มาร์ทาผู้ถูกผีสิง
“วันนี้เป็นวันที่เจ้าต้องออกไป” คุณพ่อโจเซ่พูด ท่านถือไม้กางเขนในมือ
“ไม่” เสียงของหญิงสาวคำรามเปล่งผ่านลำคออย่างแหบห้าว เธออายุ 20 ปี
"จงออกไปเสีย เซบูลอน" พระสงฆ์พูดซ้ำ
"ไม่"
"ทำไม ถึงไม่ยอมออก?"
"เพื่อเป็นหลักฐาน"
"หลักฐานอะไร?"
"หลักฐานว่าซาตานมีจริงนะซิ"
ความเครียดก่อตัวในความมืดสลัวของโบสถ์, ซาตานกำลังต่อสู้กับพระเจ้า. และผมนั่งอยู่แถวหน้าสุด นี่เป็นประสพการณ์ครั้งแรกของผม "นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาเชิญให้ผมมาเป็นประจักษ์พยานของการขับไล่ผี. ซาตานต้องการแสดงตัวของมัน" ผมคิดในขณะที่กำลังตกใจ. จิตใจของผมปั่นป่วน. เรากำลังอยู่ในพิธีกรรมอันน่าระทึกซึ่งผมไม่เคยคาดว่าจะได้เห็น. ในสามเณราลัย, พระสงฆ์มักทำให้ผมระลึกถึงความรู้สึกกลัวผีในวัยเด็กของผม ปีศาจพยายามที่จะเข้ายึดครองจิตวิญญาณของมนุษย์อยู่เสมอ. ภายหลังจากสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง คำสั่งสอนเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของซาตานก็ได้กลายเป็น "คำสั่งสอนที่เคลือบแคลง" และผมก็เช่นเดียวกับคาทอลิกอื่น, ไม่เชื่อเรื่องผีปีศาจ
คุณพ่อโจเซ่ อันโตนีโอ ฟอรที เป็นผู้ดูแลโบสถ์ "Our Lady of Zulema" ท่านรู้สึกเหนื่อยแล้วในขณะนี้ ทั้งๆที่ท่านมีอายุเพียง 33 ปี แต่ท่านได้ต่อสู้กับซาตานนานมากกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ท่านถือไม้กางเขนตลอดเวลา. มาร์ทา(ไม่ใช่ชื่อจริง) เป็นเด็กสาวที่ถูกผีสิง ขณะนี้เธอยังคงแข็งแรงไม่ท่าทีว่าเหนื่อยเลย ยกเว้นบางครั้งเธอจะทำเสียงฮึดฮัดผ่านทางจมูก ส่งเสียงครวญคราง บิดตัวไปมาและตัวสั่นเหมือนลูกข่าง เธอมีพละกำลังมากผิดปกติจากคนอายุ 20 ปี. เธอมีรูปร่างผอมบาง มันเป็นเวลา 12.30 น. และผมได้มาอยู่ที่นี่นานหนึ่งชั่วโมงครึ่ง.
สองวันก่อนผมได้รับโทรศัพท์ผ่านทางมือถือจากพระสงฆ์ท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะผมเคยได้รับโทรศัพท์จากพระสงฆ์บ่อยๆ แต่ครั้งนี้เป็นพระสงฆ์นักขับไล่ผี (มีพระสงฆ์แบบนี้สององค์ในสเปน) และท่านมักจะไม่ค่อยสุงสิงกับนักหนังสือพิมพ์ คุณพ่อท่านนั้นได้เชิญผมให้ไปเป็นพยานการขับไล่ผี ผมต้องทิ้งหมายกำหนดการอื่นๆทั้งหมดเพื่อไปเป็นพยานการขับไล่ผีโดยพระสงฆ์ที่ได้รับมอบอำนาจหน้าที่จากทางวาติกัน นี่เป็นเรื่องพิเศษสุดสำหรับนักหนังสือพิมพ์ที่ทำข่าวเกี่ยวกับศาสนา ผมเป็นนักข่าวมาได้ 20 ปีแล้วและเคยสัมภาษณ์คุณพ่อ กาเบรียล เอมอร์ท ผู้เป็นพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับการขับไล่ผีของโรม เมื่อตอนที่ผมพบกับท่าน ท่านได้มอบสำเนาหนังสือฉบับหนึ่งพร้อมด้วยคำพูด "ขอมอบให้โจเซ่ มานูเอล, ด้วยความขอบคุณ พร้อมด้วยคำแนะนำคือคุณจงอย่าได้กลัวปีศาจ"
