วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2563

แม่พระแห่งซิวิตาเคคเคีย



Our Lady of Civitavecchia
 
จากที่ได้นำเสนอเรื่องราวรูปปั้นแม่พระหลั่งน้ำตาเป็นเลือดในเมืองซิวิตาเวคเคีย(Civitavecchia), ของอิตาลีไปแล้ว ยังมีรายละเอียดที่น่าประหลาดใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ซึ่งน่านำมาพิจารณา
 
1. เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ ในเดือนกันยายน 1994 คุณพ่อ พาโบล มาร์ติน(Fr Pablo Martin)จากโบสถ์ St Agostino ใน Pantano ได้เดินทางไปแสวงบุญที่เมดจูกอเรจ์ ด้วยความตั้งใจที่จะนำรูปปั้นพระแม่มารีย์กลับคืนมาให้กับครอบครัวเกรโกรี่(Gregori) ขณะอยู่ที่เมดจูกอเรจ์ คุณพ่อพาโบลบอกว่า ท่านได้รับคำแนะนำจากนักบุญคุณพ่อปีโอ(เสียชีวิตในปี 1968) ให้ซื้อรูปปั้นแม่พระรูปหนึ่งเป็นการเฉพาะ และคุณพ่อปีโอยังบอกอีกว่า "เหตุการณ์ที่สวยงามที่สุดในชีวิตของท่าน" จะเป็นผลมาจากการตัดสินใจซื้อรูปปั้นแม่พระครั้งนี้ (คุณพ่อพาโบลอาจเห็นนิมิตของคุณพ่อปีโอ)
 
2. ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน, ลูกสาววิญญาณของคุณพ่อกาเบรียล เอม็อท(Fr Gabriel Amorth) พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจแห่งกรุงโรม, เธอได้แจ้งให้คุณพ่อทราบว่า "แม่พระจะร้องไห้ในซิวิตาเวคเคีย Civitavecchia" และจะ "ไม่ใช่ลางดีสำหรับอิตาลี" พระสังฆราชแห่งซิวิตาเวคเคียในขณะนั้นคือมองซิเยอร์จิโรลาโม กริลโล(Monsignor Girolamo Grillo) เล่าไว้ในสมุดบันทึกของท่านว่า คุณพ่อเอม็อทได้โทรศัพท์มาหาท่านเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 1995 และแจ้งข้อมูลนี้แก่ท่าน แต่ท่านไม่เชื่อ
 
3. รูปปั้นแม่พระหลั่งน้ำตา ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1995 เวลา 16:20 น. เจสสิก้า เกรกอรีวัย 5 ขวบได้เห็นน้ำตาเลือดไหลจากตาซ้ายลงมาที่หัวใจของรูปปั้นพระแม่มารีย์ซึ่งตั้งอยู่ในถ้ำในสวนหน้าบ้าน พ่อของเธอ,ฟาบิโอ, ก็มาถึงที่เกิดเหตุในไม่ช้าเนื่องจากครอบครัวกำลังจะออกเดินทางไปร่วมพิธีมิสซาและได้เห็นปรากฏการณ์นี้ ในวันต่อมา, ปรากฏการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นต่อหน้าพยานคนอื่นๆ แต่พระสังฆราชกริลโล, เมื่อทราบข่าวก็ยังคงไม่เชื่อ รูปปั้นแม่พระได้ร้องไห้อีก 13 ครั้งก่อนที่พระสังฆราชจะเปลี่ยนความคิดของท่าน ต่อมารูปปั้นแม่พระถูกนำมาไว้ที่บ้านพักพระสังฆราช วันที่ 15 มีนาคมเวลา 08:15 น. หลังพิธีมิสซาที่บ้านพักพระสังฆราช, กราเซียน้องสาวของพระสังฆราชแสดงความปรารถนาที่จะสวดภาวนาต่อหน้ารูปปั้นตามคำแนะนำของคุณพ่อเอม็อท พระสังฆราชกริลโลอนุญาตตามคำขอ ท่านพร้อมกับคนอื่นๆ อีกหลายคนซึ่งอยู่ที่นั่นเริ่มสวดบท Salve Regina เมื่อพวกเขาสวดถึงคำว่า “โปรดเถิดพระแม่ ผู้ทรงช่วยเหลือเกื้อกูลลูก โปรดทอดพระเนตรเมตตามายังลูก” รูปปั้นแม่พระก็เริ่มร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดเป็นครั้งที่ 14 และคราวนี้รูปปั้นอยู่ในมือของพระสังฆราชเอง
 
