วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คำทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตของโลก



ระยะนี้มีบทความของหลายคนที่เขียนเกี่ยวกับคำทำนายเรื่องสามวันแห่งความมืดมิด(โลกมืดสามวัน) แต่เราต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของการพูดเกินจริงและความตื่นกลัวจนเกินไป โดยเฉพาะในข้อความบางอย่างที่อาจผิดต่อคำสอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการไตร่ตรองเพื่อความถูกต้อง
 
พระศาสนจักรคาทอลิกสอนอย่างไรเกี่ยวกับคำทำนาย?
 
เพื่อความกระจ่างของเรา ขออ้างอิงสารานุกรมคาทอลิกเป็นแนวทางในการอธิบายในเรื่องนี้ ข้อความต่อไปนี้ได้มาจากเว็ปไซต์นิวแอดเวนท์
 
1. คำอธิบายทางเทวศาสตร์เกี่ยวกับการเปิดเผยลึกลับ ถูกนำมาใช้กับเรื่องของการทำนายที่ปรากฏในพระคัมภีร์และการทำนายของบุคคลบางคนซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคล
 
2. ต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า คำทำนายนั้นหมายถึงการรู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ในอนาคต บางครั้งมันอาจใช้กับเหตุการณ์ในอดีตซึ่งไม่ได้มีการบันทึกไว้ หรือเหตุการณ์ในปัจจุบันซึ่งเป็นเรื่องที่มีการปกปิด ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เราไม่สามารถรู้ได้ด้วยวิธีการปกติตามธรรมชาติ
 
3. นักบุญเปาโลได้พูดถึงเรื่องการทำนายใน จดหมายถึงชาวโครินทร์ฉบับที่ 1 ข้อ 14 “พี่น้องทั้งหลาย จงปรารถนาที่จะประกาศพระวาจา อย่าห้ามการพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่จงทำเช่นนี้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ” (เทียบ "Wherefore, brethren, covet to prophesy, and forbid not to speak with tongues" KJV )
 
4. การเผยแสดงให้ทราบถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นในปัจจุบันหรือเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เราต้องทำความเข้าใจในการทำนายนั้นว่ามีความหมายจำเพาะอย่างไร อย่างเช่นการเผยแสดงให้ทราบถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
 
5. ความรู้นั้นต้องเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติและมาจากพระเป็นเจ้าเท่านั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวช้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติของพระปรีชาญาณ และต้องเผยแสดงออกมาด้วยคำพูดหรือเครื่องหมาย เพราะพระพรแห่งการทำนายถูกประทานมาเพื่อประโยชน์ในความดีของผู้อื่น จึงจำเป็นต้องเปิดเผยให้ทราบ
 
6. การทำนายเป็นแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่เกี่ยวกับอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ สิ่งเหล่านี้ถูกแสดงให้ประกาศกรับรู้ในจิตใจของเขา เพราะท่านมีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยให้คนอื่นได้ทราบ
 
7.   การทำนายเป็นการเตือนจากพระเจ้า อาจเกิดขึ้นหรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะฟังการเตือนหรือไม่? มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นหรือไม่? ดังเช่นเรื่องของประกาศกโยนาห์ที่เตือนชาวนินิเวห์ว่าอีก 40 วันเมืองของพวกเขาจะถูกทำลาย เมื่อชาวเมืองได้ฟังก็สำนึกในความผิดกลับใจใช้โทษบาป เมื่อพระเจ้าทรงเห็นเช่นนี้ก็ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทำลายเมืองของพวกเขา
 
แต่ละคนต้องมีความรอบคอบ
 
พระศาสนจักรมีความเห็นว่าการทำนายเป็นการดลใจอันศักดิ์สิทธิ์และจะมีอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ถึงแม้จิตแห่งการทำนายจะมีมาอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดศตวรรษที่ผ่านมา พระศาสนจักรก็มิได้ส่งเสริมให้มีการทำนายใดๆ แม้ว่าพระศาสนจักรจะได้สถาปนานักบุญจำนวนมากซึ่งได้รับพระพรแห่งการทำนาย
 
พระศาสนจักรมีความรอบคอบที่จะให้อิสระในการกระทำต่อทุกคน และมิได้ยอมรับหรือปฏิเสธการทำนายที่เป็นส่วนบุคคล ท่าทีของศาสนิกชนคาทอลิกควรมีความรอบคอบและมีความสมดุลเสมอ ด้วยการระมัดระวังในการแสดงการยอมรับหรือปฏิเสธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาจากแหล่งซึ่งน่าเชื่อถือและมิได้ขัดต่อศีลธรรมและคำสอนทางความเชื่อของคาทอลิก
 
มีมาตรการอย่างไร?
 
