วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2563

แม่พระแห่งเลาส

 
 
 
Our Lady of Laus
แม่พระแห่งเลาส 
ที่หลบภัยของคนบาป
 
พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ตรัสเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1946 ว่า บาปของศตวรรษที่ 20 คือการสูญเสียความสำนึกรู้ถึงบาป. และ 50ปีต่อมา ก็เกิดวิกฤตการณ์ของศีลอภัยบาป, คาทอลิกจำนวนมากเพิกเฉยต่อการไปรับศีลอภัยบาป....... ทุกวันนี้, ปีศาจพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อทำให้มนุษย์คิดว่าไม่มีบาป และต้องแสวงหาความสุขในชีวิตนี้เท่านั้นด้วยการแสวงหาอำนาจ,เงินตรา,สิ่งบำรุงโลกียสุขทุกชนิด ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ช่างน่าเศร้านัก เราต้องทนรับสภาพแวดล้อมที่ชั่วร้ายโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ? แม่พระได้ทรงประจักษ์มาหลายครั้งส่งสาสน์ของพระเป็นเจ้าแก่ชาวโลกให้หันหลังให้แก่บาปและกลับมาสู่ความรักของพระผู้สร้างของเรา. พระนางได้เข้ามาแทรกแซงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหลายครั้ง อย่างเช่นที่ ลาซาแลต, ลูรดส์ และ ฟาติมา แต่ก่อนหน้านี้,พระนางได้ทรงประจักษ์มาแก่เด็กหญิงยากจนผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาแอลป์, เธอชื่อ เบน้อตติ เรนคูเรล
 
เลาส์ (LAUS). เป็นชื่อหุบเขาตั้งอยู่ที่ เดาฟีน, ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส บริเวณเชิงเขาแอลป์, ตะวันออกเฉียงใต้ของแม่น้ำกัฟ เลาส์เป็นสำเนียงของท้องถิ่นมีความหมายว่า ทะเลสาบ ที่นี่เคยเป็นแอ่งน้ำมาก่อน. ในปี 1666 มีหมู่บ้านขนาดเล็กอยู่ที่นั่น มีบ้านประมาณ 20 หลังถูกสร้างอยู่กระจัดกระจาย. ชาวบ้านได้สร้างโบสถ์เล็กๆชื่อว่า Notre-Dame de on Recontre (แม่พระรับสาส์น) อุทิศแด่การได้รับสาส์นของแม่พระจากอัครเทวดาคาเบรียล สถานที่แห่งนี้เองที่แม่พระทรงเลือกประจักษ์มาหลายครั้งแก่เด็กหญิงธรรมดาผู้หนึ่งซึ่งไม่ได้เล่าเรียนหนังสือ เธอชื่อว่า เบน้อตติ เรนคูเรล. แม่พระตรัสแก่เด็กว่า "แม่ได้วิงวอนต่อพระบุตรสำหรับเลาส์เพื่อการกลับใจของคนบาป และพระองค์ได้ทรงอนุญาตตามคำขอของแม่"
 
เบน้อตติ มีความยากลำบากตั้งแต่เกิด ครอบครัวยากจนมากจนทำให้บิดาของเธอเสียชีวิตเมื่อเธออายุเพียง 7 ขวบ. เธอเกิดเมื่อเดือนกันยายน 1647 สองเดือนก่อนวันเกิดของนักบุญ มาร์กาเร็ต มารี ผู้เผยแพร่ความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า มารดาของเธอติดหนี้เจ้าหนี้รายหนึ่งและเขาไม่ยอมให้เธอยืมเงินอีก ทำให้ต้องไปทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว. เบน้อตติก็ต้องช่วยมารดาทำงานด้วย มารดามีใจศรัทธามากสอนลูกๆให้รู้จักสวดภาวนาบท ข้าแต่พระบิดา, วันทามารีอาและบทสวดอื่นๆ วันหนึ่งเบน้อตติเห็นชายใจชั่วมุ่งหน้ามาที่บ้าน เธอรีบวิ่งไปเตือนมารดา เธอวิ่งหนีพวกเขากระโจนลงไปลำห้วยด้านล่างซึ่งมีดินเลนแต่เธอสามารถวิ่งผ่านดินเลนไปได้โดยสะดวก ชายสองคนตามเธอลงไปแต่ขาของพวกเขากลับจมลงไปในดินเลนทันทีทำให้ต้องกระเสือกกระสนเข้าไปหาพื้นดินแห้ง. แม่พระทรงปกป้องคนที่พระนางทรงเลือกไว้
 
เมื่อเบน้อตติอายุ 12 ปี. ครอบครัวลำบากมากยิ่งขึ้น. ดังนั้นเธอจึงไปรับจ้างดูแลฝูงแกะสองคอกในเวลาเดียวกัน การดูแลฝูงแกะ,เป็นเวลาที่เธอจะสวดภาวนา ทำให้เธอมีความศรัทธามากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นการเตรียมตัวเธอสำหรับภารกิจพิเศษในอนาคต
 
พฤษภาคม 1664, เธออายุ 17 ปี, ขณะกำลังสวดสายประคำซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชอบมากที่สุดในระหว่างที่ดูแลฝูงแกะ. ทันใดนั้นก็มีชายชราคนหนึ่งท่าทางสง่างามเป็นผู้ดี สวมใส่ชุดของพระสังฆราช, เดินมาหาเธอและพูดว่า "ลูกเอ๋ย ลูกกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่?"
 
"หนูกำลังเฝ้าฝูงแกะของหนู, สวดภาวนาต่อพระเจ้า และกำลังมองหาน้ำดื่มอยู่ค่ะ"
 
"ฉันจะให้น้ำแก่หนูเอง" ชายชราพูดแล้วเดินไปที่บ่อน้ำซึ่งเบน้อตติไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อน
 
"คุณสง่างามมาก" เบน้อตติพูด "คุณเป็นเทวดา หรือพระเยซูเจ้า ใช่หรือเปล่าคะ?"
 
"ฉันคือนักบุญเมาริกซึ่งโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆนี้ได้สร้างอุทิศในนามของฉัน......ลูกเอ๋ย, อย่ามาที่นี่อีกนะ. ที่นี่เป็นชายแดนของอีกเมืองหนึ่ง ทหารยามจะเอาฝูงแกะของลูกไปถ้าพวกเขามาเห็นลูกที่นี่. จงไปที่หุบเขาทางตอนเหนือของเซ็นต์เอเตียน. ที่นั่นลูกจะได้พบกับพระมารดาของพระเจ้า"
 
"แต่พระนางอยู่ในสวรรค์นี่คะ. แล้วหนูจะเห็นพระนางที่นั่นได้อย่างไร?"
 
"ถูกแล้ว, พระนางอยู่ในสวรรค์. และอยู่บนโลกนี้ด้วยเมื่อพระนางต้องการ"
 
ดังนั้นเช้าวันต่อมาเบน้อตติจึงเร่งรีบนำฝูงแกะไปยังสถานที่ได้รับการบอกเล่าแต่เช้าตรู่. คือที่ Vallon des Fours (หุบเขาดินขาว) ที่เรียกดังนี้เพราะมีแร่ยิปซั่มอยู่มากและชาวบ้านจะนำดินขาวไปเผาทำเป็นปูนปลาสเตอร์สำหรับใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน. เบน้อตติมาถึงเบื้องหน้าถ้ำเล็กๆและได้เห็นแม่พระประจักษ์มา ทรงสวยงามสุดพรรณนากำลังอุ้มพระกุมารซึ่งสวยงามสุดบรรยายเช่นเดียวกัน. เธอถูกดึงดูดใจด้วยภาพที่เห็น ทำให้ลืมทุกอย่าง เธอแทบไม่เชื่อว่าได้มาอยู่เบื้องหน้าพระมารดาแห่งพระเจ้า ตามที่นักบุญเมาริกได้แจ้งให้เธอรู้ล่วงหน้า. เธอคิดว่าผู้ที่เธอเห็นคือมนุษย์ธรรมดา จึงพูดอย่างซื่อๆว่า
 
"คุณนายที่รักเจ้าขา, คุณนายมาทำอะไรอยู่ที่นี่คะ? คุณนายมาซื้อปูนปลาสเตอร์หรือคะ?
 
