วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เกิดอะไรขึ้นกับโปแลนด์?

โซรอสและสหภาพยุโรปกำลังประกาศสงครามกับพระศาสนจักรคาทอลิกในโปแลนด์
รายงานโดย Stephen Browne
October 28, 2020
 
 
หลายๆคนที่อยู่นอกไอร์แลนด์รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากเกี่ยวกับความศรัทธาในศาสนาที่ลดน้อยลงของชาวไอริช ทั้งๆที่หลายศตวรรษที่ผ่านมาเคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผู้คนมีความศรัทธาเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกันความคิดแบบเสรีนิยมกลับเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศนี้ จึงมีคำถามกันว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับไอร์แลนด์’?
 
ในสัปดาห์นี้, คำถามเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นอีก นั่นคือ "เกิดอะไรขึ้นกับโปแลนด์?"
 
ข้อสรุปที่ได้อย่างรวดเร็วก็คือ, ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา,อิทธิพลทุนนิยมตะวันตกที่มุ่งร้ายมาพร้อมกับความโกรธจากภายนอกกำลังโหมโจมตีโปแลนด์อย่างหนัก ความโกรธดังกล่าวมาจากสหภาพยุโรป, ที่ดูเหมือนจะโกรธแค้นใครบางคนในโปแลนด์, ที่กำลังเตือนชาวยุโรปว่า ชาติของพวกเขาเป็นอย่างไรก่อนที่จะมีการแพร่กระจายของลัทธิฆราวาสนิยมและการอพยพย้ายถิ่นฐานจำนวนมากของผู้คนในยุโรป(จากประเทศหนึ่งไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง) ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับไอร์แลนด์ ต้นเหตุสำคัญในการสร้างความโกรธนี้คือชายคนหนึ่งที่ชื่อ จอร์จ โซรอส (George Soros) ถึงแม้ว่าฝ่ายซ้ายจะดูหมิ่นโซรอสตามความคิดของคนต่อต้านยิว(AntiSemitic)แต่ก็มีหลักฐานที่หักล้างไม่ได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไอร์แลนด์และโปแลนด์
 
ปัญหาที่เรากำลังสังเกตอยู่ในโปแลนด์เริ่มขึ้นเมื่อสามเดือนที่แล้ว หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีอังเดรจ ดูดา (Andrej Duda) ประธานาธิบดีคาทอลิกซึ่งได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง, ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับฝ่ายซ้ายทั่วโลก โดยมีภาพของเขาไปเยี่ยมอาสนวิหารคาทอลิกและรับศีลมหาสนิทด้วยปากโดยคุกเข่าลง, ยิ่งทำให้เพิ่มความโกรธมากขึ้น นักข่าวต่างประเทศพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบ่อนทำลายชัยชนะของเขา หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนเสียใจในการที่เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้เขียนว่า เป็นการ "มอบประชานิยมให้เป็นอิสระ"สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า "ประธานาธิบดีดูดา ผู้เป็นชาวโปแลนด์อนุรักษ์นิยม, ได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งและมีแนวโน้มที่จะเกิดความแตกแยกในสหภาพยุโรปมากขึ้น"มีการจัดเวทีอภิปราย, ในโปแลนด์มีกลุ่มหัวรุนแรงและประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องออกมาพูด
 
 
ประธานาธิบดี อังเดรจ ดูดา ผู้เป็นคริสตชนคาทอลิกใจศรัทธา
 
หลายคนระบุไปที่การเดินขบวนประท้วงในเดือนกรกฎาคมเพื่อต่อต้านสิ่งที่เรียกว่า "LGBT Free Zones" (เขตปลอด LGBT) เป็นก้าวสำคัญของภัยคุกคามต่อโครงสร้างสังคมของโปแลนด์ แต่ชายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญนั้นได้สร้างความขัดแย้งยิ่งขึ้นในเดือนสิงหาคม เขาคือ จอร์จ โซรอส, โดยเขาให้สัมภาษณ์ที่น่ารังเกียจและก้าวร้าวกับหนังสือพิมพ์ Nepsava ที่เป็นของฝ่ายค้านฮังการี,โดยระบุว่าโปแลนด์และฮังการีเป็น "ศัตรูภายใน" ของสหภาพยุโรป โซรอสตั้งชื่อให้ Viktor Orbanและ Jaroslaw Kaczynskiว่าเป็นศัตรูและยังกล่าวอีกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยได้ 'ยึดครองรัฐของพวกเขา'มหาเศรษฐีชาวฮังการีที่ถูกโค่น(โซรอส) ระบุว่าทั้งโปแลนด์และฮังการีจะต้องถูกเผชิญหน้า, เนื่องจากการปกครองมุ่งเน้นไปที่ศาสนา, ครอบครัว, และประเพณี, ที่จะเป็นสาเหตุทำให้เศรษฐกิจทางโลกของยุโรปตะวันตกเริ่มลงสู่เหว และสูญเสียไปเปล่าๆ นอกจากนี้โซรอสยังตั้งข้อสังเกตว่าอิตาลีเริ่มไม่แยแสกับการว่างงานจำนวนมากของเยาวชนและมีการต่อต้านการกำเนิดของยุโรปสมัยใหม่ วิธีแก้ปัญหาแบบโซรอสก็คือ, เพียงแค่ทุ่มเงินเล็กน้อยเพื่อทำให้นักการเมืองเหล่านั้นอยู่เงียบๆ
 