ความถูกต้องในความเป็นจริงของคำทำนายจะต้องถูกทดสอบและตัดสิน ลักษณะของการทำนายเหล่านี้ครอบคลุมขอบเขตที่กว้าง ตั้งแต่เรื่องของพระญาณเอื้ออาทร ไปจนถึงเหตุการณ์ในชีวิตของนักบุญ ชะตากรรมของประชาชาติ พระสันตะปาปาและสถานะของพระองค์ และการทำนายถึงความหายนะของโลกซึ่งนำไปสู่อวสานของโลก ทั้งหมดนี้บางครั้งเป็นการทำนายเพียงบางส่วนและอาจเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามก็ได้ อันเนื่องมาจากเงื่อนไขบางอย่างในคำทำนายนั้น เหตุการณ์อาจเกิดขึ้นตามคำทำนายหรือไม่เกิดก็ได้
 
คำทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตของโลก
 
คำทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตของโลกมีลักษณะที่โดดเด่นกว่าแบบอื่น เพราะมักจะกล่าวถึงการทำลายล้างโลกอย่างน่าหวาดกลัวอันมีสาเหตุจากการไม่ยอมสำนึกผิดกลับใจของมนุษยชาติ การปฏิรูปของพระศาสนจักร และการกลับใจของโลก อี.เอช. ทอมสัน ได้กล่าวในหนังสือ “ชีวประวัติของอันนา มาเรีย ไทจิ”(บทที่ 18 ) ว่า การเผยแสดงของเธอจะมีสาระดังนี้ “ข้อแรก คำทำนายกล่าวว่าจะเกิดความไม่สงบและความชุลมุนวุ่นวาย การปฏิวัติจะเกิดขึ้นจากรากเง่าของการที่ผู้คนขาดความศรัทธาในพระเป็นเจ้า อันประกอบด้วยการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้าและความจริงของพระองค์ เป็นผลทำให้เกิดการเบียดเบียนอย่างโหดเหี้ยมอย่างที่พระศาสนจักรไม่เคยได้รับมาก่อน ประการที่สอง คำทำนายกล่าวถึงชัยชนะของพระศาสนจักรและพระศาสนจักรจะรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน
 
คำทำนายที่ฟาติมาก็สอดคล้องอย่างเหมาะเจาะกับเรื่องดังกล่าว เมื่อแม่พระตรัสถึงการลงทัณฑ์ถ้าหากมนุษย์ไม่ยอมสำนึกผิดและแก้ไขชีวิตของตนเอง แต่พระนางก็ทรงประทานความหวังโดยตรัสสัญญาว่าในที่สุดดวงหทัยนิรมลของพระนางจะได้รับชัยชนะ
 
สามวันแห่งความมืดมิด
 
ในพระคัมภีร์เราได้พบข้ออ้างอิงถึงวันที่เกิดความมืดมิดในโลก เรื่องที่เราคุ้นเคยก็คือเรื่องของกษัตริย์ฟาโรห์และชาวอิยิปต์ต้องประสพหายนะภัย 9 ครั้งในระหว่างสมัยของโมเสส
 
“พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า จงยกมือไปยังท้องฟ้า และความมืดจะปกคลุมแผ่นดินอิยิปต์ เป็นความมืดหนาจนจับต้องได้ โมเสสยกมือไปยังท้องฟ้า ความมืดหนาก็มาปกคลุมทั่วแผ่นดินอิยิปต์เป็นเวลาสามวัน ชาวอิยิปต์ต่างมองไม่เห็นกัน ไม่มีผู้ใดออกจากที่อยู่เป็นเวลาสามวัน แต่แถบที่ขาวอิสราแอลอาศัยอยู่นั้นมีแสงสว่าง” (อย. 10 : 21-23)
 
ประกาศกอิสยาห์ก็พูดถึงวันแห่งความมืดเช่นเดียวกัน
 
“จงดูเถิด วันของพระยาห์เวห์จะมาอย่างไร้เมตตา เป็นวันแห่งพระพิโรธและความโกรธกริ้ว เพื่อทำให้แผ่นดินเป็นที่รกร้าง และเพื่อทำลายคนบาปให้หมดจากแผ่นดิน ดวงดาวในท้องฟ้าและดาวไถจะไม่ส่องแสงอีก ดวงอาทิตย์ก็จะมืดเมื่อขึ้น ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง เราจะลงโทษโลกเพราะความชั่วร้าย จะลงโทษคนอธรรมเพราะความผิดของเขา เราจะทำให้ความเย่อหยิ่งของคนจองหองจบลง จะปราบความหยิ่งยโสของบรรดาทรราช” (อส. 13 : 9-11)
 
