วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เราต้องทำสุดความสามารถเพื่อให้ได้สวรรค์

 
 
ในจดหมายถึงชาวโรม (8: 28-30) นักบุญเปาโลบอกเราว่า “พระเจ้าทรงบันดาลให้ ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์” เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงมีความต้องการเหมือนกับพระประสงค์ของพระเจ้า เมื่อเรามีความคิดที่สอดคล้องกับพระเจ้าเช่นนี้และให้ลำดับความสำคัญที่เหมาะสมแล้ว, ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทาง เมื่อความต้องการของเราสอดคล้องกับพระประสงค์ขององค์พระผู้สร้างของเรา, ความต้องการของเราก็สอดคล้องกับสิ่งสร้างอื่นๆของพระองค์ด้วย หนังสือพงศ์กษัตริย์ 1 (1 พก. 3: 5, 7-12) ได้เล่าถึงเรื่องราวของกษัตริย์โซโลมอน ขณะที่ทรงครองราชย์ เป็นยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลแม้ว่าในช่วงหลายปีต่อมาพระองค์ได้ละทิ้งพระเจ้าและดำเนินชีวิตในบาป ด้วยเหตุนี้, พระเจ้าจึงไม่ประทานความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์โซโลมอนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม, ในเวลาที่กษัตริย์โซโลมอนยังอยู่ในวัยหนุ่ม, และเพิ่งขึ้นสู่บัลลังก์หลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ดาวิด, พระราชบิดา, โซโลมอนมีความตระหนักรู้ว่าสิ่งใดที่สำคัญจริงๆสำหรับพระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาติให้โซโลมอนวอนขอสิ่งใดก็ได้ โซโลมอนไม่ได้วอนขออำนาจหรือความมั่งคั่งหรือชัยชนะเหนือศัตรู แต่พระองค์วอนขอสติปัญญาที่จำเป็นสำหรับการรับใช้พระเจ้าและปกครองประชากรของพระองค์อย่างเหมาะสม คำตอบนี้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงประทานแก่โซโลมอนไม่เพียง แต่มีสติปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพระพรจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและสิ่งเหล่านี้จะเป็นของโซโลมอนตราบเท่าที่พระองค์ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า
 
พระพรฝ่ายโลก, ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งแน่นอนเสมอไป, แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของความโปรดปรานของพระเจ้า อย่างไรก็ตามในพระวรสารนักบุญมัทธิว (13: 44-52) พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า พระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือการได้เป็นสมาชิกในอาณาจักรสวรรค์ ไม่ว่าในโลกนี้, เราจะมีอำนาจ, มีความมั่งคั่ง, มีสถานะภาพ, หรือความสำเร็จยิ่งใหญ่สักเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็จะเลือนหายไปในที่สุด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้สิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ หรืออาจต้องยอมเสียสละสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คงอยู่นิรันดร
 
ในเมื่อเรามีโอกาสที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่มีมูลค่าสูงกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง การยอมปล่อยให้สูญเสียโอกาสนี้ไปจะเป็นเรื่องโง่เขลามากสักเพียงไร เช่นเดียวกับคนที่พบขุมทรัพย์ที่ถูกฝังไว้ในดิน หรือพ่อค้าที่พบไข่มุกชั้นดี มีหรือที่เขาจะเพิกเฉยหรือยอมเสียโอกาสซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้ไป พวกเขาจะไม่ยอมสูญเสียโอกาสนี้อย่างแน่นอน พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้เราตอบสนองต่อคำเชิญของพระองค์ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรของพระองค์ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเร่งด่วน, ความกตัญญู, และความยินดี
 