ผมขอสารภาพว่า ด้วยความกลัวผมจึงตัดสินใจโทรไปหาคุณพ่อฟอร์ทีและขออนุญาตนำเพื่อนร่วมงานนักข่าวแผนกศาสนาไปด้วยอีกสองคน พวกเขามาจากสำนักข่าว EFE นิสว์เซอร์วิส. และท่านได้ตอบอนุญาติ. เราทั้งหมดนั่งรถไปที่สังฆมณฑล Alcala de Henares ตามวันนัดหมาย. มันเป็นวันที่อากาศดีมีแสงแดด. แล้วเราก็เข้าไปที่โบสถ์ด้วยความกระตือรือร้น. ตอนที่อยู่ในรถเราพูดกันด้วยเรื่องตลกขบขันเพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียดก่อนที่จะมารับประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น
คุณพ่อนัดเราให้ไปพบกันที่โบสถ์ เป็นโบสถ์ที่ทันสมัยก่อด้วยอิฐสีแดงตั้งอยู่ในบริเวณหมู่ต้นสน. ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างธรรมดาเรียบง่ายดูสะอาดตา. มีกางเขนใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางบนสถานประกอบพิธีบูชามิสซาที่ยกสูง. อ่างน้ำเสกตั้งอยู่ด้านข้างและมีอักษรเขียนติดอยู่ "น้ำศักดิ์สิทธิ์ช่วยขับไล่ปีศาจ"
เวลา 10.30 คุณพ่อมาพบกับเรา ท่านเป็นคนสูง สวมแว่นตาและมีหนวด. รูปร่างใหญ่. อาจเป็นเพราะท่านต้องทำหน้าที่ขับไล่ปีศาจ. หน้าผากของท่านดูซีดขาวเห็นเด่นชัดเพราะมันตัดกับเสื้อหล่อสีดำที่ท่านสวมอยู่ ท่านชวนพวกเราให้เดินเล่นกับท่านเพื่อที่จะเล่าภูมิหลังของเรื่องราวนี้.
ปีศาจเจ็ดตน
"ผมไม่ใช่นักพูดและไม่ต้องการเป็นที่สนใจของคนทั่วไป. พวกคุณถูกเชิญมาที่นี่เพราะผมต้องการให้คุณช่วยในการทำให้หญิงสาวเป็นอิสระ. คุณต้องระมัดระวังตัวให้มาก. คุณต้องไม่ถ่ายทอดหรือเปิดเผยหลักฐานที่จะระบุถึงตัวหญิงสาวหรือแม่ของเธอ. ผมจะยินดีถ้าคุณจะไม่เอ่ยชื่อของผม. แต่ผมก็ยอมรับในสิ่งนี้เพื่อเห็นแก่ความจริง. พระเจ้าทรงทราบว่ามันจะมีผลต่อผมอย่างไรและมันจะทำให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง. แต่อย่าตกใจไปเลย. จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ" ท่านพูดยืนยันอย่างจริงจัง. ท่านบอกว่าในพระคัมภีร์พระธรรมเก่ามีคำว่า "ซาตาน" ปรากฏอยู่ 11 ครั้ง.
และในพระธรรมใหม่ คำว่า "ปีศาจ(devil)" ปรากฏอยู่ 35 ครั้ง คำว่า "ผี(demon)" ปรากฏ 21 ครั้ง. พระเยซูเจ้าเองก็เคยขับไล่ปีศาจหรือที่พระคัมภีร์เรียกว่า "การกำจัดผีออกไป" คุณพ่อฟอร์ที อ้างถึงการที่พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เคยทรงทำพิธีขับไล่ผีสามครั้งอย่างเป็นทางการ ท่านให้ข้อสังเกตว่าความเชื่อในเรื่องปีศาจเป็นความเชื่อทั่วไปในทุกศาสนา. "มันเป็นความเชื่อของคริสตศาสนาด้วยและเป็นเรื่องที่เด่นอย่างหนึ่ง" ท่านยังได้เล่าถึงศาสนาหลายศาสนา, ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง, และทฤษฏีต่างๆ. ผมรู้สึกกังขา ผมรู้สึกว่าท่านกำลังพยายามโน้มน้าวพวกเราด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์.