ไม่กี่วันก่อนที่จะมีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ของโซรอส, แผนปฏิบัติการของโซรอสก็ถูกดำเนินการไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม, กลุ่มคน "ข้ามเพศ"จำนวนหนึ่งได้ปีนขึ้นไปบนรูปปั้นพระเยซูคริสต์ในกรุงวอร์ซอของโปแลนด์และวางธงสีรุ้งบนรูปปั้นของพระคริสต์ อีกทั้งทำลายศาสนสถานคาทอลิกหลายแห่ง, รวมถึงรูปปั้นของพระสันตปาปาจอห์นปอลที่ 2 ด้วย ความรุนแรงทวีขึ้นอย่างรวดเร็วจากทฤษฎีสมคบคิดที่เกิดขึ้นในเยอรมนี, ที่ไม่พอใจกฏหมาย "LGBT Free Zones" ซึ่งเป็นโซนที่ห้ามการปลูกฝังเรื่องเพศกับเด็กน้อยในโรงเรียน ผู้ประท้วงหลายคนที่มาจากเยอรมนีปรากฏตัวที่โบสถ์ต่างๆในโปแลนด์เช่น Capuchin Friary ใน Lublin กลุ่มผู้ประท้วงastroturfed ได้เดินแยกตัวออกจากสถานที่สักการะบูชาเพื่อการประท้วง และสื่อนานาชาติก็ปฏิเสธที่จะประณาม
 
 
เหตุการณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ดูเหมือนว่าเกิดขึ้นเอง แต่มันไม่ใช่ โซรอสพยายามทำร้ายประชาธิปไตยและวัฒนธรรมของโปแลนด์, เป็นกลยุทธ์ระยะยาว, หนึ่งในสื่อที่ใหญ่ที่สุดผู้สนับสนุนเหตุการณ์ astro turf ในโปแลนด์, คือหนังสือพิมพ์รายวัน Gazeta Wyborcza ในปี 2016 กองทุนพัฒนาสื่อของโซรอสได้ซื้อหุ้นใน Agora ซึ่งเป็นผู้จัดพิมพ์ของ Gazeta Wyborcza หน้าแรกในโฮมเพจของ Gazeta Wyborcza เต็มไปด้วยคำชมสำหรับการเดินขบวนประท้วงกฏหมายการทำแท้งของโปแลนด์(ไม่อนุญาตให้มีการทำแท้ง) ที่กระทำตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โซรอสยังได้พุ่งเป้าหมายไปที่สื่อวิทยุด้วย ในปี 2019 เขาได้เข้าครอบครองสถานีวิทยุ Radio Zet ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโปแลนด์ เขาทำสิ่งนี้โดยให้ Agora ซื้อสถานี 40% ในขณะที่กลุ่ม SFS VENTURES ของเขาซื้ออีก 60% เมื่อไม่นานมานี้ในปี 2019 โซรอสได้ลงทุนอย่างหนักในกลุ่มนักเคลื่อนไหวหัวเอียงซ้ายสุดขอบ Batory Foundationเพื่อมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งของโปแลนด์
 
ในส่วนของสหภาพยุโรป, พวกเขาได้ผลักดันให้โซรอสกลับมาเพื่อใช้ความพยายามที่จะบ่อนทำลายสื่อโปแลนด์อันเป็นการตอบสนองความต้องการของพวกเขาเอง หลังจากมีการผ่านกฎหมายการทำแท้งของโปแลนด์ ในปี 2015เพื่อให้แน่ใจว่านักข่าวต่อต้านโปแลนด์ที่ภักดีต่อกองกำลังภายนอกจะไม่ไปทำงานให้กับสื่อของรัฐและเลือกที่จะ"รักษาประเพณีของชาติ, ค่านิยมความรักชาติ,และคุณค่าของคริสตศาสนา, และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนแห่งชาติ'' สหภาพยุโรปจึงตอบโต้ด้วยความโกรธ Günther Oettinger ผู้อำนวยการเศรษฐกิจดิจิทัลของยุโรป, ได้ประณามกฎหมายดังกล่าวอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อกดดันชาวโปแลนด์, ทั้งขู่ว่าจะคว่ำบาตรชาวโปแลนด์อีกด้วย
 