จากพระคัมภีร์พระธรรมใหม่ เราก็ได้พบเช่นเดียวกันว่าในเวลาที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนเขากาวารีโอนั้น ได้ปรากฏความมืดไปทั่วแผ่นดิน
 
ในชั่วโมงที่หก ปรากฏความมืดปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน จนถึงชั่วโมงที่เก้า (มธ. 27:45)
 
และเมื่อถึงชั่วโมงที่หก ความมืดได้ปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน จนกระทั่งถึงชั่วโมงที่เก้า (มก. 15 : 33)
 
แต่ในเวลาเกือบถึงชั่วโมงที่หก ก็ปรากฏความมืดไปทั่วแผ่นดิน จนกระทั่งถึงชั่วโมงที่เก้า (ลก. 23 : 44 )
 
ดังนั้นคงไม่ต้องพูดย้ำในเรื่องนี้ หลายตอนในพระคัมภีร์ได้พูดถึงวันแห่งความมืดและนี่เป็นรากฐานอันหนักแน่นอันเป็นที่มาของคำทำนาย
 
คำทำนายในยุคสมัยนี้
 
ในเรื่องการเผยแสดงของวันแห่งความมืด เราจะอ้างอิงเฉพาะบุคคลสองท่านคือ บุญราศีอันนา-มาเรีย ไทจิ และ ผู้ควรเคารพ อลิซาเบ็ท คาโนรี-โมรา
 
Blessed Anna-Maria Taigi (19th century, Italy)

บุญราศี อันนา-มาเรีย ไทจิ ถึงแม้จะเป็นเพียงแม่บ้านและมารดาธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ท่านก็เป็นผู้นำในแบบอย่างของจิตวิญญาณและชีวิตคริสตชน เธอได้รับการนับถือว่าเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่คนหนี่งทีเดียว เธอได้รับญาณนิมิตบ่อยครั้ง ทำอัศจรรย์รักษาโรค อ่านจิตใจของผู้อื่น ทำนายถึงการเสียชีวิตและเหตุการณ์ในอนาคต เธอได้ทำนายถึงสงครามโลกทั้งสองครั้งซึ่งนำหายนะภัยมาสู่ศตวรรษที่ยี่สิบ สิบแปดปีหลังจากเธอเสียชีวิต ร่างกายของเธอยังคงไม่เน่าเปื่อย พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ทรงสถาปนาเธอขึ้นเป็นบุญราศีในในวันที่ 20 พ.ค. 1920
 
ต่อไปนี้เป็นการเผยแสดงของเธอเกี่ยวกับโลกมืดสามวัน
 
1. พระเป็นเจ้าจะทรงส่งการลงทัณฑ์สองอย่างมายังโลก อย่างที่หนึ่งจะมาในรูปของสงคราม การปฏิวัติและความชั่วร้ายอื่นๆ มันจะมีจุดเริ่มต้นในโลก การลงทัณฑ์อีกแบบหนึ่งจะมาจากท้องฟ้า ความมืดมิดจะครอบคลุมไปทั่วโลกเป็นเวลาสามวันสามคืน จะไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย และอากาศจะแพร่กระจายโรคระบาดไปสู่ศัตรูของพระศาสนาเป็นส่วนใหญ่แต่ไม่ใช่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น จะไม่สามารถใช้แสงสว่างใดๆที่มนุษย์ทำขึ้นมาในระหว่างความมืดนี้ ยกเว้นแต่เทียนที่ได้รับการเสกแล้ว คนที่อยากรู้อยากเห็นและเปิดหน้าต่างเพื่อมองดูข้างนอกหรือออกไปนอกบ้าน จะตายตรงที่เขายืนนั่นเอง ในระหว่างสามวันนี้ ประชาชนควรอยู่แต่ในบ้านของตน สวดสายประคำและวอนขอพระเมตตาต่อพระเป็นเจ้า
 