เพื่อทำให้ท่านติดดินสักหน่อย ผมจึงซักไซ้รายละเอียดของกรณีหญิงสาวผู้นี้ ท่านเล่าว่า เด็กสาวคนนี้ถูกผีสิงเจ็ดตน และท่านได้ขับไล่ออกไปแล้ว 6 ตน แต่ตัวสุดท้ายกำลังต่อสู้กับท่าน "มันชื่อว่าเซบูลอน มันเป็นผีที่เงียบสงบแต่ฉลาดมาก" ชื่อของมันมีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ มันเป็นหัวหน้าผีและพยายามที่จะคงอยู่ต่อไปจนถึงที่สุด ผมสวดบทขับไล่ปีศาจ 16 บทแต่ก็ยังไม่สามารถขับไล่มันไปได้ ในขณะที่โดยปกติแล้วการสวดเพียง 2 หรือ 3 บทก็เพียงพอที่จะขับไล่ไปได้แล้ว"
ท่านไม่ต้องการจะบอกรายละเอียดของเด็กที่ถูกผีสิงอีก ท่านพูดเพียงว่าเด็กสาวมีแม่ติดตามมาด้วย "เธอเป็นนักบุญจริงๆ" เด็กสาวถูกผีสิงตั้งแต่อายุ 16 ปี เริ่มเมื่อตอนที่เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งได้ร่ายคำสาปต่อเธอ "ในระหว่างการสวดบทขับไล่ผีบทที่หนึ่ง, ผมถามมันว่า เด็กถูกสิงได้อย่างไร และมันได้บอกชื่อหนึ่งออกมาแต่ผมจำไม่ได. แม่ของเด็กบอกผมว่าเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งซึ่งบูชาซาตานได้ร่ายคำสาปแห่งความตายกับเธอ และต่อมาเธอก็เจ็บป่วยอย่างหนักจนเกือบจะตายไปแล้ว เมื่อเธอมีอาการดีขึ้น สิ่งแปลกๆก็เริ่มปรากฏให้เห็น."
มารดาเริ่มเห็นสิ่งแปลกๆเกี่ยวกับลูกสาว อาทิเช่น เฟอร์นิเจอร์เคลื่อนที่ไปได้เอง ของแตกหักเอง และเหนือสิ่งใด เด็กหญิงหลีกเลี่ยงศาสนวัตถุและสิ่งที่เกี่ยวกับศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการไปร่วมพิธีมิสซาวันอาทิตย์ คืนหนึ่งมารดาตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ และเมื่อไปเปิดประตูห้องนอนลูกสาวก็เห็นลูกสาวลอยอยู่เหนือเตียงนอน
มารดาใม่ต้องการสูญเสียลูกสาวคนเดียวของเธอจึงมาขอความช่วยเหลือ เธอไปหาคุณพ่อเจ้าอาวาสที่โบสถ์ และคุณพ่อก็ส่งตัวเด็กไปพบจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงสองท่าน. แต่ทั้งสองท่านก็ระบุว่าเด็กหญิงมีจิตใจเป็นปกติ. ไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายถึงอาการปวดหัวตลอดเวลาของเด็กหญิงได้ และนั่นจึงทำให้มาเรีย (นามสมมุติของแม่เด็กอายุ 60ปี) ไปขอความช่วยเหลือจากพระสงฆ์ผู้ทำพิธีขับไล่ผี เธอไปทั่วทุกสังฆมณฑลในสเปน. ไม่มีพระสังฆราชองค์ใดต้องการฟังเรื่องของเธอ ขณะที่เธอกำลังจะพาลูกสาวไปอิตาลีเพื่อพบคุณพ่อ เอมอร์ท ,ก็มีคนบอกเธอว่าคุณพ่อสเปนที่เป็นนักขับไล่ผีองค์หนึ่งออกรายการโทรทัศน์พูดถึงหนังสือของท่านเกี่ยวกับการขับไล่ผี ชื่อหนังสือคือ Demoniacum
