By John Haffert –
เคยมีใครได้ยินเหตุการณ์อัศจรรย์สองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของโลกที่มีความคล้ายคลึงกันและมีความสำคัญเหมือนกัน เช่นเดียวกับอัศจรรย์แห่งไฟ ซึ่งมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์พงศ์กษัตริย์ และอัศจรรย์ดวงอาทิตย์ซึ่งเกิดขึ้นที่ฟาติมาในวันที่ 13 ตุลาคม 1917 หรือไม่?
เราอาจรู้สึกตื่นเต้นในเหตุการณ์อัศจรรย์แห่งฟาติมามากจนยังไม่เห็นความสำคัญในคำสัญญาที่ยิ่งใหญ่ของพระนางพรหมจารีย์มารีย์ว่า:“ยุคแห่งสันติภาพจะถูกมอบให้แก่มนุษยชาติ” แต่เมื่ออ่านพระคัมภีร์พงศ์กษัตริย์ซึ่งเป็นจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ของประชากรของพระเจ้า, ก็จะทำให้เรารู้สึกพิศวงและชื่นชมยินดีได้เช่นกัน ชาวอิสราเอลในเวลานั้นใกล้จะพินาศแล้ว (คราวนี้ไม่ได้มาจากน้ำท่วม แต่จากภัยแล้งที่ยืดเยื้อเป็นเวลานานที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเป็นการลงโทษการนับถือรูปเคารพของพวกเขา) โดยอัศจรรย์ที่เกิดบนภูเขาคาร์เมล, ได้ทำให้ชาวอิสราเอลกลับใจและได้รับความรอด
อัศจรรย์บนภูเขาคาร์เมล
ประกาศกเอลียาห์ ผู้ซึ่งปรากฏมาอยู่กับพระเยซูเจ้าในเวลาการจำแลงพระกายบนภูเขาทาบอร์นั้น, ได้ประกาศแก่ประชาชนชาวอิสราเอลว่า ถ้าพวกเขาไม่ทำลายรูปเคารพและกลับมาหาพระเจ้าพวกเขาจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เมื่อคำพูดของประกาศกไม่ได้รับการเอาใจใส่, การลงโทษก็เกิดขึ้น, ฝนไม่ตกบนแผ่นดินอิสราเอลนานถึงสามปีครึ่ง เมื่อประชาชนใกล้จะอดตาย, กษัตริย์จึงส่งคนไปหาประกาศกเอลียาห์ บุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า:
“ขอมีพระบัญชาให้ชาวอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกับข้าพเจ้าที่ภูเขาคาร์เมลพร้อมกับประกาศกของพระบาอัลสี่ร้อยห้าสิบคน และประกาศกของเทพีอาเชราห์สี่ร้อยคน ซี่งร่วมโต๊ะเสวยกับพระนางเยเซเบล” (1 พงศกษัตริย์: 18:19) จากนั้นที่ภูเขาคาร์เมล, ประกาศกเอลียาห์ได้เสนอให้มี “การแข่งขัน” เพื่อพิสูจน์ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า
ประกาศกของพระบาอัล 850 คนที่ได้รับการคัดเลือก, สร้างแท่นบูชาขึ้นและวางเครื่องบูชาไว้บนนั้นและสวดอ้อนวอนต่อเหล่าเทพเจ้าให้ส่งไฟจากสวรรค์มาเผาผลาญเครื่องบูชา ส่วนประกาศกเอลียาห์, ประกาศกคนเดียวของพระเจ้า, ก็จะสร้างแท่นบูชาและวางเครื่องบูชาไว้บนนั้นด้วย เอลียาห์เทน้ำรดที่ฐานของแท่นบูชาจนเปียกโชก จากนั้นเอลียาห์ก็วอนขอต่อพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียวให้ทรงส่งไฟจากสวรรค์ลงมาเผาเครื่องบูชาบนแท่นบูชา
การแข่งขันระหว่างพระเจ้าและผู้ต่อต้านพระเจ้าดำเนินไปทั้งวัน เหล่าประกาศกเท็จเทียมเต้นรำรอบแท่นบูชา, เชือดตัวเองด้วยมีด, ร้องขอต่อพระบาอัลให้พิสูจน์อำนาจของตน แต่ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่ายัญบูชาของพวกเขาก็แห้งภายใต้ความร้อนของดวงอาทิตย์ซึ่งปราศจากเมฆปกคลุมเป็นเวลานานถึงสามปีครึ่ง
ในตอนท้ายของวัน, ขณะที่นักบวชนอกรีตเหน็ดเหนื่อยและล้มลงกับก้อนหินที่พวกเขาวางเครื่องบูชา เอลียาห์เงยหน้าขึ้นสู่สวรรค์และเปล่งเสียงวอนขอเพียงครั้งเดียว ไฟจากสวรรค์ก็ลงมาและเผาผลาญเครื่องบูชาของเอลียาห์ แม้แต่ก้อนหินแท่นบูชาและน้ำที่อยู่บนพื้นรอบๆก็ถูกเผาผลาญไปด้วย
ประชาชนทั้งหลายพากันคุกเข่าลงร้องไห้ ร้องว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า! พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า!” (1 พงศ์กษัตริย์ 18:39)
ดังที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้นอัศจรรย์แห่งภูเขาคาร์เมลนี้ [อาจจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม] ก็น่าอัศจรรย์เหมือนกับอัศจรรย์ของดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา เมื่อถึงเวลาหนึ่งแม่พระทรงประจักษ์มาในลักษณะของแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมล
อัศจรรย์แห่งฟาติมา
ในกรณีอัศจรรย์ของไฟที่พุ่งลงมาบนภูเขาคาร์เมล, ดูเหมือนประชาชนจะมองเห็นไฟของดวงอาทิตย์พุ่งลงมาบนภูเขาในทันทีทันใดใช่หรือไม่? และไฟมีความรุนแรงมากจนทำให้ก้อนหินละลาย ประชาชนที่อยู่รอบๆได้รู้สึกถึงความร้อนของไฟหรือไม่? พวกเขาหวาดกลัวภาพที่เห็นหรือไม่? ความประทับใจเช่นไรในการได้เห็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งแต่ละคนต่างได้สัมผัสรับรู้ และทำให้พวกเขาต่างร้องออกมาว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า! พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า!”