4. ต่อมา, คุณพ่อเอม็อทบอกว่าลูกสาววิญญาณของท่านได้แจ้งแก่ท่านในช่วงฤดูร้อนปี 1994 ถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ที่จะเกิดในอนาคต และยังได้เตือนท่านด้วยว่าหากไม่สวดภาวนาและทำการชดเชยใช้โทษบาปมากๆแล้ว, อิตาลีจะต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองและการนองเลือดที่เลวร้าย เพราะอันตรายที่อาจจะเกิดนี้, วิญญาณผู้เปี่ยมด้วยความรัก(ลูกสาววิญญาณของคุณพ่อเอม็อท)จึงเสนอตัวเธอเองเพื่อชดใช้บาปของอิตาลีและไม่นานต่อมาเธอก็ป่วยหนัก ในขณะเดียวกันพระสังฆราชกริลโลซึ่งทราบเรื่องนี้จากคุณพ่อเอม็อทก็ขอให้บรรดานักบวชในคอนแวนต์และอารามทุกแห่งในสังฆมณฑลของท่านสวดอธิษฐานภาวนาอย่างสุดจิตใจเพื่อประเทศอิตาลี
 
5. ขณะนี้พระสังฆราชเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมแล้วถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังฆมณฑลของท่าน ท่านจึงนำรูปปั้นไปยังกรุงโรมเพื่อให้ทีมแพทย์สองทีมแยกกันวิเคราะห์น้ำตา ทีมแพทย์ทั้งสองได้ส่งรายงานกลับมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่ตรงกัน นั่นคือเลือดเป็นของผู้ชายในวัยสามสิบกลางๆ, แต่ก็เผยให้เห็นลักษณะของผู้หญิงที่เข้มแข็ง, และมีเรื่องที่น่าแปลกใจอีกอย่างหนึ่ง, ศาสตราจารย์ Umani Ronchi หัวหน้าแพทย์ด้านยาที่ถูกกฎหมายของมหาวิทยาลัย Sapienza ได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่ามีแสงเหนือธรรมชาติออกมาจากรูปปั้นในระหว่างการทดสอบ มีการสแกน CAT ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานหลายแห่งภายใต้การตรวจสอบของพระศาสนจักรคาทอลิกยังพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอุปกรณ์หรือกลไกใดๆที่ซ่อนอยู่ภายในรูปปั้นที่อาจทำให้เกิดเลือดไหลได้ สำหรับผู้ที่มีความเชื่อในเหตุการณ์อัศจรรย์ – ซึ่งก็รวมถึงพระสังฆราชด้วย – ต่างเชื่อว่าพระโลหิตเป็นของพระเยซูคริสต์, และคุณลักษณะของสตรีที่เข้มแข็งนั้นอธิบายได้ว่า เพราะพระเยซูไม่มีพระบิดาบนแผ่นดินโลก, ดังนั้นทุกสิ่งจึงได้มาจากพระมารดามารีย์ของพระองค์
 
6. การโต้เถียงเกี่ยวกับความเป็นจริงในเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่สำนักงานทนายความของรัฐใช้อำนาจมายึดรูปปั้นดังกล่าวไปเพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติม, ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลและไม่พอใจในหมู่ประชาชนและผู้ศรัทธา ณ จุดนี้, วาติกันเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมและแสดงการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมสำหรับครอบครัวเกรกอรี ในวันที่ 10 เมษายน 1995, พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ส่งพระคาร์ดินัล Andrej Maria Deskur (พระคาร์ดินัลผู้ถวายความทุกข์ทรมานจากโรคเส้นเลือดของท่านเพื่อพระสันตปาปาในช่วงต้นรัชสมัยของพระองค์)มาเยี่ยมครอบครัวเกรกอรีเพื่อมอบรูปปั้นแม่พระในแบบเดียวกันและสร้างโดยช่างคนเดียวกันให้กับครอบครัวนี้, เป็นของขวัญส่วนตัวจากพระสันตปาปา ในไม่ช้า, รูปปั้นรูปที่สองก็เริ่มหลั่งน้ำมันหอมในระหว่างพิธีกรรมของวันครบรอบการหลั่งน้ำตาครั้งแรก และยังเกิดขึ้นอีกหลายครั้งต่อหน้าผู้แสวงบุญที่มาสวดภาวนาวอนขอความช่วยเหลือจากพระแม่มารีย์แห่งซิวิตาเวกเคีย รูปปั้นยังร้องไห้เป็นน้ำตาของมนุษย์ในวันที่ 2 เมษายน 2005 ซึ่งเป็นวันที่นักบุญยอห์นปอลที่ 2 จากโลกนี้ไปสู่สวรรค์ และหลั่งน้ำตาในวันที่ 31 มีนาคม 2006 พระสังฆราชกริลโลได้เห็นการร้องไห้นี้และท่านได้ให้การเป็นพยานต่อสาธารณะ
 