แรงกดดันจากสื่อในโปแลนด์เผยให้เห็นความคล้ายคลึงกันหลายประการกับสถานการณ์ของไอร์แลนด์ 3ใน 4 ของสื่อโปแลนด์เป็นของชาวเยอรมัน นี่เป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับของไอร์แลนด์, ซึ่งสื่อจำนวนมากเป็นของอังกฤษที่ปลอมตัวเป็นชาวไอริช, หรือมิฉะนั้นประชาชนก็จะได้รับข่าวสารโดยตรงจากสื่อของอังกฤษเช่น Sky News, The Daily Mail หรือ BBC จากหนังสือพิมพ์รายวัน 19 ฉบับในเยอรมนี, เป็นหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ 9 ฉบับและเป็นภาษาโปแลนด์ 10 ฉบับ ดังที่เคยเกิดขึ้นในไอร์แลนด์ขณะนี้โปแลนด์กำลังประสบปัญหาการปลุกปั่นยุยงจากต่างชาติที่กระทำต่อเยาวชนโปแลนด์ โดยที่เยาวชนเกิดกระแสนิยมความเป็นอเมริกันและคุ้นเคยกับโลกาภิวัตน์มากเกินไป, จนไม่สามารถสังเกตุแยกแยะความแปลกแยกแตกต่างจากวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของตนเอง เยาวชนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสื่อไปโดยปริยาย .
 
เมื่อมีการเคลื่อนไหวเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว, การเดินขบวนประท้วงของกลุ่มหลากหลายทางเพศ LGBT ก็ถูกจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าหดหู่ที่สุดของโปแลนด์ตามที่เราเห็นในตอนนี้ คนหนุ่มสาวถูกรวมตัวกันบนโซเชียลมีเดีย, สามัญชนตกเป็นเป้าหมายในสื่อรายวันและการสนับสนุนจากต่างประเทศโดยอาศัยเซเลป(ดาราดัง)หลายคน ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ บริษัทในเครือระหว่างประเทศหลายแห่งของโซรอสสามารถกระตุ้นให้เกิดความเห็นอกเห็นใจจากนักการเมืองต่างชาติ, ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มเข้าข้างสหภาพยุโรป( EU lackies) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไอร์แลนด์ ตัวอย่างเช่น Fiona O’Loughlin จากพรรค Fianna Fail เป็นหนึ่งในนักการเมืองชาวไอริช, นักการเมืองหลายสิบคนที่ออกแถลงการณ์ประณามวัฒนธรรมดั้งเดิมของโปแลนด์ในนามของสหภาพยุโรปเป็นประจำ ในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคม O’Loughlin ระบุว่า:
 
“การลงประชามติเรื่องการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันในปี 2015 เป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติของเรา และแสดงให้เห็นว่ารัฐให้ความสำคัญกับพลเมืองทุกคนโดยไม่คำนึงถึงอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา แต่เมื่อมองดูบางประเทศในยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปแลนด์และฮังการีการแสดงอาการกลัวการรักร่วมเพศอย่างเปิดเผยและเป็นทางการดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
 
“นี่เป็นปัญหาของยุโรป เสรีภาพในการเดินทางอย่างปลอดภัยของผู้คนทั่วสหภาพยุโรปเป็นสิ่งสำคัญยิ่งและต้องได้รับการคุ้มครอง ความจริงที่ว่ามีแผนที่ของพื้นที่สำหรับกลุ่ม LGBT + พื้นที่ ‘ไม่ไป’ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้และจำเป็นต้องเรียกร้องให้ยกเลิกการเลือกปฏิบัติอย่างโจ่งแจ้ง
 
“รัฐสภายุโรปและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชาวไอริชของเราควรให้ความสำคัญกับความพยายามทางการทูตของพวกเขาในการจัดการกับโรคกลัวพวกรักร่วมเพศ เราไม่สามารถเป็นเพียงคนที่ยืนนิ่งเฉยได้เมื่อโรคกลัวเพศทางเลือกอาละวาดยังคงอยู่ในเขตแดนของเรา” เธอกล่าวสรุป
 