และไม่รอคำตอบ,เธอพูดต่อว่า "คุณนายจะกรุณามอบลูกชายของคุณนายแก่เราได้ไหมคะ? เขาจะทำให้พวกเราทั้งหมดมีความสุขมาก"
 
แม่พระทรงยิ้มโดยไม่ได้ตอบ. เบน้อตติชื่นชมในความสวยงามของแม่พระ และต่อมาเธอก็หยิบเอาขนมปังชิ้นหนึ่งแล้วพูดว่า
 
"คุณนายอยากจะทานพร้อมกับหนูไหมคะ? หนูมีขนมปังอร่อยอยู่บ้าง, เราจะเอาไปจุ่มน้ำที่น้ำพุกัน"
 
แม่พระทรงยิ้มอีกและอนุญาติให้เบน้อตติชื่นชมความงามของพระนางต่อไป พระนางทรงออกมาจากถ้ำเป็นบางครั้งแล้วก็เข้าไปข้างในถ้ำ. เข้ามาใกล้เบน้อตติแล้วก็ถอยห่างออกไป. เมื่อถึงเวลาเย็น,พระนางทรงอุ้มพระกุมารไว้ที่อ้อมแขน, เข้าไปในถ้ำแล้วก็หายไป.
 
วันต่อมาและตลอดสี่เดือน, เบน้อตติมาที่ถ้ำเพื่อชื่นชมในความยินดีของเหล่าเทวดาและความงามแห่งสวรรค์. ใบหน้าของหญิงเลี้ยงแกะส่องประกายความยินดีทำให้ผู้พบเห็นรับรู้ถึงความสุขที่เธอได้รับ. เมื่อพวกเขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอต่างก็พากันสงสัย "เธอได้เห็นแม่พระประจักษ์มาหรือ?" เบน้อตไม่ทราบว่าเป็นแม่พระและเธอก็ไม่กล้าถาม.
 
แม่พระทรงดึงดูดจิตใจของเบน้อตติจนไม่สามารถต้านทานได้. พระนางทรงทำให้เบน้อตติเป็นมิตรสหายของพระนางและประทานพระพรแก่เธอ. ภายหลังจากสองเดือนที่พระนางไม่ตรัสอะไรเลย, พระนางก็ทำให้เบน้อตติเป็นเหมือนนักเรียนของพระนาง, เริ่มตรัสสอนเธอ,ทดสอบเธอและให้กำลังใจแก่เธอ.
 
พระราชินีแห่งสวรรค์ทรงถ่อมพระองค์ลงมาหาเด็กน้อยผู้ต่ำต้อย ยังความประหลาดใจแก่เราซึ่งทำให้เราตระหนักว่าพระนางทรงพระทัยดีหาที่สุดมิได้. วันหนึ่งพระมารดาทรงพระทัยอ่อนโยนให้เบน้อตตินั่งพักผ่อนอยู่เคียงข้างพระนางและเด็กน้อยที่กำลังอ่อนเพลียก็หลับใหลอย่างสงบสุขบนตักของพระมารดา. อีกครั้งหนึ่งพระนางทรงสอนเบน้อตติเหมือนแม่สอนลูกให้สวดบทภาวนา พระนางทรงสอนให้เธอสวดบทเร้าวิงวอนแห่งโลเร็ตโต,คำต่อคำ, ทำให้เบน้อตติมีความยินดีอย่างยิ่งจนเธอต้องไปสอนต่อให้กับเด็กหญิงที่เซ็นต์เอเตียน เธอพาพวกเขาเข้าไปในโบสถ์ทุกๆเย็นและขับร้องเพลงพร้อมกันในโบลถ์.
 
เด็กน้อยใจศรัทธาผู้นี้ยังมีนิสัยที่ซุ่มซ่ามตามประสาเด็ก, ดื้อดึงและไม่ค่อยอดทนก่อนที่แม่พระจะทรงเปิดเผยพระนามให้เธอทราบ พระนางทรงค่อยๆทำให้เบน้อตติมีความเหมาะสมกับบทบาทภารกิจที่เธอจะต้องกระทำไปจนตลอดชีวิตของเธอ. นั่นคือการทำให้คนบาปกลับใจโดยผ่านทางการสวดภาวนา,การพลีกรรม, และกระแสเรียกพิเศษอีกประการหนึ่งคือ ความเบิกบานใจ. พระเป็นเจ้าทรงประทานพระพรพิเศษให้แก่เธอคือเธอสามารถอ่านจิตใจคนได้. บ่อยครั้ง,เธอจะมอบหมายงานหนักให้แก่คนที่เหมาะสมและยังเปิดเผยบาปหนักของแต่ละคนด้วย. เมื่อจำเป็น,เธอจะเตือนพวกเขาให้ระลึกถึงบาปที่พวกเขาปกปิดไว้และกระตุ้นให้พวกเขาให้ไปสารภาพบาป.
 
การกลับใจอย่างฉับพลันของผู้คนจำนวนมากเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะสาเหตุการประจักษ์เท่านั้น แต่เพราะการรู้ล่วงหน้าของผู้เห็นการประจักษ์ด้วย. นายจ้างของเบน้อตติ, คุณนายโรแลนด์, ไม่ได้สนใจในศาสนาเลย. แต่เธออยากเห็นด้วยตาตนเองว่ามีอะไรเกิดขึ้นในที่มีการประจักษ์. วันหนึ่งเธอได้ไปที่ถ้ำก่อนเช้าตรู่โดยไม่บอกให้ใครรู้. เธอไปถึงก่อนเบน้อตติแล้วซ่อนตัวอยู่ข้างหลังก้อนหิน. เบน้อตติมาถึง,และไม่นานแม่พระก็ประจักษ์มา.
 
"นายจ้างของลูกอยู่ที่ตรงนั้น, ข้างหลังก้อนหินแน่ะ" แม่พระตรัส "จงบอกเธอไม่ให้พูดสบถในพระนามของพระเยซูพระบุตรของแม่อีก, เพราะถ้าเธอยังทำอีกต่อไป, จะไม่มีที่ในสวรรค์สำหรับเธอ. มโนธรรมของเธออยู่ในสถานะที่เลวร้ายมาก, เธอควรสำนึกผิดกลับใจและใช้โทษบาป"
 
นายจ้างได้ยินทุกสิ่ง น้ำตาเริ่มไหลรินและสัญญาที่จะปรับปรุงตัวเอง. และเธอก็รักษาคำพูด
 
ข่าวเรื่องการประจักษ์ได้แพร่กระจายไป ประชาชนเริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้. หลายคนเชื่อ, แต่บางคนไม่เชื่อซ้ำยังกล่าวหาเบน้อตติว่าเป็นคนหลอกลวง. คนที่เชื่อในเบน้อตตินั้นมีกลุ่มเด็กหญิงแห่งเซ้นต์สตีเฟนอยู่ด้วย พวกเขาก็เหมือนกับเบน้อตติ, รักแม่พระสุดหัวใจ. แม่พระตรัสกับเบน้อตติว่า "จงบอกกับเด็กหญิงแห่งเซ้นต์สตีเฟนให้สวดบทเร้าวิงวอนแม่พระในโบสถ์ทุกๆเย็น โดยได้รับการอนุญาตจากพระสงฆ์เจ้าวัดก่อน แล้วลูกจะเห็นว่าพวกเขาจะทำตามที่ลูกบอก" และก็เป็นจริงตามนั้น. เมื่อเบน้อตติบอกแก่เด็กหญิงเหล่านั้น ก็มีการสวดภาวนาทุกเย็นด้วยความศรัทธา.
 