ในกรณีของไฟที่ลงมาจากฟากฟ้าในฟาติมา, เรามีพยานที่รู้เห็นหลายพันคน นักเขียนคนปัจจุบัน (หลังจากสัมภาษณ์หลายสิบคน) ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอัศจรรย์นี้ที่มีชื่อว่า Meet the Witnesses พวกเขาทั้งหมดได้ให้การเป็นพยานว่า: ลูกไฟปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าซึ่งทุกคนคิดว่าเป็นดวงอาทิตย์จริงๆ มันพุ่งเข้าหาโลกทำให้ประชาชนนับหมื่นนับพันคิดว่ามันจะดูดกลืนทุกคนและทุกสรรพสิ่ง
คนส่วนใหญ่ในบรรดาพยานผู้อยู่ในเหตุการณ์จำนวน 100,000 คน, ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ทุกคนคิดว่ามันเป็นจุดจบของโลก หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว, ก็มีเหตุการณ์พิเศษที่ทำให้ทุกคนประทับใจเช่นเดียวกับดวงไฟเอง นั่นคือ:
ก่อนเกิดอัศจรรย์, มีฝนตกนานหลายชั่วโมง เสื้อผ้าของทุกคนเปียกโชก บางคนยืนอยู่ในแอ่งน้ำเมื่อ "ดวงอาทิตย์" ดูเหมือนจะพุ่งลงมาจากท้องฟ้า โควาแห่งฟาติมา, สถานที่แห่งการประจักษ์, เป็นทะเลแห่งน้ำและโคลนอย่างแท้จริง ทันใดนั้นทุกอย่างที่เปียกอยู่ก็แห้งสนิท
เหมือนกับอัศจรรย์บนภูเขาคาร์เมล…น้ำได้ระเหยหายไปด้วยความร้อนของดวงไฟอันใหญ่โตซึ่งลงมาจากท้องฟ้าเหนือภูเขาที่ฟาติมา หลังจากพูดคุยกับพยานหลายครั้ง, นักเขียนคนปัจจุบันก็เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่ฟาติมาและสิ่งที่พยานหมื่นคนเล่าถึง เมื่อพวกเขากล่าวว่าพวกเขาคิดว่าเป็นดวงอาทิตย์เองที่พุ่งลงมาบนพื้นโลก (ทำให้พวกเขาคิดว่ามันเป็นจุดสิ้นสุดของโลก) แต่ตาของพวกเขาก็ไม่ได้บอดแม้จะได้รับแสงสว่างที่เจิดจ้าและพวกเขาก็ไม่ได้ถูกเผาด้วยความร้อนที่พวกเขารู้สึก แต่เสื้อผ้าที่เปียกและน้ำบนพื้นดิน…ของแอ่งน้ำลึกและโคลน…กลับแห้งสนิทในทันที พยานทั้งหมดของอัศจรรย์นี้ได้ให้การเป็นพยานว่า เนื้อตัวและเสื้อผ้าของพวกเขาแห้งและสะอาดในทันที แต่ละคนประสบกับอัศจรราย์เป็นส่วนตัวและไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงรักษาสัญญาที่จะทำอัศจรรย์ “เพื่อที่กำแพงที่แข็งกระด้างจะได้เชื่อ”
ช่วงเวลาที่น่าระทึกใจที่สุดของอัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งฟาติมานี้ก็คือ พระแม่มารีย์ทรงปรากฏพระองค์บนท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมล!