7. การประจักษ์ เหตุการณ์อันเหลือเชื่อดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 1995 และเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกจากสวรรค์ให้มนุษย์สำนึกผิดกลับใจ ไม่กี่เดือนต่อมา, ฟาบิโอ, อันนามาเรียภรรยาของเขา, เจสสิก้าและดาวิเดลูกชายของพวกเขา, เริ่มรับรู้ถึงกับการปรากฏมาของพระแม่มารีย์และพระเยซูเจ้า มันเริ่มต้นในวันที่ 2 กรกฎาคมและสิ้นสุดในวันที่ 17 พฤษภาคม 1996 มีสาส์น 93 สาส์นที่มอบต่อสาธารณะ แต่ก่อนหน้านั้น, อันนามาเรียได้รับการเปิดเผยในรูปแบบของความฝัน เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระแม่มารีย์ทรงประสงค์ดึงดูดความสนใจไปที่ความสำคัญของครอบครัวคริสตชน โดยพระแม่ทรงค่อยๆให้สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลึกลับเหล่านี้ อย่างไรก็ตามเมื่อข่าวไปถึงพระสังฆราชกริลโลเกี่ยวกับการประจักษ์, นิสัยขี้สงสัยแต่ดั้งเดิมของท่านก็กลับมาอีก ท่านสอบปากคำเจสสิก้าในเดือนกันยายน 1995 โดยกล่าวหาว่าเธอโกหก แต่เด็กสาวยืนหยัดมั่นคง ในการพบกับพระสังฆราชครั้งที่สองเธอแจ้งแก่ท่านว่าพระแม่มารีย์บอกกับเธอว่า "ท่านมีหัวใจที่แข็งเป็นหิน" เมื่อมาถึงจุดนี้พระสังฆราชได้ทดสอบเจสสิก้า ท่านบอกให้เจสสิก้าบอกข้อเท็จจริงส่วนตัวของท่านเองซึ่งมีเพียงท่านเท่านั้นที่รู้ เจสสิก้าได้กลับมา, และไม่ได้บอกเรื่องส่วนตัวของพระสังฆราชเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแต่บอกหลายเรื่องทีเดียว ทั้งยังให้รายละเอียดที่น่าอัศจรรย์และเป็นความจริงด้วย พระสังฆราชถึงกับล้มป่วย แต่นับจากนั้นความสงสัยทั้งหมดของท่านก็หายไปและท่านให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อแผนการของพระแม่มารีย์สำหรับซิวิตาเวคเคียและครอบครัวเกรกอรี่ นอกจากนี้, พระสังฆราชยังได้รับความลับจากแม่พระซึ่งให้รายละเอียดเหตุการณ์ชีวิตของท่านในอนาคตด้วย และไม่นานก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตในปี 2016 ท่านได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่าเนื้อหาของความลับทั้งหมดได้เกิดขึ้นจริง
 
