พี่น้องที่รัก ให้เราลองจินตนาการเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระวรสารวันนี้
หญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกจากบ้านของตนเพื่อไปรอรับเจ้าบ่าวที่กำลังจะมาถึง
เมื่อพวกเขามาถึงจุดนัดพบ หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “พวกเธอคิดว่าเราควรเอาน้ำมันสำรองไปด้วยไหม?”
แทนที่จะตอบคำถามตรงๆ หญิงสาวอีกคนหนึ่งถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมละ?
ตามโปรแกรม เจ้าบ่าวจะมาถึงตอนตะวันตกดินมิใช่หรือ?” “มันก็ไม่แน่นะ
บางทีเขาอาจจะมาช้าก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้เราจะมีน้ำมันไม่เพียงพอในยามค่ำคืนก็ได้” หญิงสาวคนแรกแสดงความคิดเห็น
แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเธอไม่เห็นด้วยจึงแย้งว่า “นี่เธอ
ทำไมเธอจึงมองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้? ทำไมเธอทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยากด้วย?
เธอต้องการให้พวกเราถือถังน้ำมันสำรองที่แสนจะเทอะทะแบบของเธอไปด้วยโดยไม่รู้ว่าจะได้ใช้หรือเปล่าอย่างนั้นหรือ?
ทำไมเธอไม่มองโลกในแง่ดีบ้าง?” หญิงสาวคนแรกจึงตอบว่า “สิ่งที่เธอพูดก็มีเหตุผล
แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น
ฉันจะเอาน้ำมันสำรองไปด้วยเพื่อจะได้ใช้ในกรณีจำเป็น”
เราทุกคนทราบตอนจบของอุปมาเรื่องนี้ดี
เจ้าบ่าวมาช้าและบรรดาหญิงสาวที่เอาน้ำมันสำรองไปด้วยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนฉลาด
ความฉลาดในที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมีไอคิวหรือความสามารถสูงส่งกว่าคนอื่นมากเท่าใดนัก
แต่เป็นการเลือกที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรทำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งแย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้น
ขณะที่หวังสิ่งดีที่สุดที่จะมาถึงในอนาคต บรรดาหญิงสาวที่โง่หวังเพียงสิ่งดีที่สุดเท่านั้น
แต่ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งแย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้
หลายคนอาจรู้สึกว่าอุปมาเรื่องหญิงสาวสิบคนนี้ค่อนข้างแปลก
ในพิธีแต่งงานของเราคนที่มาถึงวัดช้ากว่าคนอื่นมักจะเป็นเจ้าสาว เพราะเธอมัวแต่สลวนอยู่กับการแต่งหน้าแต่งตาและแต่งตัวให้สวยงามมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
บางแห่งมีธรรมเนียมให้เจ้าสาวมาถึงวัดช้าอย่างน้อย 5
นาทีเพื่อให้เจ้าบ่าวและแขกคนอื่นๆ รอ
ซึ่งเป็นการเน้นความสำคัญของผู้ที่เป็นเจ้าสาว คล้ายๆ กับจะบอกว่าวันนี้เป็นวันของเธอ
เธอยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกคนต้องรอเธอคนเดียว
แต่ประเพณีของชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น สำหรับพวกเขาในวันแต่งงานเจ้าบ่าวและเพื่อนๆ
จะไปรับเจ้าสาวที่บ้านของเธอ พิธีจะเริ่มขึ้นในตอนกลางคืน ดังนั้น
กลุ่มของเจ้าบ่าวมักจะไปถึงบ้านเจ้าสาวหลังจากตะวันตกดินไปแล้วนิดหน่อย
ในช่วงเวลานี้เจ้าสาวและเพื่อนๆ ของเธอต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอคอยเจ้าบ่าวและเพื่อนของเขา
เมื่อพวกเขามาถึงเพื่อนเจ้าสาวจะเข้าไปรวมกลุ่มด้วยและพาเจ้าสาวไปยังบ้านของเจ้าบ่าว
แล้วงานฉลองก็จะเริ่มขึ้น ขณะที่แห่เจ้าสาวไปยังบ้านเจ้าบ่าวเพื่อนเจ้าสาวจะถือตะเกียงเพื่อเดินทางในเวลากลางคืนและขับร้องบทเพลงแห่งความรักไปตลอดทาง
ในอุปมาเรื่องนี้เจ้าบ่าวเดินทางมาช้าและมาถึงตอนเที่ยงคืน
เพื่อนเจ้าสาวห้าคนที่ไม่ได้นำน้ำมันสำรองมาด้วยจึงรู้ตัวว่าตนเองไม่มีน้ำมันเพียงพอ
พวกเขาจึงต้องไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้อน้ำมันเพิ่มเติม