2. ศัตรูทั้งหมดของพระศาสนจักร ทั้งที่ทราบและไม่ทราบ จะถูกทำลายจนย่อยยับทั่วโลกในระหว่างความมืดที่ครอบคลุมทั่วพิภพนี้ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นซึ่งพระเป็นเจ้าทรงช่วยให้เขากลับใจ อากาศจะเป็นพิษเต็มไปด้วยเชื้อโรคจากอิทธิพลของผีปีศาจซึ่งจะปรากฏมาในรูปแบบที่น่ากลัวทุกชนิด
 
3. ศาสนาจะถูกเบียดเบียน พระสงฆ์จะถูกฆาตกรรมหมู่ โบสถ์จะถูกปิด แต่จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น พระสันตะปาปาจะถูกบังคับให้ออกจากโรม
 
ผู้ควรเคารพ อลิซาเบ็ท คาโนรี-โมรา (ศตวรรษที่ 19 อิตาลี)
 
เธอเกิดในปี 1774 อาศัยอยู่ในอิตาลีและเสียชีวิตในปี 1825 ต้องขอบคุณพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของเธอที่ได้เก็บรักษาหนังสือที่เธอเขียนด้วยตนเอง
ซึ่งเขียนเกี่ยวกับการเผยแสดงที่เธอได้รับ ปัจจุบันนี้คุณพ่อคณะพระตรีเอกภาพที่ซาน คาลิโน ในโรม เก็บรักษาหนังสือของเธอไว้
 
ข้อเขียนเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าไม่ผิดต่อคำสอนและความเชื่อ ในเวลาที่พระสันตะปาปาปีโอที่ 9 จะทำการสถาปนาเธอขึ้นเป็นผู้ควรเคารพ คณะผู้ตรวจสอบได้เผยแพร่คำตัดสินเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 1900 โดยกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ขัดต่อความเชื่อและความดี และไม่พบว่ามีการต่อเติมหรือเบี่ยงเบนออกจากคำสอน”
 
อลิซาเบ็ท คาโนรี-โมราได้รับการสถาปนาเป็น Venerable (ผู้ควรเคารพ)ในปี 1994
 
ต่อไปนี้เป็นคำทำนายของเธอ
 
- ในวันคริสต์มาส ปี 1916 อลิซาเบ็ทได้เห็นแม่พระปรากฏมาด้วยความเศร้าโศก เธอถามแม่พระว่าทำไมจึงทรงเศร้าโศกเช่นนั้น แม่พระตรัสตอบว่า “จงดูเถิด ลูกสาวของแม่ มองดูการไม่นับถือพระเจ้าของมนุษย์อันหนักหนาสาหัสยิ่งนัก” และอลิซาเบ็ทก็ได้เห็น “คนจำนวนมากที่เสื่อมศรัทธากำลังพยายามยื้อแย่งองค์พระกุมารออกจากอ้อมแขนของพระนาง เมื่อเผชิญกับการกระทำอันป่าเถื่อนเช่นนั้น พระมารดาของพระเจ้าทรงหยุดวอนขอความเมตตาต่อโลก และทรงขอความยุติธรรมจากพระบิดานิรันดรแทน พระองค์จึงทรงสวมพระองค์ด้วยพระยุติธรรมที่ไม่อาจหยุดยั้งได้และเต็มไปด้วยพระพิโรธ ทรงหันมายังโลก
 
- “ในเวลานั้นเอง ธรรมชาติทั้งมวลได้แปรผันไป โลกได้สูญเสียความเป็นระเบียบตามปกติของมันและบังเกิดหายนะภัยที่น่ากลัวที่สุดจนไม่อาจจินตนาการได้ สิ่งเหล่านี้เป็นที่น่าเวทนาและน่าสังเวชที่สุดซึ่งอาจจะทำให้โลกไม่เหลือผู้คนอยู่เลย
 
- ในวันฉลองของนักบุญเปโตรและเปาโล วันที่ 29 มิ.ย. 1820 อลิซาเบ็ทได้เห็นนักบุญเปโตรลงมาจากสวรรค์ สวมอาภรณ์ของพระสันตปาปาและถูกห้อมล้อมด้วยกองทัพทูตสวรรค์ ท่านถือไม้กางเขนใหญ่และยื่นกางเขนออกเหนือผืนแผ่นดินของโลก แบ่งโลกออกเป็นสี่ส่วน ในแต่ละส่วนนี้ ท่านบันดาลให้ต้นไม้ต้นหนึ่งงอกออกมาจากแผ่นดิน ทำให้มันแตกหน่อด้วยชีวิตใหม่ ต้นไม้แต่ละต้นมีรูปร่างเป็นกางเขนและห้อมล้อมด้วยแสงสว่างอันเจิดจ้างดงาม สาธุชนคนดีทั้งหมดและบรรดาพระสงฆ์นักบวชได้หนีมาหลบภัยอยู่ภายใต้ต้นไม้เหล่านี้และพวกเขาได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากทุกขเวทนาใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น “วิบัต วิบัติจงมีแก่นักบวชที่ไม่ซื่อสัตย์ที่ทำการดูหมิ่นกฏวินัยศักดิ์สิทธิ์ของคณะของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดจะย่อยยับในทุกขเวทนาอันน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก พร้อมกับบรรดาคนที่หมกมุ่นในโลกีย์และคนที่ติดตามคำสอนเท็จเทียมที่มาจากปรัชญาสมัยใหม่ที่สิ้นหวัง
 