8. สิ่งที่สวยงามที่สุดของการประจักษ์คือความอ่อนโยนและความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์ ตัวอย่างเช่นเมื่อพระแม่มารีย์ปรากฏมา, พระนางจะขอโทษที่ทำให้ครอบครัวต้องเสียสละเวลาของพวกเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งดาวิเด(Davide)ได้รับการกอดจากแม่พระ และเขาดึงผ้ารัดเอวของแม่พระเล่นด้วย ฟาบิโอกล่าวว่าตอนแรกเขาแทบไม่เชื่อในการที่พระแม่มารีย์ทรงประจักษ์แก่เจสสิก้าและดาวิเด แต่ตัวเขาเองก็ได้พบแม่พระด้วยเช่นกัน:“แม่พระทรงมอบของขวัญด้วยการจูบที่หน้าผากของผม ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นและการสัมผัสนั้น” เจสสิก้าและอันนามาเรียต่างสนทนากับพระเยซูเจ้าในโบสถ์ พระเยซูเจ้าเสด็จออกมาจากรูปพระเมตตาพระองค์ทรงเดินไปที่อันนามาเรียและจับมือเธอไว้ แม้ว่าสาส์นต่อสาธารณะจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม 1996 แต่การประจักษ์ก็ยังคงดำเนินต่อไปเป็นการส่วนตัว มานูเอลลูกชายคนสุดท้องซึ่งเกิดในปี 2002 ได้เห็นพระแม่มารีย์ตอนที่เขาอายุ 7 ขวบ, เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวต้องประสบความทุกข์เป็นพิเศษ และเมื่อไม่นานมานี้,ในเดือนธันวาคม 2018 พระแม่มารีย์ได้ประจักษ์ต่อฟาบิโอและอันนามาเรียระหว่างพิธีมิสซา, ส่วนเจสสิก้าก็ยังได้รับการประจักษ์จากแม่พระตลอดปีนั้น
 
9. เกี่ยวกับสาส์น ถ้าหากเราอ่านข้อความในสาส์นเหล่านั้น, เราก็จะเข้าใจเหตุผลที่น้ำตาได้หลั่งออกมาเป็นเลือด สาส์นได้บอกในเชิงของคำพยากรณ์เกี่ยวกับอันตรายที่กำลังเกิดขึ้นกับพระศาสนจักรและกับมนุษยชาติ นั่นคือการละทิ้งความเชื่อที่ถูกต้องแท้จริง, การโจมตีของซาตานต่อครอบครัว, อันตรายของการที่อาจจะเกิดสงครามโลกครั้งที่3, ความสำคัญของการถวายตัวเราและครอบครัวแด่ดวงหทัยนิรมาลของพระแม่มารีย์ และข้อความเกี่ยวกับความลับข้อที่สามแห่งฟาติมาที่จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อสิ้นสหัสวรรษที่สอง อย่างไรก็ตามพระแม่มารีย์ยังกล่าวถึงชัยชนะครั้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงเหนือความชั่วร้ายพร้อมกับการกลับมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้า
 
10. ในด้านที่เกี่ยวกับ “การละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่” (great apostasy) คือการละทิ้งความเชื่อที่ถูกต้องแท้จริงตามที่พระแม่มารีย์ได้อธิบายไว้, สาส์นคำเตือนได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ลูกทั้งหลาย, พระศาสนจักรได้เข้าสู่ช่วงการทดลองครั้งใหญ่แล้ว, และความเชื่อของพวกลูกหลายคนจะไม่มั่นคง” ในอีกโอกาสหนึ่งแม่พระตรัสว่า “ซาตานกำลังเข้ายึดครองมนุษยชาติทั้งมวล, และตอนนี้มันพยายามทำลายพระศาสนจักรของพระเจ้าโดยอาศัยพระสงฆ์หลายคน อย่าไปยอม! จงช่วยพระบิดาศักดิ์สิทธิ์ด้วย!” …“ในกรุงโรม, ความมืดอย่างยิ่งได้แผ่ปกคลุมยิ่งทียิ่งมากขึ้นเหนือศิลาที่พระเยซู,พระบุตรของแม่ได้วางลูกไว้เพื่อก่อสร้าง, ให้ความรู้, และเลี้ยงดูบรรดาลูกวิญญาณทั้งหลายของพระองค์”
 