โปรตุเกสในขณะนั้นถูกปกครองโดยผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าที่สาบานว่าจะกำจัดคริสตศาสนาให้หมดสิ้นไปภายในสองชั่วอายุคน พวกเขาพยายามทำลายสถานที่ของการประจักษ์ พวกเขากักขังเด็กที่พระแม่มารีย์ทรงปรากฏและขู่พวกเขาด้วยความตาย มีการแข่งขันเช่นเดียวกับที่ภูเขาคาร์เมลในอดีต, เกิดขึ้นระหว่างพระเจ้าและผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า
ผลกระทบสืบเนื่องจากเหตุการณ์อัศจรรย์ที่มีต่อประเทศโปรตุเกสและต่อโลกในปี1917 นั้น, ไม่เห็นชัดเจนในทันที, เช่นเดียวกับผลกระทบของอัศจรรย์ที่ภูเขาคาร์เมลที่มีต่อชาวอิสราเอลในยุคของประกาศกเอลียาห์ อัศจรรย์แห่งฟาติมาสำหรับคนทั้งโลกกำลังจะถูกกลืนหายไปในการปฏิวัติของผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า โดยมีจุดเริ่มต้นในรัสเซีย ตามที่แม่พระทรงตรัสแก่เด็กๆไว้ล่วงหน้า และทรงขอให้พระสันตะปาปาทรงถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงพระหทัยนิรมลของแม่พระ เพื่อยับยั้งเหตุการณ์นี้
มันเป็นอัศจรรย์ที่เปิดยุคใหม่ของการแทรกแซงจากสวรรค์และท้ายที่สุดเพื่อชัยชนะแห่งความรักของพระเจ้าในโลก: ชัยชนะแห่งดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ นี่เป็นการเปิดยุคใหม่ที่พระเจ้าทรงประกาศว่าพระองค์จะทรงสถาปนาความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระในโลกนี้ ยุคที่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระจะประสบชัยชนะและนำมาซึ่งรัชสมัยของพระเยซูคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท ซึ่งจะยืนยาวไปเป็น “ยุคแห่งสันติภาพสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด”
เราอาจจะเข้าใจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ดีขึ้นโดยดูว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาของประกาศกเอลียาห์ หลังจากประกาศกส่งคนรับใช้ของท่านขึ้นไปบนภูเขาและดูไปทางทะเลหกครั้ง ทุกครั้ง, ผู้รับใช้กลับมาและรายงานว่า “ไม่มีอะไรเลย” ทันใดนั้นคนรับใช้ก็กลับมาเป็นครั้งที่เจ็ดและรายงานว่ามีเมฆก้อนเล็กๆก้อนเดียวลอยขึ้นมาจากทะเลในรูปของฝ่ามือคน! เมื่อได้ยินอย่างนี้เอลียาห์ก็ลุกขึ้นและกล่าวต่อกษัตริย์และประชาชนให้รีบกลับไปที่บ้านของพวกเขา “เพื่อมิให้ฝนตกตามพวกเขา” การลงโทษอันศักดิ์สิทธิ์ของความแห้งแล้งสามปีครึ่งกำลังจะจบลง!
บรรดาปิตาจารย์และนักปราชญ์ของพระศาสนจักรตีความหมายของเมฆรูปฝ่ามือคนที่เห็นลอยขึ้นจากทะเลที่เชิงเขาคาร์เมลว่า เป็นเครื่องหมายของดวงหทัยนิรมลของแม่พระซึ่งลอยขึ้นมาจากทะเลแห่งมนุษยชาติเพื่อนำพระผู้ช่วยให้รอดของโลกออกมา เพื่อบดขยี้หัวของงูไว้ใต้ส้นพระบาทของพระนางและนำสายฝนแห่งพระหรรษทานโปรยปรายลงสู่มนุษยชาติ
หมายสำคัญ – เสื้อจำพวก
โดยอัศจรรย์แห่งภูเขาคาร์เมลในพันธสัญญาเดิมและอัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมาในปี 1917 ด้วยการปรากฏพระองค์ครั้งสุดท้ายของ "แม่พระแห่งภูเขาคาร์เมล" เรากำลังเผชิญหน้ากับความลึกลับแห่งความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ , ผู้เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน, ผู้ทรงแสดงให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในโลก ความศรัทธาต่อแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมลนั้น, ปฏิบัติได้โดยการสวมใส่เสื้อจำพวกที่แม่พระทรงประทานไว้ให้ในปีค.ศ.1251เป็นเครื่องหมายแห่งความรอด โดยตรัสว่า: "ผู้ใดก็ตามที่สวมเสื้อจำพวกนี้จะไม่ได้รับความทุกข์ทรมานจากไฟนิรันดร"
กลุ่ม World Apostolate of Fatima ขอสนับสนุนให้ทุกคนสวมเสื้อจำพวกสีน้ำตาลของแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมล เป็นเครื่องหมายของการมอบความไว้วางใจของเราต่อดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์
พระแม่มารีย์แห่งภูเขาคาร์เมล โปรดภาวนาเพื่อเราเทอญ
(นำมาจาก Her Glorious Title, บทที่. 2-3. และ Meet the Witnesses).
**********************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น