- “ท้องฟ้าเปลี่ยนไปเป็นสีฟ้าหม่นหมองผิดปกติ ทำให้เกิดความกลัวแก่ทุกคนที่มองดูมัน ความมืดแผ่จะกระจายไปทั่วทุกแห่งหน เสียงกรีดร้องด้วยความโศกเศร้าดังลั่นไปทั่วในอากาศ เหมือนเสียงคำรามอันน่ากลัวของสิงโตที่ดุร้าย และสะท้อนดังก้องไปทั่วโลกเป็นเสียงที่สะท้อนเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
 
- “มนุษย์ทุกคนและสรรพสัตว์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว โลกทั้งมวลโกลาหลวุ่นวายและทุกคนต่างฆ่าและทำร้ายกันและกันอย่างน่าอเน็จอนาถ....
 
- เมื่อวันแห่งการต่อสู้อย่างบ้าเลือดมาถึง พระหัตถ์แห่งพระพิโรธของพระเป็นเจ้าจะวางอยู่เหนือคนเหล่านั้นที่ถูกกำหนดไว้และด้วยพระสรรพานุภาพของพระองค์ พระองค์จะทรงลงโทษคนเย่อหยิ่งสำหรับความหยิ่งทะนงอันน่าละอายของพวกเขา พระเป็นเจ้าจะทรงใช้อานุภาพแห่งความมืดเพื่อทำลายมนุษย์ที่แยกตัวออกเป็นนิกายต่างๆ คนที่อยุติธรรม คนที่ก่ออาชญากรรม คนที่วางแผนล้มล้างพระศาสนจักรคาทอลิก พระมารดาพระเจ้าจะทรงฉีกพวกนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และโยนมันไปบนพื้นดิน
 
ความสัมพันธ์กับยุคสมัยของเรา
 
จากการเผยแสดงของทั้งสองบุคคลข้างต้น คงเป็นที่กระจ่างชัดต่อเราว่าพระเป็นเจ้าทรงเตือนมนุษยชาติเป็นการล่วงหน้าถึงทุกขเวทนาแสนสาหัสที่จะบังเกิดขึ้นถ้าหากมนุษยชาติกระทำบาปผิดต่อพระองค์และต่อความจริง บางทีอาจดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวของเรา แต่เมื่อเราได้เห็นความเสื่อมศรัทธา การดูหมิ่นพระเป็นเจ้า การดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการผิดศีลธรรมที่แพร่หลายไปทั่วทุกแห่งในยุคสมัยของเรานี้แล้ว จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าโลกสมควรได้รับการลงโทษอย่างหนักหนาสาหัสเช่นนั้น
 
สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ แม่พระแห่งฟาติมาได้ตรัสถึงสิ่งที่คล้ายกันนี้ในปี 1917 เมื่อพระนางประจักษ์มา จึงเป็นการสนับสนุนในคำทำนายทั้งสองประการดังกล่าว
 
สาส์นแห่งความหวัง
 
อย่างไรก็ตาม สาส์นแห่งความหวังของแม่พระได้ทรงประทานแก่เราด้วย พระนางทำนายถึงชัยชนะแห่งดวงหทัยนิรมลของพระนาง ซึ่งจะตามมาหลังจากความพินาศของโลก อลิซาเบ็ท คาโนรี-โมราได้เห็นนิมิตของการฟื้นฟูอันยิ่งใหญ่ ดังมีรายละเอียดดังนี้
 
“แล้วนั้นความรุ่งโรจน์แจ่มจรัสและงดงามจนสุดบรรยาย ได้มาสู่โลกเพื่อประกาศถึงการคืนดีกันระหว่างพระเป็นเจ้ากับมนุษยชาติ”
 