เมื่อข่าวการประจักษ์แพร่กระจายไปมากขึ้น นายฟรังซัว กริมโมด์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาปกครองแถบหุบเขาเอแวนซอง ได้ตัดสินใจที่จะสอบสวนความจริง เขาเป็นคาทอลิกใจศรัทธาและมีคุณธรรม. หลังจากสอบสวนเบน้อตติอย่างเข้มงวด,เขาก็สรุปว่า เบน้อตติไม่ได้หลอกลวงหรือสร้างเรื่องขึ้นเองและเธอก็มีสภาพจิตที่ปกติ. เขายังสังเกตด้วยว่าเบน้อตติไม่ได้สอบถามชื่อของสตรีที่มาประจักษ์. ดังนั้นเขาจึงขอให้เบน้อตติถามสตรีผู้นั้นว่าเป็นใคร. เบน้อตติจึงถามแม่พระในการประจักษ์ครั้งต่อมาว่า "คุณนายที่รักคะ,หนูและประชาชนที่นี่อยากทราบว่าท่านเป็นพระมารดาของพระเป็นเจ้าใช่หรือไม่คะ? โปรดกรุณาบอกหนูทีเถอะค่ะ แล้วพวกเราจะสร้างโบสถ์ถวายแก่ท่านที่นี่" แม่พระทรงตรัสว่าไม่จำเป็นที่พวกเขาจะสร้างสิ่งใดถวายแด่พระนาง เพราะพระนางได้เลือกสถานที่ที่เหมาะสมไว้แล้ว และพระนางตรัสว่า "ฉันคือมารีย์, พระมารดาของพระเยซูเจ้า. ลูกจะไม่ได้เห็นเราที่นี่อีกต่อไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง" และเบน้อตติก็ไม่ได้เห็นแม่พระตลอดทั้งเดือนนั้น. ทำให้เธอเศร้าใจมากและคิดว่าตัวเองคงจะต้องเสียชีวิตเป็นแน่ ถ้าหากว่าในวันที่ 29 กันยายน 1664 ณ. ที่ริมฝั่งลำน้ำก่อนถึงยอดเนินเขาที่นำไปสู่เลาส์. เธอได้เห็นแม่พระประจักษ์มาอีก "โอ,พระแม่คะ ทำไมพระแม่จึงจากลูกไป ทำให้ลูกไม่ได้เห็นพระแม่เป็นเวลานาน ลูกเป็นทุกข์ใจมาก"
 
แล้วเธอก็เดินข้ามลำห้วยมาหาแม่พระคุกเข่าลงแทบพระบาทราชินีแห่งสวรรค์. แม่พระตรัสตอบเธอ "ตั้งแต่นี้ไป,ลูกจะได้เห็นแม่ที่โบสถ์ซึ่งตั้งอยู่ที่เลาส์เท่านั้น" แม่พระทรงแสดงให้เธอเห็นเส้นทางที่จะไปยังเลาส์ซึ่งอยู่บนเนินเขา เบน้อตติเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่นั้นแต่ยังไม่เคยไปมาก่อน เพราะเธออาศัยอยู่แต่ในหมู่บ้านที่เซนต์เอเตียน.
 
หลายปีก่อน,ในปี 1640 ประชาชนใจศรัทธาซึ่งอาศัยอยู่ที่เนินเขาที่เลาส์ได้สร้างโบสถ์เล็กๆอุทิศถวายแด่ แม่พระได้รับแจ้งสาส์น(Our Lady of Good Encounter) ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้สามารถร่วมพิธีมิสซาได้ในฤดูน้ำหลากซึ่งทำให้ยากลำบากที่จะไปโบสถ์ที่เซ็นต์เอเตียน. โบสถ์มีหลังคาเหมือนกับบ้านชาวบ้านทั่วไป และมีขนาดเล็กมาก แท่นบูชาทำด้วยปูนปลาสเตอร์และมีเครื่องประดับตกแต่งทำด้วยไม้. สถานที่นี้แหละที่ราชินีแห่งสวรรค์ทรงรอคอยเด็กหญิงเลี้ยงแกะ เหมือนขณะที่ทรงอยู่ในถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เบธเลเฮม.
 
ด้วยเหตุว่าเบน้อตติไม่เคยรู้เรื่องโบสถ์นี้มาก่อนเลย, ในวันต่อมาเธอจึงพยายามค้นหาเป็นเวลานาน เมื่อไม่พบก็ร้องไห้เที่ยวเดินหาทางโน้นทีทางนี้ที. แล้วเธอก็มาหยุดอยู่ที่บ้านซอมซ่อหลังหนึ่ง. เธอพยายามสูดดมกลิ่นหอม. แล้วเธอก็ได้กลิ่นมาจากประตูของบ้านถัดไปซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ. เธอเดินเข้าไปและได้พบกับสุภาพสตรีงดงามกำลังยืนอยู่บนพระแท่นที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น.
 
"ลูกที่รักของแม่, ลูกได้เพียรพยายามตามหาแม่. ลูกอย่าได้ร้องไห้อีกเลย การกระทำของลูกทำให้แม่ปิติยินดีมากที่ลูกมีความเพียรอดทน"
 
เบน้อตติน้อมรับพระดำรัส แล้วเธอก็สังเกตเห็นพระแท่นที่สกปรกเต็มไปด้วยฝุ่น
 
"พระแม่ที่รัก, พระแม่จะอนุญาตให้ลูกใช้ผ้ากันเปื้อนของลูกวางไว้ใต้บาทของพระแม่ได้หรือไม่คะ? มันยังขาวอยู่เลย
 
"ไม่ต้องหรอกลูก,.....ในไม่ช้าที่นี้จะไม่ขาดสิ่งใดเลย - ไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมพระแท่นหรือเทียน. แม่ต้องการให้มีการสร้างโบสถ์ที่ใหญ่โตขึ้นที่นี่ และมีบ้านพักพระสงฆ์ด้วย. โบสถ์ที่จะสร้างนี้จะอุทิศถวายแด่พระบุตรของแม่และแม่เอง. จะมีคนบาปกลับใจเป็นจำนวนมากที่โบสถ์นี้. แม่จะมาปรากฏแก่ลูกบ่อยๆที่นี่"
 
"สร้างโบสถ์หรือคะ?" เบน้อตติร้อง "ที่นี่ลูกไม่มีเงินทองที่จะใช้สร้างเลย"
 
"อย่าวิตกไปเลย. เมื่อถึงเวลาที่จะสร้าง, ลูกจะได้สิ่งจำเป็นทุกอย่าง จะไม่นานหรอก. เงินของคนยากจนจะใช้สำหรับทุกสิ่ง. จะไม่ขาดแคลนสิ่งใด"
 
ตลอดฤดูหนาวปี 1664 - 65 , ทั้งที่หมู่บ้านเซนต์เอเตียนห่างจากโบสถ์เลาส์ถึง 4 กม. เบน้อตติก็เดินไปที่นั่นทุกวัน และเธอได้เห็นแม่พระที่นั่น. แม่พระตรัสว่า "จงสวดภาวนาสม่ำเสมอเพื่อคนบาป" และหลายครั้งที่พระนางทรงบอกเธอให้สวดเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ. ด้วยวิธีนี้แม่พระได้เตรียมเบน้อตติให้พร้อมสำหรับภารกิจของเธอ. คือการช่วยพระสงฆ์ในภารกิจทำให้คนบาปกลับใจและสารภาพบาป. ในปี 1665, แม่พระทรงขอให้เบน้อตติหยุดการเลี้ยงแกะเพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลาทั้งหมดในการปฏิบัติภารกิจของเธอ.
 