เวลานั้นเองเราก็เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งขับเข้ามา "นั่นไงพวกเขา" คุณพ่อฟอร์ทีพูด มาเรียผู้เป็นแม่รูปร่างเล็กหน้าตาแสดงถึงความเศร้าโศก "ดิฉันเชื่อในพระเป็นเจ้าและแน่ใจว่า สักวันหนึ่งพระองค์จะทรงทำให้ลูกสาวของดิฉันเป็นอิสระจากเจ้าผี เซบูลอน ดิฉันต้องทนทุกข์ ณ. กาวารี ถึง 5 ปีแล้ว ไม่มีคนในครอบครัวดิฉันรู้เรื่องนี้เลย แม้แต่พี่ชายของดิฉัน" เธอเล่า มาเรียเป็นหม้าย เธอจะพาลูกสาวมาหาคุณพ่อทุกครั้งตามนัด (สัปดาห์ละหนึ่งวัน) "พวกเขาจะไม่เข้าใจ และดิฉันก็ไม่ต้องการให้ลูกสาวมีมลทินในชีวิต"
พิธีขับไล่ปีศาจ
มาร์ทายืนอยู่ข้างๆแม่ เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย รูปร่างผอมบาง ดวงตาสีน้ำตาลดูเศร้าสร้อย ใบหน้ามีร่องรอยของความเศร้า ผมสีดำผูกเปียไปด้านหลัง ริมฝีปากอิ่มไม่ทาลิปสติกและถูกขบด้วยฟันจนเป็นรอย เธอสวมกางเกงยีน เสื้อแขนสั้นสีฟ้า รองเท้าสีดำ นัยน์ตาของเธอน่าดูแต่แฝงด้วยความหวาดกลัว เป็นความหวาดกลัวยิ่งกว่าความอาย เธอดูเหมือนเด็กสาวทั่วไป เธอกำลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย ผมคิดในใจว่า "เธอไม่ได้ถูกผีสิงหรอก"
ภายในโบสถ์ คุณพ่อฟอร์ทีล็อกประตูเมื่อพวกเราเข้าไปข้างใน พระแท่นใหญ่ปูด้วยผ้าลินินสีขาว มีเทียนหกเล่นจุดไฟตั้งอยู่เบื้องหน้ามหากางเขนแห่งพระตรีเอกภาพ เบื้องหลังเป็นภาพพระคริสตเจ้าทรงได้รับชัยชนะ ด้านข้างเป็นพระรูปแม่พระอุ้มพระกุมาร.
มารดาและลูกสาวเตรียมตัวสำหรับเข้าพิธี มาร์ทาสวมถุงเท้าสีขาว ขณะที่มารดาสวมสายประคำที่มีกางเขนใหญ่ขนาดหกนิ้ว มีฟูกนอนที่มีรูปแม่พระฟาติมาอยู่ด้านบน ,มาร์ทานอนที่ฟูกจ้องมองไปที่กางเขน มาเรียคุกเข่าลงข้างๆ คุณพ่อฟอร์ทีคุกเข่าสวดภาวนาสักครู่หนึ่ง แล้วถอดชุดหล่อ ดื่มน้ำ และมายืนอยู่ที่ปลายฟูกห่างจากพระแท่นมากที่สุด
พิธีกำลังเริ่มต้น ผมนั่งลง คุณพ่อเหยียดมือขวาของท่านอยู่เหนือใบหน้าเด็กหญิง ท่านปิดตาลง,ก้มศีรษะและสวดภาวนาเสียงเบาๆหลายครั้ง เสียงกรีดร้องดังขึ้นแทรกไปในความเงียบของโบสถ์ และแทรกเข้าในใจของผมทำให้ผมหวาดหวั่น มันไม่ใช่เสียงของมนุษย์เสียงมาจากลำคอของมาร์ทา แต่มันไม่ใช่เสียงของเธอ คุณพ่อฟอร์ทียังคงสวดภาวนาต่อไป ร่างของเด็กเริ่มสั่นเทาและเคลื่อนตัวอย่างช้าๆไปด้านข้าง.
"จงออกไป, เซบูลอน"
เด็กบิดตัวและหันศีรษะมาเผชิญหน้า ส่งเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว คุณพ่อแตะไม้กางเขนที่ท้องของเด็กและพรมน้ำเสก เด็กเตะด้วยความโมโหจนไม้กางเขนกระเด็นไป มารดาเก็บไม้กางเขนขึ้นมาและนำไปแตะอีกหลายครั้ง มารดายังนำสายประคำไปไว้ที่ตัวเด็ก แต่เด็กกระชากออกไปด้วยความโมโห เด็กเงียบสักพักหนึ่งแต่ทันใดเธอก็เริ่มคำราม เธอต่อสู้จนแทบไม่หายใจ เมื่อเธอได้ยินคุณพ่อฟอร์ทีสวดในนามของนักบุญยอร์จ เธอทำท่าฮึดฮัดและกรอกนัยน์ตาแล้วยืนขึ้นบนฟูก ผมแทบไม่เชื่อเลย
"จงจูบไม้กางเขน" คุณพ่อพูด
"ไม่"
"พระเยซูเจ้าเป็นกษัตริย์ของเจ้า"
"Assee dee dee dee dah."