คำเตือนเรื่องการละทิ้งความเชื่อนี้, ยังพบได้ในพระสมณสาส์นของพระสันตปาปายอห์นปอลที่ 2 พระองค์กล่าวถึง “การละทิ้งความเชื่ออย่างเงียบๆ” ในสมณสาส์นแพร่ธรรมของพระองค์-(การแพร่ธรรมในยุโป) ส่วนพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เองก็ทรงตระหนักในเรื่องนี้ตามที่นักบุญเปาโลได้เขียนถึงทิโมธีเกี่ยวกับ “ถึงเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะไม่ต้องการฟังคำสอนที่ถูกต้อง แต่จะแสวงหาครูจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สอนสิ่งที่ตนอยากฟัง พวกเขาจะไม่ยอมฟังความจริง แต่จะเปลี่ยนไปฟังเทพนิยาย” (2 ทิโมธี: 4: 3) และในสมัยของเราเอง, พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเตือนหลายครั้งถึงอันตรายที่เกิดจากโลกฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็น “การประจญล่อลวงที่โหดเหี้ยมที่สุดที่คุกคามพระศาสนจักร”
 
พระแม่มารีย์ทรงวอนขอให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระศาสนจักร ทรงขอให้พระสงฆ์และพระสังฆราชทุกท่านนบนอบเชื่อฟังพระสันตปาปา - “ความเข้มแข็งของพระองค์ [พระสันตะปาปา] ยืนยันว่าความจริงแห่งการแพร่ธรรมนั้นมีอยู่ในพระศาสนจักรของพระเยซูเท่านั้นที่ทรงมอบให้กับพระสันตะปาปาและบรรดาพระสังฆราชทั้งหมดที่เป็นหนึ่งเดียวกันในความนบนอบเชื่อฟังพระสันตปาปา” นอกจากนี้พระสังฆราชทั้งหมดยังได้รับการขอร้องให้ “กลับมาสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่เต็มไปด้วยความเชื่อและความถ่อมตนอย่างแท้จริง”
 
สาส์นคำทำนายส่วนใหญ่มีความเชื่อมโยงกันระหว่างสาส์นซิวิตาเวคเคียและสาส์นแห่งฟาติมา: 1) พระแม่มารีย์ตรัสถึงฟาติมาเป็นพิเศษ “ลูกทั้งหลายของแม่, ความมืดของซาตานกำลังปกครลุมบดบังโลกทั้งหมดในเวลานี้ และมันได้บดบังพระศาสนจักรของพระเจ้าด้วย จงเตรียมที่จะดำเนินชีวิตตามที่แม่ได้เปิดเผยกับลูกสาวน้อยๆของแม่ที่ฟาติมาเถิด” 2) พระแม่มารีย์เปิดเผยความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมาแก่เจสสิก้าเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1995 และเจสสิก้าได้ไปเยี่ยมซิสเตอร์ลูซีอาแห่งฟาติมาในปี 1996 และทั้งสองได้พูดคุยเกี่ยวกับความลับนี้
 
ดูเหมือนจะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งที่เชื่อมโยงฟาติมาและซิวิตาเวกเคียจากมุมมองทางประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์ และความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา แต่ทั้งหมดนี้มาบรรจบกันที่จุดเดียวนั่นคือความทุกข์ทรมานของพระสันตปาปาและพระศาสนจักร ฟาติมาประกาศถึงความทุกข์ทรมานที่จะเกิดขึ้นเมื่อตอนต้นศตวรรษ ในขณะที่ซิวิตาเวกเคีย, ที่อยู่ในตอนท้ายของศตวรรษนี้, ได้แจ้งต่อเราว่า, ตอนนี้เราได้เข้าสู่ช่วงเวลาที่มีการบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว, ปีแห่ง“ชัยชนะแห่งดวงหทัยนิรมลของแม่พระกำลังใกล้เข้ามาแล้ว”
 
ในแง่ภูมิศาสตร์, เรามองเห็นว่าซิวิตาเวกเคียอยู่ดิดกับกรุงโรม มันบอกเราว่าตอนนี้สงครามฝ่ายวิญญาณได้เข้าสู่จุดวิกฤตแล้ว มันได้มาถึงประตูของพระศาสนจักรของพระเจ้าแล้ว และพระแม่มารีย์ทรงกำลังทอดพระเนตรชีวิตและพันธกิจของพระสันตปาปา ทรงเห็นถึงอันตรายที่คุกคามพระองค์และคุกคามพันธกิจของพระองค์ในการปกป้องฝูงแกะจากหมาป่าทั้งภายในและภายนอก
 