แม่พระตรัสแก่เบน้อตติว่า "แม่ได้วิงวอนต่อองค์พระบุตรของแม่สำหรับเลาส์เพื่อการกลับใจของคนบาป และพระองค์ทรงอนุญาตตามคำขอของแม่"
 
พระวาจาของแม่พระสำเร็จสมบูรณ์, ข่าวการประจักษ์ได้แพร่กระจายไปอย่างต่อเนื่อง. จำนวนผู้มาแสวงบุญที่เลาส์เพิ่มมากขึ้น. พระคุณและพระหรรษทานได้หลั่งประทานลงมาจากสวรรค์สู่จิตใจของประชาชน ผู้คนมาเป็นร้อยแล้วก็เป็นพันเพื่อสวดภาวนา. มีอัศจรรย์การรักษาโรคและมีคนบาปกลับใจเป็นจำนวนมากมาย. ในวันที่ 25 มีนาคม 1665, ผู้คนจำนวนมากมายไหลหลั่งมาที่โบสถ์ซึ่งครั้งหนึ่งร้างผู้คน. ในปีเดียวกันวันที่ 3 พฤษภาคม มีการเฉลิมฉลองกางเขนศักดิ์สิทธิ์. ผู้คนจาก 35 สังฆมณฑลมาร่วมพิธี. แต่ละคนเดินมาพร้อมถือป้ายบอกชื่อสังฆมณฑล การฟังแก้บาปต้องกระทำภายนอก. พระสงฆ์จากโบสถ์ใกล้เคียงมาช่วยเหลือคุณพ่อฟรังซิส, คุณพ่ออธิการของเซนต์เอเตียน, เพื่อช่วยฟังแก้บาป
 
ด้วยความรอบคอบ, ผู้ปกครองสังฆมณฑลจึงไม่ประกาศรับรองการประจักษ์ แต่อนุญาตให้ถวายมิสซาในโบสถ์ได้. จนกระทั่ง ผู้แทนพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑล, ฯพณฯ ปีแอร์ กอลลาร์ด ได้มาเยี่ยมที่นี่. ไม่นานท่านก็ได้เป็นผู้อำนวยการในการแสวงบุญ และต่อมาท่านได้เขียนประวัติศาสตร์ของที่แห่งนี้ ในปี 1665, ท่านได้วอนขอพระหรรษทานจากแม่พระและก็ได้รับ นั่นทำให้ท่านแน่ใจว่าการประจักษ์เป็นเรื่องจริง
 
อย่างไรก็ตาม ,ในเวลานั้น, เลาส์ขึ้นอยู่กับสังฆมณฑลเอมบรุน. คุณพ่อกอลลาร์ด มาจากสังฆมณฑลกัฟ จึงไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เลาส์ ท่านได้รับคำแนะนำจากพระสงฆ์หลายองค์,จึงเขียนจดหมายไปหาคุณพ่อ แอนโทนี่ แลมเบิรต์, ผู้แทนพระสังฆราชของสังฆมณฑลเอมบรุน, ขอให้ท่านส่งเรื่องไปยังฝ่ายสอบสวนของพระศาสนจักร
 
คุณพ่อแลมเบิรต์ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องการประจักษ์นัก ท่านไม่พอใจที่เห็นผู้คนละทิ้งการแสวงบุญไปยังแม่พระแห่งเอมบรุนและมาที่เลาส์แทน. ท่านเชื่อว่าการประจักษ์ต่อเบน้อตตินั้นเป็นการหลอกลวงของปีศาจ. วันที่ 14 กันยายน 1665. ท่านมาที่เลาส์พร้อมด้วยพระสงฆ์บางคนที่ติดตามมาด้วย เพื่อมายับยั้ง"การหลอกลวง" ครั้งนี้. เพื่อพิสูจน์ความผิดของเบน้อตติและปิดโบสถ์เสีย. เมื่อเบน้อตติได้ยินถึงการมาของท่าน,เธอกลัวมากและต้องการจะหนีไป. แต่แม่พระได้ให้ความมั่นใจแก่เธอ. "อย่ากลัว, ลูกรักของแม่, ลูกต้องไม่หนี. ลูกต้องอยู่ที่นี่. เพราะลูกจะทำให้เกิดความยุติธรรมต่อพระสงฆ์เหล่านั้น. พวกท่านจะถามคำถามลูกทีละข้อและจะจับผิดลูกจากคำตอบของลูก. แต่อย่ากลัวไปเลย. จงบอกผู้แทนพระสังฆราชว่า พวกท่านสามารถสั่งพระเป็นเจ้าให้ลงมาจากสวรรค์ได้ด้วยอำนาจที่ท่านได้รับจากการเป็นพระสงฆ์. แต่พวกท่านไม่สามารถออกคำสั่งพระมารดาของพระเจ้าได้"
 
เมื่อผู้แทนพระสังฆราชมาถึงเลาส์ เขาเข้าไปสวดในโบสถ์สักพักหนึ่งแล้วจึงเริ่มสอบสวนหญิงเลี้ยงแกะ. ถามคำถามเบน้อตติ พยายามวางกับดักเธอทำให้เธอจนมุม. แต่เธอคงสงบใจและตอบพวกเขาอย่างเรียบง่ายและมั่นคง. คำพูดของเธอให้ความกระจ่างแก่พวกเขาและทำให้พวกเขามั่นใจได้อย่างน่าประหลาด.
 
อย่าคิดนะว่า ที่พ่อมาที่นี่เพื่อให้การรับรองนิมิตและภาพมายาของเธอ และสิ่งแปลกๆที่ผู้คนพูดถึงตัวเธอและสถานที่แห่งนี้ด้วย. "ผูแทนพระสังฆราชพูดอย่างแข็งขัน "ฉันแน่ใจ, เหมือนคนอื่นๆที่มีสามัญสำนึก, ว่านิมิตของเธอนั่นไม่เป็นความจริง . ฉันกำลังจะปิดโบสถ์นี้และห้ามทำกิจกรรมศรัทธาทุกอย่าง. สำหรับเธอ,เธอจะต้องกลับบ้านของเธอ"
 
แม่พระทรงดลใจเบน้อตติให้พูด "ท่านเจ้าคะ, ถึงแม้ท่านจะสามารถสั่งให้พระเป็นเจ้าเสด็จจากสวรรค์ลงมายังพระแท่นในทุกเช้าเวลาประกอบพิธีมิสซาด้วยอำนาจที่ท่านได้รับเมื่อบวชเป็นพระสงฆ์. แต่ท่านไม่สามารถออกคำสั่งพระมารดาของพระองค์ได้. พระนางทรงประสงค์ที่จะมาอยู่ที่นี่"
 
