกับนิมิตของสวรรค์ที่เธอได้รับว่า “วันนี้ฉันอยู่ในสวรรค์ด้วยจิตวิญญาณและฉันได้เห็นความงามที่ไม่อาจบรรยายได้และความสุขที่รอคอยเราหลังความตาย….แหล่งของความสุขนี้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใหม่อยู่เสมอ ซึ่งทำให้ความสุขบังเกิดแก่สรรพสิ่งทั้งมวลในสวรรค์”
 
นักบุญเซราฟิมแห่งซาวอย(St Seraphim of Sarov) ผู้ได้รับพระพรพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซียในศตวรรษที่ 19, ท่านพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรยายถึงความงามของสวรรค์ได้ “ถ้าหากอัครสาวกเปาโลเองยังไม่สามารถบรรยายสง่าราศีและความปีติยินดีแห่งสวรรค์  "แล้วใตรเล่าที่สามารถบรรยายความงามของอาณาจักรสวรรค์ซึ่งวิญญาณของผู้ชอบธรรมอาศัยอยู่ได้? ข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถบอกคุณถึงความสุขและความอภิรมย์ยินดีที่หวานชื่นที่ข้าพเจ้าได้มีประสบการณ์ณ.ที่นั้น”

*********************

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น