"เจ้าทาสของซาตาน เจ้าอยู่ในความมืดมิด"
"Assee dee dee dee dah."
"เจ้าทำได้ดีมาก เพราะเจ้า, หลายคนจะเชื่อในพระเป็นเจ้า"
"ไม่"
"ในพระนามของพระคริสตเจ้า ข้าสั่งเจ้า จงออกไปเสีย เซบูลอน. คำสาปแช่งนิรันดรกำลังรอคอยเจ้าอยู่ ไม่มีความรอดสำหรับเจ้า"
ขณะที่คุณพ่อฟอร์ทีทำพิธี มือของเด็กหญิงก็เปลี่ยนเป็นอุ้งเล็บ คุณพ่อเร่งสวดภาวนาและรู้สึกเหนื่อย "วันนี้เป็นวันที่เจ้าต้องออกไป เซบูลอน. จงออกจากเด็กหญิงผู้นี้ในพระนามของพระเป็นเจ้า" เด็กหญิงตัวสั่นเทา ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เสียงคำรามดังออกมา "มือลอบสังหาร" เมื่อคุณพ่อฟอร์ทีถาม เซบูลอนว่า ทำไมมันจึงไม่ยอมละทิ้งเธอ เจ้าผีตอบว่า "เพื่อที่มนุษย์จะเชื่อในซาตาน"
หนึ่งชั่วโมงของสงครามผ่านไป. คุณพ่อออกไปนอกโบสถ์. เรื่องนี้ไม่ใช่การหลอกลวง. เป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก. คุณพ่อฟอร์ทีเล่าว่า ท่านทำสิ่งนี้มานานห้าปีแล้วและมีเพียงสี่กรณีเท่านั้นที่กระทำในสเปน. แต่ในขณะที่ท่านกำลังศึกษาอยู่ ท่านเคยร่วมในพิธีของรายอื่นถึง 13 ครั้ง พระสงฆ์จะออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด ไร้ความปราณีต่อปีศาจ ทรมานมันในพระนามของพระเป็นเจ้า. ครั้งหนึ่งระหว่างพิธี ปีศาจทำให้พระสงฆ์รู้สึกเจ็บปวดและใช้มีดแทงไปที่แขนของท่าน.
มาเรีย มารดาของเด็กทำพิธีแทนคุณพ่อ เธอสวดด้วยคำพูดเดียวกันกับพระสงฆ์
"ในพระนามของพระคริสตเจ้า ข้าสั่งเจ้าให้ออกไป"
"ไม่"
"จงมองดูพระนางพรหมจารีย์" มาเรียสั่งพลางถือรูปภาพแม่พระแห่งฟาติมาเบื้องหน้าสายตาของเด็ก มีเพียงเสียงฮึดฮัด เธอจึงถือไม้กางเขน
"พระองค์คือพระผู้สร้างของเจ้า เจ้าเห็นพระองค์ไหม?"
"เห็น" เสียงตอบปนกับเสียงคำรามและฮึดฮัด
"จงมองดูพระองค์ เซบูลอน อย่าต่อสู้กับพระองค์ เจ้ารู้วันและเวลาของเจ้าดี วันและเวลาของเจ้ามาถึงแล้ว"
"ไม่...."
"ทำไมเจ้าจึงต่อต้าน?"
"ข้าบอกไปแล้ว ข้าบอกแกไปหลายครั้งแล้ว"
"จงบอกสุภาพบุรุษเหล่านี้ซิว่าทำไมเจ้าจึงไม่ยอมออกไป"
"Ugggh."