จากมุมมองสาส์นความลับข้อที่ 3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เจสสิก้าในวัยหกขวบได้รับรู้สาส์นความลับนี้, นั่นเป็นเวลาห้าปีก่อนที่ทางวาติกันจะเปิดเผยข้อความในสาส์นความลับในปี 2000 เราไม่ทราบว่าเจสสิก้าได้รับการตีความนิมิตของสาส์นอย่างถูกต้องหรือไม่ แต่คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำไมเธอจึงได้รับการบอกถึงสาส์นความลับนี้ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม,ซิวิตาเวกเคีย จะชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงสองประการจากสาส์นความลับ คือ: 1) ภาพนิมิตของเมืองที่ถูกทำลายและพระสันตะปาปาทรงสวดภาวนาให้คนตาย นั่นแสดงถึงการลงโทษต่อมนุษยชาติโดยรวม 2) การเป็นมรณะสักขีของพระสันตะปาปา, พระสังฆราช,พระสงฆ์, นักบวชและฆราวาสเหล่านั้นเบื้องหน้าไม้กางเขนที่อยู่บนยอดเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นหมายถึงการเบียดเบียนข่มเหงต่อพระศาสนจักรสากล เป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการทดลองครั้งสุดท้ายก่อนการเสด็จมาครั้งที่2 ของพระเยซูเจ้า (CCC 675) น้ำตาเลือดที่หลั่งจากรูปปั้นแม่พระของครอบครัวเกรกอรีก็แสดงให้เห็นถึงแง่มุมนี้ น้ำตาเลือดเป็นตัวแทนของความทุกข์ทรมานที่จะเกิดจากความล้มเหลวของมนุษยชาติในการกลับใจ พระแม่มารีย์ทรงร้องไห้เพื่อบรรดาลูกทุกคน แต่พระนางทรงเป็นตัวแทนของพระศาสนจักร พระนางทรงเป็นต้นแบบของพระศาสนจักรในด้านความทุกข์ทรมานและความสมบูรณ์ดีพร้อมทุกประการ ในความทุกข์ทรมาน, พระนางทรงบอกเราว่าพระนางจะทรงอยู่ข้างกางเขนอีกครั้งเมื่อพระศาสนจักรประสบกับความทุกข์ทรมานในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร
 
การประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมาเป็นสัญญาณแห่งชัยชนะ ไม่ใช่ชัยชนะทางโลก แต่เป็นชัยชนะขั้นสุดท้ายต่อซาตาน นั่นคือเหตุผลที่ในซิวิตาเวคเคีย เช่นเดียวกับในซานนิโคลัส, อาร์เจนตินาและกีเบโฮ, ราวันดา พระมารดามารีย์และพระบุตรทรงประกาศสาส์นแห่งความยินดีอันยิ่งใหญ่
 
พระเยซูเจ้าตรัสกับฟาบิโอว่า “เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่เราโปรดปราน เราจะส่งทูตสวรรค์มาหาเธอเพื่อแสดงถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า เป็นบุญของผู้ที่เชื่อและเทศน์สอนถ้อยคำพยากรณ์ของพระศาสนจักรของพระเจ้า, พระบิดาของเรา, โดยอาศัยพระมารดาสวรรค์ของเรา, พระนางได้เตรียมหนทางให้เราด้วยการเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือเบื้องพระพักตร์พระเจ้า, พระบิดา จงอย่าละเลยศีลศักดิ์สิทธิ์, ศีลอภัยบาป, การสวดภาวนา, การอดอาหาร, และการรับพระกายพระคริสต์ในพิธีมิสซา เพราะการกลับมาของเราจะมาถึงในเร็วๆนี้”
 
ในอีกโอกาสหนึ่งพระแม่มารีย์ตรัสว่า “จงเปิดหัวใจและอ้าแขนของลูกเหมือนเช่นที่ลูกโอบกอดลูกชายของลูก, เพื่อที่ลูกพร้อมที่จะโอบกอดพระคริสต์ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เพราะเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของพระองค์กำลังจะมาถึง จงสวดกาวนาและอย่าอ่อนล้าในการสวดภาวนา ลูกสุดที่รักทั้งหลายของแม่, จงรักกันและกัน, เพราะความรักในพระคริสต์, องค์พระบุตรของแม่, เป็นกุญแจสำคัญของลูกที่จะเข้าไปสู่ประตูเล็กๆที่นำไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า”

************************


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น