ผู้แทนพระสังฆราชรู้สึกประทับใจในคำพูดนี้ จึงตอบว่า "ถ้าเช่นนั้น, ถ้าหากที่ประชาชนพูดเกี่ยวกับที่นี่ถูกต้อง, เธอจงภาวนาต่อพระนางเพื่อทำให้ฉันเห็นความจริงด้วยเครื่องหมายหรืออัศจรรย์เถอะ. แล้วฉันจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อทำให้ความปรารถนาของพระนางสำเร็จไป. แต่จงระวังให้ดี, ต้องไม่มีการหลอกลวงหรือผลลัพท์จากจินตนาการของเธอซึ่งหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ. มิฉะนั้น,ฉันจะลงโทษเธออย่างหนักที่ทำให้ผู้คนมาเชื่อตามเธอ. ฉันจะใช้อำนาจของฉันกระทืบเธอให้จมดินไปเลย"
 
เบน้อตติขอบคุณเขาด้วยความสุภาพและสัญญาว่าจะสวดภาวนาตามความต้องการ. คุณพ่อฟรังซิส,อธิการของเซนต์เอเตียน, ผู้พิพากษาฟรังซิส กริมโมค์และคุณพ่อปิแอร์ กอลลาร์ด ก็ตั้งคำถามด้วย. ผู้แทนพระสังฆราชแทนที่จะปิดโบสถ์, กลับเขียนรายงานอย่างยืดยาวเกี่ยวกับการมาทำงานของท่าน ท่านวางแผนจะกลับในเย็นวันนั้นเอง. แต่ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักจนท่านไม่สามารถเดินทางได้และต้องอยู่ต่อถึงสองวัน. แม่พระทรงยับยั้งท่านไว้เพื่อให้ท่านเป็นพยานในอัศจรรย์
 
สตรีที่เป็นที่รู้จักกันดีในบริเวญนั้นชื่อ แคทเธอรีน วีล เป็นโรคเส้นประสาทกล้ามเนื้อหดตัวที่ขาทั้งสองมานาน 6 ปีแล้ว. ขาทั้งสองโค้งงอไปด้านหลังและดูเหมือนจะงอมาจนติดกับลำตัวจนไม่สามารถแยกออกได้. แพทย์ศัลยกรรม 2 คนบอกว่ากรณีของเธอไม่สามารถรักษาได้ สตรีคนนี้ได้มาที่เลาส์พร้อมกับมารดาและทำนพวารวอนขอแม่พระ เธอน่าสงสารมากต้องหมอบอยู่ในโบสถ์ตลอดทั้งวัน. ประมาณเที่ยงคืนของวันสุดท้ายของนพวาร,เธอก็รู้สึกว่าขาทั้งสองมีการผ่อนคลายและเริ่มเดินได้. เธอหายจากโรคแล้ว
 
วันต่อมาเธอเดินเข้ามาในโบสถ์ด้วยตนเองในเวลาที่ผู้แทนพระสังฆราชกำลังทำพิธีมิสซา. การปรากฏตัวของเธอทำให้ประชาชนในโบสถ์ประหลาดใจและร้องว่า "อัศจรรย์, อัศจรรย์, แคทเธอรีน วีล หายจากโรคแล้ว" คุณพ่อแลมเบิรต์ต้องทำพิธีอย่างยากลำบาก. คุณพ่อกอลลาร์ด เขียนว่า "ข้าพเจ้าได้เป็นพยานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" แล้วผู้แทนพระสังฆราชก็ประกาศว่า "มีสิ่งเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในโบสถ์นี้. ถูกแล้ว ,พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงอยู่ ณ. ที่แห่งนี้"
 
คุณพ่อแลมเบิรต์ได้สอบถามสตรีที่หายจากโรคและทำรายงานของอัศจรรย์. แล้วท่านและทุกคนก็เข้าไปในโบสถ์สวดบทสวด เตเดอุม และบทเร้าวิงวอนต่อแม่พระ. ท่านยังได้แต่งตั้งให้พระสงฆ์สององค์มาเป็นผู้ช่วยที่เลาส์ด้วย คือคุณพ่อ ยัง เปตุย. ซึ่งเสียชีวิตอายุ 49 ปี อยู๋ที่นี่นาน 24 ปีเพื่อช่วยเหลือวิญญาณ. และคุณพ่อ ปีแอร์ กอลลาร์ด อยู่ที่นี่ 45 ปี เป็นผู้อำนวยการการแสวงบุญ. ผู้แทนสังฆราชได้อนุมัติให้มีการสร้างวิหารถวายแด่แม่พระตามที่พระนางประสงค์
 
โบสถ์เล็กๆที่เลาส์เล็กเกินไปแล้วที่จะรองรับคนที่จะมาแสวงบุญได้ จำเป็นต้องสร้างโบสถ์ใหม่ที่ใหญ่กว่า. การก่อสร้างโบสถ์และเงินทุนในการสร้างนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของ "ความมหัศจรรย์แห่งเลาส์" ด้วย
 
ถึงแม้จะไม่มีเงินทุนในการสร้างโบสถ์, คนยากจนต่างรู้สึกกระตือรือร้นอยากช่วยเหลือ เส้นทางเข้าสู่เลาส์เป็นทางที่ขรุขระยากลำบากต่อการเดินทางขนส่ง ดังนั้นการก่อสร้างก็ยากขึ้นเป็นสองเท่า ผู้คนในแถบนั้นและผู้แสวงบุญหลายคนจะนำก้อนหินจากลำธารติดตัวไปด้วย แม้แต่เด็กๆก็จะทำเช่นเดียวกัน. ทุกคนต้องการให้บางสิ่งบางอย่างที่ตนมี วัตถุสิ่งของหรือเงิน. ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะรวบรวมวัสดุก่อสร้างที่จำเป็นได้ครบ. คุณพ่อกอลลาร์ดยืนหยัดเต็มที่จนสามารถทำการก่อสร้างตามประสงค์ของแม่พระที่ได้บอกแก่เบน้อตติไว้.
 
วันที่ 7 ตุลาคม 1666 ตรงกับวันฉลองสายประคำแม่พระ, คุณพ่อกอลลาร์ดก็วางศิลาฤกษ์การก่อสร้าง และพระสงฆ์คณะโดมินิกันได้มาจากกัฟเพื่อดูแลผู้แสวงบุญ ในเวลานั้นเองที่เบน้อตติได้เข้าเป็นสมาชิกของโดมินิกันขั้นที่ 3 เธอแต่งกายด้วยเครื่องแบบของโดมินิกันขั้นที่ 3 และคนทั่วไปเรียกเธอว่า "ซิสเตอร์เบน้อตติ"
 
คูณพ่อกอลลาร์ดควบคุมการก่อสร้าง ส่วนเบน้อตติก็ให้กำลังใจแก่คนงาน เธอคอยเตรียมอาหารให้,สวดภาวนาพร้อมกับพวกเขาและพูดให้พลังใจแก่เขาในบางโอกาส และบางครั้งก็ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ. ผลของการกระทำของเธอทำให้ตลอดระยะเวลาการก่อสร้างโบสถ์นั้นไม่มีการพูดสบถและไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว. การก่อสร้างกินเวลา 4 ปี และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1670 นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า "โบสถ์แม่พระแห่งเลาส์ ถูกสร้างด้วยเสียงเพลงบทสดุดี. มือของคนยากจนได้รวบรวมวัสดุต่างๆ, เงินบริจาคช่วยทำฐานราก, พระญาณสอดส่องก่อกำแพง, และเสริมสร้างความวางใจในพระเจ้า" นักประวัติศาสตร์ยังบันทึกเรื่องของกลิ่นหอมประหลาดซึ่งขจรขจายไปในอากาศและทุกคนได้กลิ่นหอมนี้ บางครั้งกลิ่นหอมจะกระจายจากตัวโบสถ์ไปทั่วทั้งหุบเขา
 