"พูดให้ชัดซิ"
"ข้าไม่ต้องการบอก"
"ในพระนามของพระคริสตเจ้า จงบอกซิว่าทำไม"
"เพื่อให้มนุษย์เชื่อในซาตาน"
"โปรดมาเถิดท่านนักบุญยอร์จ มาเถิด, นักบุญยอร์จ อย่าละทิ้งเธอ นักบุญยอร์จ"
เด็กที่ถูกผีสิงหยุดชั่วครู่ ยิ้มเล็กน้อยและผีในตัวเธอก็พูดว่า "ไปซะ นักบุญยอร์จ"
เจ้าปีศาจเห็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย แต่มาเรียไม่ใช่ใครที่จะเอาชนะได้ง่าย. เธอเป็นแม่ที่รักลูกไม่ยอมทิ้งลูกเมื่อลูกได้รับความลำบาก. ผมคุกเข่าสวดภาวนาวอนขอพระเป็นเจ้าพร้อมน้ำตา. เพื่อนที่มาก็เช่นเดียวกัน
คุณพ่อกลับมา ถือกล่องบรรจุแผ่นศีลมหาสนิทจากพระแท่น และมายืนต่อหน้าเด็ก.
“จงมองดูกษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย" ท่านพูด "จงคุกเข่าเบื้องหน้าพระองค์"
"ไม่"
"เจ้าข้ารับใช้ที่ไม่เชื่อฟังและเป็นกบฏ , จงคุกเข่าลง" คุณพ่อพูดซ้ำ ขณะที่ชูแผ่นศีล
"มือสังหาร ไปจากข้าเสีย"
"นักบุญยอร์จ โปรดทำให้มันคุกเข่าลงด้วยเถิด"
เด็กคุกเข่าลง คุณพ่อบังคับให้เธอรับศีลมหาสนิท ท่านจะทรมานปีศาจที่สิงมาร์ทา. หลังจากรับศีล, ท่านหยิบพระคัมภีร์และอ่านพระคัมภีร์วิวรณ์ "แล้วปีศาจซึ่งล่อลวงมนุษย์ก็ถูกโยนเข้าไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่ซึ่งสัตว์ร้ายและประกาศกเท็จเทียมอยู่ในนั้น และพวกมันจะถูกทรมานตลอดวันคลอดคืนชั่วนิรันดร" ท่านสั่งให้มันพูดตามทุกคำพูด
"จงพูดตามข้า : เป็นการดีกว่าสำหรับข้าพเจ้าที่จะเดินตามแสงสว่าง"
"เป็นการดีกว่าสำหรับข้าพเจ้าที่จะเดินตามแสงสว่าง" ปีศาจพูดตามพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เหมือนกับครูสอนเด็กดื้อที่ไม่ยอมพูดตาม ต้องใช้เวลานานสำหรับแต่ละประโยคเช่น "พระเจ้าข้า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าเป็นสิ่งสร้างของพระองค์. ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือพระอำนาจของพระองค์. พระองค์ทรงเป็นอัลฟาและโอเมก้า"
"พอได้แล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว" เจ้าปีศาจครวญคราง
แต่คุณพ่อไม่ยอม ท่านนำที่นั่งมาและนั่งลงข้างๆเด็ก ถือไม้กางเขนพูดว่า "Hic est dies,"
"ยิ่งเจ้าอยู่นานเท่าไร ยิ่งมีคนมากขึ้นที่จะเชื่อพระเป็นเจ้า. เจ้าคือผู้ประกาศของพระเป็นเจ้า มาใกล้ๆ นั่งลงและจูบไม้กางเขนของพระคริสต์ จูบด้วยความเคารพและเทิดทูน"
มาร์ทาทำตามเหมือนผีดิบ. คุณพ่อโอบตัวเธอพาเธอไปที่พระแท่นและให้เธอจูบพระแท่นและรูปแม่พระ
"พระเป็นเจ้าประทับอยู่ที่นี่. จงพูดตามเจ็ดครั้ง Iesus, lux mundi." เด็กพูดตาม แต่เมื่อพูดครบ เธอก็จ้องมองเขม็งมาที่พระสงฆ์ "มือลอบสังหาร ปล่อยข้าไปเถอะ. ข้ารับอีกไม่ได้แล้ว" แต่พระสงฆ์ยังคงดำเนินการต่อไป
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป คุณพ่อขอพัก "ตาคุณบ้าง" ท่านพูดกับแม่เด็ก. และออกไปนอกโบสถ์ มารดาเริ่มทำต่อ "เจ้าต้องละทิ้งเด็กไป. อาศัยพระโลหิตของพระคริสตเจ้า, จงละทิ้งเด็กไปเดี๋ยวนี้ เทวดาอยู่กับเธอ. อัครเทวดาสามองค์กำลังมาแล้ว. แม่พระจะเหยียบขยี้หัวของเจ้า......."