“คริสตชนคาทอลิกจำนวนไม่มากที่ยังคงซื่อสัตย์ซึ่งได้มาอาศัยอยู่ภายใต้ต้นไม้จะถูกนำมาอยู่เบื้องหน้านักบุญเปโตร และท่านนักบุญจะเลือกพระสันตปาปาองค์ใหม่ พระศาสนจักรทั้งมวลจะได้รับการจัดระเบียบใหม่ให้เป็นไปตามความหมายอันแท้จริงของพระวรสาร คณะนักบวชจะได้รับการสถาปนาขึ้นมาใหม่ แล้วบ้านของบรรดาคริสตชนจะกลายเป็นบ้านแห่งความศรัทธา
 
“ความกระตือรือร้นและความศรัทธาจะเปี่ยมล้นในพระเกียรติอันรุ่งโรจน์ของพระเจ้าจนทำให้ทุกสิ่งกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดความรักในพระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ชัยชนะ พระเกียรติศักดิ์และความรุ่งโรจน์ของพระศาสนจักรคาทอลิกจะถูกสถาปนาตลอดไปอย่างยั่งยืน พระศาสนจักรจะได้รับการสรรเสริญ การเคารพและยกย่องจากทุกคน ทุกคนจะเชื่อฟังและติดตามพระศาสนจักรด้วยความมุ่งมั่น และเคารพต่อองค์ผู้แทนพระคริสตเจ้าในฐานะพระสันตะปาปาผู้ทรงเป็นประมุข”
 
บุญราศี อันนา-มาเรีย ไทจิ ก็ได้กล่าวถึงการฟื้นฟูพระศาสนจักรดังนี้
 
“หลังจากสามวันแห่งความมืดมิดแล้ว นักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล จะลงมาจากสวรรค์ ท่านจะเทศน์สอนไปทั่วโลกและเลือกพระสันตปาปาองค์ใหม่ แสงสว่างเจิดจ้าจะส่องมาจากร่างของท่านนักบุญทั้งสองและฉายไปที่พระคาร์ดินัลองค์หนึ่งซึ่งจะเป็นพระสันตะปาปาในอนาคต แล้วคริสตศาสนาจะแพร่กระจายไปทั่วโลก ทุกชนชาติจะเข้าร่วมกับพระศาสนจักรในระยะเวลาไม่นานต่อหน้าการปกครองของแอนตี้ไครส์ การกลับใจของคนทั้งหลายจะเป็นที่ประหลาดใจยิ่งนัก คนที่จะมีชีวิตรอดอยู่จะกลับตัวเป็นคนดี จะมีการกลับใจของผู้ที่หลงผิดจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาจะหันมาสู่อ้อมอกของพระศาสนจักร ทุกคนจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง รวมทั้งผู้ที่เป็นคาทอลิก ชาวรัสเซีย อังกฤษ และจีนจะมาสู่พระศาสนจักร”
 
เมื่อโลกเผชิญกับความหวาดกลัวและการทำลายอันน่าหวาดหวั่นอันเนื่องมาจากการที่มนุษย์เย่อหยิ่งทะนงในความสามารถของตนเองและความเสื่อมศรัทธาในพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าทรงประสงค์ให้เรามั่นใจว่าพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราผู้ที่ยังซื่อสัตย์ต่อพระองค์ แม่พระทรงขอร้องเราที่ฟาติมา ให้เราสวดสายประคำทุกวัน ร่วมมิสซาห้าครั้งในวันเสาร์ต้นเดือน ให้มีความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของพระนาง ให้สวดภาวนา และทำพลีกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ คำขอร้องของแม่พระนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนมาก
 
ในท่ามกลางความสับสนในยุคปัจจุบัน ให้เรามีความหวังและวางใจและหันมาหาแม่พระผู้ทรงเป็นแม่ของเรา เป็นที่ปรึกษาที่ดีของเรา
 
เราต้องเชื่อและวางใจในวาจาของแม่พระเสมอ ตามที่ทรงตรัสว่า
 
“ในที่สุด ดวงหทัยนิรมลของแม่จะได้รับชัยชนะ”
 
---------------------------------------------------------------------------------------------
 
NOTES: อ้างอิงจาก
1. http://www.newadvent.org/cathen/12473a.htm Last visited 04-28-10
2. Yves Dupont, Catholic Prophecy,Tan Books and Publishers, 1973
3. http://www.tfp.org/tfp-home/catholic-perspective/a-century-before-fatima-providence-
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น