ผู้พิพากษา ฟรังซัว กริมโมด์ เขียนว่า "ระหว่างเทศกาลอิสเตอร์ 1666, ข้าพเจ้าได้กลิ่นหอมหวนนานประมาณ 7 นาที, ข้าพเจ้าไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต และมันทำให้ข้าพเจ้าสดชื่นและมีความปิติยินดีอย่างมาก" กลิ่นหอมนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม 1690และผู้แสวงบุญก็ได้กลิ่นนี้ด้วย. และเพราะกลิ่นหอมนี้เอง,ทำให้ช่างแกะสลัก Honore Pela ได้แกะรูปสลักหินอ่อนที่สวยงามมอบให้แก่โบสถ์ เป็นรูปแม่พระทรงอุ้มพระกุมาร. กลิ่นหอมนี้ยังเกิดขึ้นเป็นบางโอกาสในปัจจุบันนี้ และเพื่อไม่ให้มีความเข้าใจผิดทางโบสถ์จึงไม่อนุญาตให้นำดอกไม้เข้าไปในบริเวณอาสนวิหาร.
 
ซิสเตอร์เบน้อตติก็ได้กลิ่นหอมนี้ "ทุกครั้งที่แม่พระเสด็จมาหาเธอ, ประชาชนจะได้กลิ่นหอมจากสวรรค์ขจรขจายไปทั่วโบสถ์ บางครั้งชุดเครื่องแบบของเธออบร่ำไปด้วยกลิ่นหอมนานถึง 8 วัน. กลิ่นหอมมหัศจรรย์นี้หอมหวานและนำความชื่นชมยินดีแก่ผู้ที่รับกลิ่นทำให้จิตใจถูกยกขึ้นสู่พระเป็นเจ้าและไม่เหมือนกลิ่นใดๆบนโลกนี้ "เมื่อเบน้อตติสิ้นสุดการพบสนทนากับแม่พระ ใบหน้าของเธอจะเปล่งปลั่งงดงามเหมือนโมเสสขณะลงมาจากภูเขาซีนาย เธอจะคุกเข่าลงและสวดบทเร้าวิงวอนแม่พระ วันนั้นทั้งวันเธอจะไม่ต้องการรับประทานอาหารเลย"
 
วันหนึ่งในฤดูหนาวปี 1665 ,แม่พระได้แนะนำเบน้อตติให้เจิมคนป่วยด้วยน้ำมันที่ได้จากตะเกียงในโบสถ์ และถ้าคนป่วยสวดภาวนาวอนขอให้แม่พระช่วยเหลือด้วยความเชื่อมั่น, พวกเขาจะได้รับการเยียวยารักษา "นั่นคือ" พระเป็นเจ้าได้ทรงมอบสถานที่แห่งนี้ให้แด่แม่พระเพื่อการกลับใจของคนบาป (ข้อความจากหนังสือของคุณพ่อ ปิแอร์ กอลลาร์ด)
 
น้ำมันได้มาจากตะเกียงที่จุดต่อหน้าศีลมหาสนิท แม่พระได้ทรงปรากฏมาด้วยความห่วงใยดุจมารดา, น้ำมันจึงเป็นเครื่องหมายสำหรับเลาส์ เหมือนที่น้ำจากน้ำพุเป็นเครื่องหมายของลูรดส์. คนป่วยจำนวนมากได้หายจากความเจ็บป่วยด้วยน้ำมันและความเชื่อของเขา. (โบสถ์ในมอนทรีออล,คานาดา ก็นำน้ำมันจากตะเกียงมาเจิมรักษาคนเจ็บป่วยด้วยเช่นกัน)
 
แม่พระได้ประจักษ์แก่เบน้อตติอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เป็นเวลานานถึง 54 ปี. พระนางทำให้เธอเป็นเครื่องมือในการช่วยคนบาปให้กลับใจ และเบน้อตติก็ซื่อสัตย์ต่อภารกิจนี้ เธอไม่เคยหยุดสวด, และยอมรับความทุกข์ทรมานแทนคนบาป.
 
การไปสารภาพบาปอาจเป็นเรื่องยากลำบากใจสำกรับคนบางคน แทนที่จะไปสารภาพบาปเพื่อได้รับการอภัยบาปจากพระสงฆ์ บางคนยอมทิ้งวัดและจมลงไปในบาปมากขึ้น. เพื่อช่วยเหลือลูกผู้เต็มไปด้วยบาปของพระนาง, แม่พระทรงประทานพระพรให้เบน้อตติสามารถอ่านจิตใจคนได้. เหมือนกับนักบุญบางองค์ เช่นคุณพ่อยอห์น มารีย์ วีอันเนย์, คุณพ่อปิโอ , คุณพ่อยอห์น บอสโก เป็นต้น
 
โดยการดลใจจากสวรรค์, เบน้อตติจะกระตุ้นคนบาปให้พิจารณามโนธรรม, เธอทำให้เขาระลึกถึงบาปที่เขาไม่รู้, เธอเปิดเผยบาปที่เขาลืมหรือปิดบัง. "เธอสามารถมองเห็นจิตใจของพวกเขาทั้งหมดในทันทีเหมือนมองดูในกระจกเงา" เธอเปิดเผยความผิดของเขา, ทำให้เขาสุภาพถ่อมตนและมั่นคงในความเชื่อ. เธอยังนำบางคนออกจากแถวที่จะไปรับศีลมหาสนิทเพราะเขาไม่อยู่ในสถานะพระหรรษทาน. บ่อยครั้งที่เบน้อตติรู้สึกเจ็บปวดที่ได้เห็นและต้องพูดบางสิ่งที่คนบางคนไม่อยากได้ยิน. แต่เธอจะปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นด้วยความเมตตาและอดทนจนคนเหล่านั้นสำนึกเป็นอย่างมากในความกรุณาของเธอ. หลังจากได้คุยกับเธอ,พวกเขาจะพยายามชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ขึ้นในทุกด้านเพื่อปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเอง เบน้อตติทำตามคำแนะนำของแม่พระด้วยความสุภาพถ่อมตนและเธฮคิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับงานศักดิ์สิทธิ์นี้เลย วันหนึ่งพระสงฆ์องค์หนึ่งถามเธอว่าเหตุใดเธอจึงทำเช่นนั้น.
 
"พระมารดาของพระเจ้าทรงสั่งให้ดิฉันทำงานนี้ด้วยความอ่อนโยนอย่างยิ่งจนดิฉันเองแทบไม่เชื่อว่าพระนางทรงประสงค์เช่นนั้นจริงๆ. และเมื่อดิฉันทำผิดพลาด, แม่พระจะทรงแก้ไขดิฉันโดยไม่ได้ตำหนิดิฉันหรือโกรธเคืองเลย. และเพราะความละอายใจในเวลาที่ดิฉันพูดตักเตือนคนอื่น. ดิฉันจะหยุดรอคำสั่งจากพระนางสักวินาที, และดิฉันจะเชื่อฟังพระนาง" เธอต้องพูดแนะนำคนบาปเท่านั้นหรือ - เธอยังต้องให้คำแนะนำพระสงฆ์ผู้ฟังสารภาพบาปด้วย.
 