เซบูลอนคำรามและยังไม่ยอมหนีไป. คุณพ่อกลับมาอีก
"เจ้าไม่กลัวอาญาโทษของพระเป็นเจ้าหรอกหรือ?"
"ข้ารู้ดีว่ามันคืออะไร" มันคำราม
อยู่กับปีศาจ
คุณพ่อหันมาหามารดา "มันไม่ยอมออกไป. วันนี้พอก่อนเถอะ" แล้วท่านเดินไปข้างนอก ผมมองเห็นสีหน้าผิดหวังของมาเรีย. เธอคุกเข่านานถึงสามชั่วโมง แต่ไม่มีสีหน้าอ่อนล้าเลย เธอหยิบกางเขนและรูปแม่พระขึ้นมาและเดินออกไปข้างนอก พวกเราจึงอยู่กับผีแต่เพียงลำพัง รู้สึกว่าหนึ่งวินาทีเหมือนกับนิรันดรกาลเลย.
พวกเรานั่งติดหนึบอยู่กับม้านั่ง. หายใจอย่างแผ่วเบา. ทันใด เด็กก็หันมาหาพวกเรา. เบิ่งตาจ้องมองถลึงมาที่พวกเรา (เราเห็นแต่นัยน์ตาสีขาวเท่านั้นตลอดเวลาสามชั่วโมง) ผมไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย เราจ้องมองไปที่เธอบ้าง เธอยิ้มให้กับเรา ค่อยๆยืนขึ้นและนั่งลงยองๆเพื่อถอดถุงเท้า ผมสังเกตว่าเธอไม่มีเหงื่อออกเลยตลอดเวลาสามชั่วโมง. เธอยิ้มมาให้เราอีกครั้งหนึ่ง
ผมถามเธอ "เธอเป็นไงบ้าง?"
"เหนื่อย"
"เธอรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"
"ไม่รู้ หนูจำอะไรไม่ได้" ขณะที่พูดกับเรา เธอบรรจงจูบที่ไม้กางเขนและรูปแม่พระ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอปฏิเสธ
"เธอเจ็บคอบ้างไหม?"
"ไม่เลย"
เสียงของเธอดูอ่อนโยนขึ้น. ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าลำคอเดียวกันนี้เคยส่งเสียงคำรามถึงสามชั่วโมง
" เธอรู้ไหมว่าทำไมจึงมาอยู่ที่นี่?"
"ใช่ค่ะ หนูรู้. หนูรู้ว่าหนูมี......"
เธอหยุดพูดและเราเคารพในการไม่พูดต่อของเธอ. พวกเราห้าคนออกไปนอกโบสถ์ ไปนั่งที่ห้องข้างๆ. มาร์ทาสงบลงแล้วเธอเป็นเด็กขี้อายเหมือนเดิม. "ทุกคืน" มาเรียพูด "ก่อนเข้านอน. ดิฉันจะถือไม้กางเขนไว้ไม้ห่างตัวเลย และอวยพรห้องของเรา "ในพระนามของพระเป็นเจ้า ปีศาจจงออกไปเสียจากห้องนี้. เธอจะถามดิฉันก่อนนอนเสมอว่า คุณแม่อวยพรห้องนี้แล้วหรือยัง? แม้กระนั้น เธอก็ยังกลัว. ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง มือของเธอกลายเป็นอุ้งเล็บแหลมและขย้ำไม้กางเขน เล็บของเธอเป็นเหมือนลิ่มแหลมพร้อมที่จะเจาะตาของดิฉัน โชคดีที่เธอไม่ทำ." ก่อนจากไป มาร์ทาขอร้องเรา "พระสังฆราชและประชาชนควรได้รับรู้เรื่องนี้. ควรมีพิธีการขับไล่ผีมากกว่านี้" แล้วเธอก็ขึ้นรถของคุณพ่อฟอร์ทีและจากไป มาร์ทาหันมามองพวกเรา นัยน์ตาเหมือนจะร้องไห้ คุณพ่อสัญญาว่าจะตามเรามาเมื่อเด็กเป็นอิสระแล้ว
ผมสวดภาวนาสำหรับมาร์ทาและมารดาของเธอ. สิ่งที่ผมเห็นเป็นพยานนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง
*********************************
Marta the Possessed: A sobering tale of exorcism
Reported by Jose Manuel Vidal
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น