นักบุญยอห์น เวียนเนย์ เจ้าอาวาสแห่งอารส์ผู้ศักดิ์สิทธิ์( Cure d’Ars) เคยพูดกับสัตบุรุษของท่านว่า “พี่น้องที่รักของพ่อ, เราทุกคนต้องพยายามทำอย่างเต็มที่และดีที่สุดเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ ที่นั่นเราจะเห็นพระเจ้า และเราจะมีความสุขสักเพียงใด! เราทุกคนควรไปที่นั่นเป็นขบวนโดยมีคุณพ่อเจ้าอาวาสนำหน้า เราทุกคนต้องไปสวรรค์ ถ้าหากมีบางคนหลงออกนอกทางไป, มันจะทำให้ทุกอย่างพังหมด!” เมื่อมีสัตบุรุษบางคนต้องการพูดกับท่านในภายหลัง, นักบุญยอห์น เวียนเนย์จะให้เวลาพวกเขาสักสองสามนาที แต่ถ้าพวกเขาพูดคุยกับท่านนานเกินไปจนทำให้ท่านไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้ ท่านก็จะพูดกับพวกเขาว่า “เราสามารถคุยกันต่อได้บนสวรรค์” (Castle, Quotes & Anecdotes, 1st edition, p. 95) เรื่องราวนี้เป็นบทเรียนหรือข้อเตือนใจสำหรับเราถึง ความสำคัญของการได้ไปอยู่ในสวรรค์และการช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ไปสวรรค์ด้วย สิ่งนี้คือเหตุผลที่เรามาอยู่บนโลกนี้ ดังนั้น, เราต้องหลีกเลี่ยงการพูดคุยมากเกินไป, การทำงานมากเกินไป, การผ่อนคลายมากเกินไป หรือสิ่งอื่นใดที่จะรบกวนเป้าหมายนี้ เราต้องสร้างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบทางโลกระยะสั้นๆกับหน้าที่ฝ่ายวิญญาณที่สำคัญกว่าและต้องทำอย่างต่อเนื่องของเรา
 
ผมคิดว่ามีสามสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาไตร่ตรอง
 
ประการแรก, พระเจ้าต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ เราไม่มีสิทธิ์เพลิดเพลินกับสิ่งมหัศจรรย์ของสิ่งสร้างต่างๆของพระองค์ ถ้าหากเราไม่ยอมรับองค์พระผู้สร้างของเรา อย่างเช่น วันอาทิตย์ควรเป็นวันแห่งการพักผ่อนและเป็นช่วงเวลาสำหรับกิจกรรมครอบครัวหรือกิจกรรมที่สนุกสนาน แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อเราได้เข้าร่วมพิธีมิสซาและถวายการนมัสการด้วยความรักแด่พระเจ้าแล้วเท่านั้น มีหลายสิ่งที่เราต้องการและต้องการทำในแต่ละวัน แต่ถ้าเราไม่ใช้เวลาในการสวดภาวนาด้วย, ก็เท่ากับว่าเรากำลังใช้ชีวิตที่ล้มเหลวในพระเจ้าและในตัวเราเอง
 
ประการที่สองเราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ชีวิตบนโลกนี้เป็นเพียงชั่วคราว สวรรค์คือเป้าหมายของเราและวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราอาจจะเป็นวันสุดท้ายของเราก็ได้ ถ้าหากเราระลึกถึงสิ่งนี้เสมอ เราจะไม่ตื่นเต้นหรือภูมิใจกับความสำเร็จของเรามากเกินไป หรือเสียใจหรือหดหู่กับความล้มเหลวของเรามากเกินไป การดำเนินชีวิตโดยมีจุดประสงค์ฝ่ายวิญญาณที่สูงขึ้นจะช่วยให้เรามีมุมมองที่เหมาะสม และที่สำคัญกว่านั้นคือช่วยให้เราพร้อมรับความตายทุกเมื่อ
 
ประการที่สามเราควรอุทิศโครงการทางโลกและกิจกรรมประจำวันทั้งหมดของเรา โดยถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระเจ้า และทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อพระเกียรติของพระองค์ เราควรสวดวอนขอพระพรจากพระองค์สำหรับกิจการต่างๆเหล่านั้น พระเจ้าทรงสนพระทัยในทุกสิ่งที่เรากำลังทำและพระองค์ต้องการอยู่กับเราไม่เฉพาะแต่ในวันอาทิตย์เท่านั้น แต่ตลอดทั้งสัปดาห์ การพูดคุยกับพระเจ้าอย่างเงียบๆ ตลอดทั้งวัน, การถวายผลงานและประสบการณ์ทั้งหมดของเราแด่พระองค์และการแสวงหาการนำทางของพระองค์ในการตัดสินใจที่สำคัญๆ, เป็นวิธีการที่ช้า แต่จะเปลี่ยนชีวิตให้เป็นแหล่งพระหรรษทานและพระพรที่ต่อเนื่องสำหรับตัวเราและคนรอบข้าง
 
สวรรค์นั้นวิเศษยอดเยี่ยมเกินกว่าที่เราจะเข้าใจหรือจินตนาการได้ และมันก็คุ้มค่ากับความพยายามหรือความเสียสละของเรา พระเยซูเจ้าทรงประทานของขวัญอันประเสริฐที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล แต่ขึ้นอยู่กับเราที่จะยอมรับหรือไม่ ขอให้สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับเรา และขอให้คำภาวนาและแบบอย่างที่ดีของเราเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นตัดสินใจเลือกเช่นเดียวกับเรา
 
                                    ***************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น