สำหรับพระสงฆ์, เธอจะบอกถึงความประมาทเลินเล่อ,การขาดความสุขุมรอบคอบในการถามคำถาม,การะละเลย, ความขุ่นเคืองใจ. เธอพูดว่า "ให้ท่านอยู่ในที่ที่ของท่าน. ที่นั้นเป็นที่ทำงานเพื่อความรอดของท่าน, แต่ท่านต้องซื่อสัตย์ต่อพระพรที่ได้รับ"
 
แม่พระทรงให้กำลังใจแก่เบน้อตติเสมอในบางครั้งที่เธอท้อใจ. "จงเข้มแข็งเถิด, ลูกแม่. จงอดทน....จงทำหน้าที่ของลูกด้วยความเบิกบาน....อย่างเกลียดชังศัตรูของเลาส์....อย่าบูดบึ้งหรือทำให้ประชาชนที่มาหาลูกลำบากใจอย่าหาผลประโยชน์จากคำแนะนำ.....อย่าวิตกกังวลกับการประจญล่อลวงต่างๆ,ที่เห็นได้และเห็นไม่ได้หรือกิจการของโลก....อย่าละเลยที่จะคิดรำพึงถึงพระเป็นเจ้าเสมอ, เพราะผู้ใดก็ตามที่มีความเชื่อจะไม่กล้าทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัย"
 
เบน้อตติรักแม่พระมากและรักพระเยซูเจ้า,พระบุตรของพระนาง,มากด้วยเช่นเดียวกัน. เธอได้เลือกพระองค์เป็นเจ้าบ่าวของเธอ และเธอปรารถนาที่จะรับความทุกข์ทรมานพร้อมกับพระองค์เพื่อทำให้คนบาปกลับใจ. มีกางเขนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าของหุบเขา. เบน้อตติจะไปสวดภาวนาที่นั้นทุกวัน. แม้แต่ในวันที่หิมะหรือฝนตก. เธอคุกเข่าจ้องมองพระรูปบนกางเขน หัวใจของเธอละลายไปด้วยความรักเมื่อคิดคำนึงถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อมนุษย์. เพื่อประทานรางวัลแก่เธอ,พระเยซูเจ้าทรงประจักษ์มาในสภาพที่ทรงรับทุกข์ทรมานจริงๆ เธอเห็นพระองค์ถูกตรึงด้วยความทรมาน โลหิตไหลย้อยลงมา รอยบาดแผลที่พระหัตถ์,พระบาทและสีข้าง โลหิตแดงฉานอาบทั่วพระวรกาย
 
ด้วยความเศร้าใจ,เธอพูดว่า "โอ, พระเยซูของดิฉัน, ถ้าพระองค์ยังคงอยู่ในสภาพนี้, ดิฉันคงตายแน่" ภาพที่เห็นทำให้เธอทุกข์โศกมากจนกระทั่งวันหนึ่ง อารักขเทวดาของเธอได้มาปรากฏต่อเธอและบอกเธอว่า"อย่าเศร้าไปเลย,น้องสาวของฉัน ถึงแม้องค์พระผู้ไถ่ของเราจะปรากฏในสภาพเช่นนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงทนทุกข์ทรมานใดๆเลย. นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เธอรู้เท่านั้นว่าพระองค์ทรงรับความทุกข์ทรมานอย่างไรเพื่อความรักต่อมนุษยชาติ" แต่คำปลอบประโลมนี้ไม่ได้ทำให้เธอคลายความทุกข์โศกลง เธอยังคงรู้สึกเศร้าเสียใจ.
 
วันศุกร์ 7 กรกฏาคม 1673, พระเยซูผู้ทรงหลั่งพระโลหิตไต้ตรัสแก่เธอ "ลูกรัก, เราได้แสดงตัวเราแก่ลูกในสภาพเช่นนี้ เพื่อทำให้เธอมีส่วนร่วมในความทุกข์โศกกับเราในพระมหาทรมานของเรา" "ทุกสัปดาห์หลังจากวันนั้นเธอจะได้รับความทุกข์ทรมานบนกางเขนในตอนเย็นของวันพฤหัสบดีและเช้าวันเสาร์. เป็นเวลานานถึง 15 ปี ยกเว้นระหว่างปี 1677 - 1679 ซึ่งเป็นเวลาที่เธอต้องทำอาหารเลี้ยงคนงานที่ก่อสร้างบ้านพักพระสงฆ์
 
นอกจากได้รับความทุกข์ทางกาย, เธอยังได้รับความทุกข์ทางจิตใจ จนแทบทนไม่ไหว. เทวดาได้มาหาเธอและนำศีลมหาสนิทมาให้เธอรับ. พละกำลังที่ได้รับจากศีลมหาสนิท ปังแห่งสวรรค์ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงประทานพระองค์เองแก่มนุษย์เพื่อเป็นอาหารฝ่ายจิตใจ เบน้อตติจึงสามารถซื่อสัตย์ต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายในระหว่างที่มีความเจ็บปวดทั้งกายและใจ.
 
ศัตรูของเลาส์, ประกอบด้วยคนบางกลุ่มและพระสงฆ์บางองค์, กล่าวหาว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเป็นเรื่องของอาการเจ็บป่วยทั้งทางกายและทางจิต. เขาต่อต้านการแสวงบุญ "ผู้แสวงบุญโง่เง่าและเชื่อเด็กหญิงที่ไม่มีสามัญสำนึกคนนั้นง่ายเกินไป" สำหรับเบน้อตติ,ความเจ็บปวดที่ได้รับดึงดูดผู้คนให้ยกย่องเธอ ซึ่งขัดต่อนิสัยสุภาพถ่อมตนของเธอ ดังนั้นเธอจึงวอนขอแม่พระ "ขอให้ความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นเถิดถ้าเพระเป็นเจ้าทรงพอพระทัย, แต่อย่าให้มันปรากฏให้คนเห็นได้" แม่พระทรงปรากฏในวันเสาร์ต่อมาและตรัสว่า "ลูกจะไม่ได้รับความเจ็บปวดในวันศุกร์อีกต่อไป แต่ลูกจะได้รับความทุกข์อย่างอื่นอีกมากมายมาทดแทน"
 
เธอได้รับสิ่งอื่นอีกมากมายจริงๆ. ปีศาจโกรธแค้นเธอมากยิ่งขึ้น. เพราะมีคนบาปกลับใจเพิ่มขึ้นและมันสูญเสียวิญญาณที่จะติดตามมันไปนรก
 
บันทึกของคุณพ่อกอลลาร์ดเขียนว่า ตั้งแต่ 1664 - 1672, ความกังขามีเพียงไม่มากนัก. แต่ในอีก 20 ปีต่อมาการต่อต้านเพิ่มมากขึ้น. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พระสงฆ์, อาจเนื่องมาจากคำสอนของลัทธิเจนนิสท์. คุณพ่อแลมเบิร์ตซึ่งเป็นผู้แทนพระสังฆราชได้เสียชีวิตไป. และพระสงฆ์บางองค์ที่เป็นสมาชิกสภาคณะสงฆ์ที่ต่อต้านเหตุการณ์ที่เลาส์ได้มีอำนาจ พวกเขาทำจดหมายไปติดที่ประตูโบสถ์ที่เลาส์ห้ามการประกอบพิธีในโบสถ์. แม่พระได้สั่งเบน้อตติว่า"จงเอาจดหมายนั้นออกไป.....และให้ประกอบพิธีมิสซาเหมือนที่เคยทำ." เบน้อตติปฏิบัติตาม
 