แต่ขณะนั้นขบวนแห่เจ้าสาวไปยังบ้านเจ้าบ่าวก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
กว่าที่พวกเขาจะหาซื้อน้ำมันได้และหาทางไปยังบ้านของเจ้าบ่าว
งานแต่งงานก็ได้เริ่มขึ้นแล้วและประตูบ้านเจ้าบ่าวก็ปิด
พวกเขาต้องอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง พวกเขาคงตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อพวกเขาร้องเรียกว่า “นายเจ้าขา
นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย” และได้ยินเสียงของเจ้าบ่าวตอบออกมาจากข้างในบ้านว่า
“เราไม่รู้จักท่าน” (มธ 25:11-12)
เราพบอุปมาเรื่องนี้เฉพาะในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิวเท่านั้น
บางทีผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับนี้บันทึกเรื่องนี้ไว้เพื่อใช้เตือนกลุ่มคริสตชนสมัยเริ่มแรกที่คิดและหวังว่าพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาครั้งที่สองในไม่ช้า
ท่านนักบุญต้องการบอกพวกเขาว่าการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอาจล้าช้ากว่าที่พวกเขาคาดหวัง
ดังนั้น พวกเขาควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรอคอยที่ต้องใช้เวลายาวนานด้วยการจัดหาน้ำมันให้เพียงพอสำหรับตะเกียงของพวกเขา
เราสามารถเข้าใจความหมายของอุปมาเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้น
เมื่อเรามองเจ้าบ่าวผู้ที่มาช้าคนนั้นเป็นพระคริสตเจ้าเอง
ส่วนเจ้าสาวของพระองค์คือพระศาสนจักร (วว 22:17) เพื่อนเจ้าสาวทั้งสิบคนหมายถึงสมาชิกทั้งหมดของพระศาสนจักร
ตะเกียงที่เพื่อนเจ้าสาวทุกคนถือเป็นสัญลักษณ์แทนความเชื่อซึ่งคริสตชนทุกคนมี
น้ำมันที่เพื่อนเจ้าสาวห้าคนมีและอีกห้าคนไม่มีหมายถึงกิจการดีต่างๆ
ตะเกียงที่ปราศจากน้ำมันก็เหมือนกับความเชื่อที่ปราศจากกิจการที่ดี เป็นความเชื่อที่ตายแล้วและไร้ประโยชน์
(เทียบ ยก 2:17)
สิ่งที่นักบุญมัทธิวต้องการบอกบรรดาคริสตชนในสมัยของท่านยังใช้ได้กับบรรดาคริสตชนในสมัยของเราหรือไม่?
พ่อคิดว่ายังใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ขณะที่เรากำลังเข้าใกล้สัปดาห์สุดท้ายของปีพิธีกรรม
โดยผ่านทางพระวรสารพระศาสนจักรเชื้อเชิญเราให้รำพึงไตร่ตรองถึงวาระสุดท้ายชีวิตของเราและของโลก
แนวทางเพื่อเตรียมตัวสำหรับวาระสุดท้ายดังกล่าวไม่ใช่การดำเนินชีวิตด้วยความหวาดกลัวและกังวลใจ
หรือเดินตามหลังและเชื่อบรรดาประกาศกเท็จที่อ้างว่าตนเองหยั่งรู้ถึงความเร้นลับของพระเจ้าและรู้ว่าวาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงเมื่อไหร่และอย่างไร
พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในวันสุดท้ายเพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย
แต่ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรืออย่างไร ดังนั้น
คริสตชนที่ฉลาดควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันดังกล่าวอย่างไร?
พี่น้องที่รัก พ่อคิดว่าอุปมาในพระวรสารวันนี้ให้คำตอบแก่เรา นั่นคือ วิถีทางที่ดีที่สุดสำหรับการเตรียมตัวเพื่อวาระสุดท้ายก็คือ ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของหญิงสาวที่ฉลาดห้าคนนั้น พวกเขาเอาน้ำมันไปด้วยอย่างเพียงพอเพื่อทำให้ตะเกียงลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา ในทำนองเดียวกันเราควรกระทำกิจการดีอย่างเพียรทนและสม่ำเสมอเพื่อทำให้ความเชื่อของเรามีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา นี่คือวิถีทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ตัวเราพร้อมต้อนรับองค์พระผู้เป็น ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาเวลาใด ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น