การประจักษ์ยงคงดำเนินต่อไปใน 20 ปีต่อมา. พระสังฆราชซึ่งบัดนี้ชราและอ่อนแอได้แต่งตั้งพระสงฆ์สององค์ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเหตุการณ์ที่เลาส์มาอยู่ที่นี่ พระสงฆ์ที่มารับงานต่อเป็นผู้ที่นิยมลัทธิแจนนิสซ์ ท่านพยายามทำให้ผู้ศรัทธาหันเหไปและเบน้อตติถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน. จะอนุญาตเฉพาะวันอาทิตย์ในพิธีมิสซาเท่านั้น. พวกท่านทำให้เบน้อตติได้รับความทุกข์ยากเป็นเวลานานถึง 19 ปี. พวกท่านไม่เชื่อว่าแม่พระได้มอบหมายภารกิจให้แก่เธอ ท่านห้ามเบน้อตติพูดคุยกับผู้ที่มาแสวงบุญ ไม่ยอมให้เธอรับศีลมหาสนิท. เทศน์ตำหนิเธอต่อสาธารณะ และพยายามหยุดยั้งเธอทุกวิถีทาง
 
คุณพ่อสององค์ที่ช่วยเหลือเบน้อตติได้เสียชีวิตไปในช่วงเวลานี้ ผู้แสวงบุญถูกห้ามมาที่เลาส์ระยะหนึ่ง. แม้กระนั้นก็ไม่มีอะไรมายับยั้งผู้แสวงบุญได้. อารักขเทวดาของเบน้อตติปรากฎมาปลอบโยนเธอ บอกเธอถึงอนาคตว่า "จะมีอุปสรรคที่เลาส์นี้เสมอ จนกว่าจะมีคณะนักบวชมาตั้งอยู่ที่นี่"
 
ในปี 1712, หกปีก่อนการเสียชีวิตของเบน้อตติ, คณะอำนวยการการแสวงบุญนำโดยพระสงฆ์ที่ดีองค์หนึ่งชื่อ คุณพ่อ เปเรส การ์ดิสเทส ได้จัดตั้งคณะนักบวชที่ศรัทธาขึ้น. วันที่ 18 มีนาคม 1700,อารักขเทวดาได้บอกเบน้อตติว่า "ความศรัทธาที่เลาส์เป็นงานของพระเป็นเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดหรือปีศาจจะสามารถทำลายได้. มันจะคงอยู่จนกระทั่งสิ้นพิภพ. จะนำพระพรอันอุดมบริบูรณ์มาก,มากยิ่งขึ้นและทำให้บังเกิดผลในทุกๆที่"
 
เบน้อตติถูกปีศาจจากนรกก่อกวนบ่อยครั้งสืบเนื่องจากมีคนบาปกลับใจจำนวนมาก แต่เธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากเทวดาเช่นเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งอารักขเทวดาของเธอซึ่งมาปลอบโยนความทุกข์โศกและให้คำแนะนำตลอดเวลา. เทวดามาคอยรับใช้เธอเพราะความสุภาพถ่อมตนของเธอ ครั้งหนึ่งเธอลืมผ้าคลุมไหล่แขวนทิ้งไว้บนกิ่งไม้ คืนนั้นเธอจึงหนาวมาก เทวดาจึงนำผ้าคลุมกลับมาให้เธอ หลายครั้งเทวดาช่วยเปิดประตูโบสถ์ให้เธอและสวดสายประคำพร้อมกับเธอ เทวดายังช่วยแก้ไขความประพฤติของเธอด้วย มีผู้ให้สายประคำที่สวยงามแก่เบน้อตติสายหนึ่ง และเธอชอบมันมากเกินไป เทวดาจึงนำสายประคำนั้นไปจากเธอหลายวันก่อนที่จะคืนให้แก่เธอ
 
เบน้อตติซื่อสัตย์ ต่อกระแสเรียกภารกิจที่แม่พระมอบให้เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อแม่พระหยุดการประจักษ์เพื่อชำระล้างเธอให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ปีศาจได้มาและพูดกับเธอว่า "พระนางละทิ้งเจ้าไปแล้ว.....เจ้าไม่มีที่พึ่งอีกแล้วนอกจากข้า" เบน้อตติตอบว่า "ฉันตายเป็นพันครั้งก็ได้ถ้าแม่พระทรงละทิ้งฉัน. แต่ฉันจะไม่ละทิ้งพระนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว"
 
บัดนี้โรคร้ายได้รุมเร้าเธอ และสำหรับเธอแล้ว,กลางคืนยาวนานเหมือนเป็นปี เธอต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานหนึ่งเดือนก่อนที่เธอจะสิ้นใจ. ในวันคริสต์มาสปี 1718 หลังจากได้ขออภัยต่อทุกคนที่อยู่ที่นั่นสำหรับตัวอย่างไม่ดีที่เธออาจกระทำในชีวิต เธอขอรับศีลมหาสนิทเป็นครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นแม่พระก็ทรงประจักษ์มาและกลิ่นหอมก็ขจรขจายไปทั่วบริเวณ
 
คุณพ่อ เปเรส สวดวอนขอการรักษาให้แก่เธอ "ขออีกสองปีเถิด พระเจ้าข้า" แต่ในวันที่ 28 ธันวาคม เบน้อตติขอรับศีลสำหรับผู้ใกล้ตาย ไม่มีความเจ็บปวด เธอมีความสุขมาก
 
คุณพ่อโรเยเร ขอให้เธออวยพรให้ท่าน ตอนแรก,ด้วยความถ่อมตนเบน้อตติปฏิเสธ แต่แล้วความสุภาพของเธอก็ยอมทำตาม "แม่พระเองทรงเป็นผู้อวยพรท่าน" และเธอยกแขนขึ้นอวยพร "ดิฉันขออวยพรคุณพ่อด้วยความเต็มใจ"
 
เธอบอกลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย
 
เบน้อตติสิ้นใจอายุ 71 ปี เธอได้รับการประกาศเป็นผู้ควรเคารพในปี 1871 และเป็นบุญราศีปี 1984 โบสถ์ที่เลาส์ได้รับการยกฐานะเป็นอาสนวิหารน้อยในปี 1893
 
ที่เลาส์ไม่มีกิจกรรมทางการค้าเหมือนกับที่แสวงบุญแห่งอื่น. เลาส์ถูกประทานมาโดยพระมารดา. ทุกๆคนที่มาที่นี่สามารถสัมผัสได้. ไม่มีร้านจำหน่ายของที่ระลึกอยู่ใกล้ๆกับอาสนวิหาร. ร้านค้าแห่งเดียวที่มีคือภัตตราคารเล็กๆซึ่งเป็นของสตรีใจศรัทธาคนหนึ่ง. ผู้ที่มาที่เลาส์ยอมรับในเรื่องหนึ่งคือ พวกเขาพบกันสันติสุขที่เลาส์และพวกเขาปรารถนาที่จะกลับมาสถานที่น่าพิศวงนี้อีกครั้ง
 
แม่พระแห่งเลาส์, ที่หลบภัยของคนบาป ทรงผินพระพักตร์มองมายังมนุษยชาติบนโลกนี้ด้วยความเมตตากรุณาและเปี่ยมด้วยความรักเยี่ยงมารดา โดยเฉพาะลูกที่เป็นคนบาป. โปรดทำให้พวกเรากลับใจหันมาหาความรักของพระแม่และองค์พระบุตรของพระแม่ด้วยเทอญ

***************************************************


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น