ในสหรัฐอเมริกา, โจ ไบเด็น(Joe Biden) อ้างคำพูดของกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป, นาง Dunja Mijatovic, ระบุเมื่อวันที่ 21 กันยายนว่า "เขตปลอด LGBT ไม่อาจมีในที่ใดในสหภาพยุโรปหรือที่ใดในโลก"สันนิษฐานว่าเขาไม่ได้หมายถึงประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม
 
ข้อความในทวีตนั้นได้นำเราไปสู่นายโซรอสและนางมิจาโตวิช, ลูกสมุนของเขา มิจาโตวิชไม่ใช่กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปคนแรกที่เกี่ยวข้องกับโซรอสและกลุ่มของเขา, นายNils Muižnieksกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปคนก่อนหน้าก็ได้กล่าวไว้เมื่อปี 2017 ว่าไอร์แลนด์จำเป็นต้องปรับใช้กฎหมายการทำแท้งให้สอดคล้องกับของอังกฤษมากขึ้น Nils Muižnieksเป็นอดีตกรรมการของมูลนิธิโซรอส, ปีก่อนหน้านี้คือในปี 2016 เขาไปเยี่ยมไอร์แลนด์เพื่อล็อบบี้เรื่องการทำแท้งกับองค์กรNGOsที่อยู่ที่นี่ ต่อจากนั้นเงินของโซรอสก็ไหลไปท่วมไอร์แลนด์,ซึ่งเป็นการทำผิดกฎการเลือกตั้ง แต่เขาก็หนีไปได้เนื่องจากไอร์แลนด์ไม่มีคณะกรรมการการเลือกตั้งอิสระที่สามารถบังคับใช้บทลงโทษได้ นาง Dunja Mijatovic เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการในปี 2018 และก็ยังทำงานในลักษณะเดิม, แต่ว่าคราวนี้มุ่งเป้าไปที่โปแลนด์มากกว่าไอร์แลนด์ นาง Mijatovic เขียนบทความให้กับเว็บไซต์ Open Democracy ของ Soros และแทบทุกวันจะใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแชร์โฆษณาชวนเชื่อจากเว็บไซต์นี้ บางเรื่องค่อนข้างอุบาทว์และเปิดเผยมาก ในบทความเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมของปีนี้ Mijatovic แสดงรูปภาพมือของเธอ, และกล่าวว่ามาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ Covid 19 จะเป็นโอกาสในการขยายกฎหมายการทำแท้งไปทั่วยุโรป เธอจงใจที่จะแยกโปแลนด์ออกจากยุโรป:
 
“น่าเสียใจที่ในโปแลนด์สภาล่างของรัฐสภาเมื่อเร็วๆนี้ล้มเหลวในการร่างกฎหมายที่จะ กำจัดการเข้าถึงการทำแท้ง, โดยให้เก็บไว้พิจารณาเพิ่มเติมภายหลัง นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่น่าเป็นห่วงของกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ใช้การระบาดของโควิด-19 เป็นโอกาสในการเรียกร้องให้มีการยกเลิกสิทธิทางสุขภาพและสิทธิทางเพศและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง”
 
นาง Mijatovic ได้แสดงความคิดเห็นในเดือนสิงหาคม, ก่อนมีการขยายตัวของความรุนแรงและเธอไม่เคยประณามเมื่อเกิดการโจมตีชาวคาทอลิกขึ้น และไม่ประณามการโจมตีโบสถ์อย่างรุนแรง, เธอไม่ได้เรียกร้องให้คืนความสงบ แต่กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง บทความอื่นๆของเธอในเว็บไซต์ Open Democracy เกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศเซร์เบร์นิกา(Srebrenica), เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของโรมา, และการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว(Holocaust) เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ Mijatovic จุดชนวนให้เกิดขึ้น และทำให้โบสถ์ต่างๆถูกทุบทำลาย, พระสงฆ์ถูกโจมตี, และผู้มาร่วมพิธีมิสซาตกเป็นเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้นั้นใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เราเคยเห็นในยุโรปตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 ในบทความหนึ่งเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว(Holocaust) นาง Mijatovic ใช้คำพูดที่ดูดีโดยกล่าวว่า:
 
“ผู้นำทางการเมืองมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้มีโมหะคติต่อกันและการใช้คำพูดแสดงความเกลียดชังต่อกัน ดังนั้นฉันจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐทั้งหมดเพิ่มความพยายามในการต่อสู้กับลัทธิต่อต้านยิวและการเหยียดเชื้อชาติทุกรูปแบบ, การกลัวชาวต่างชาติ, และการไม่ยอมรับกันและกัน ฉันเรียกร้องให้พวกเขาลงทุนด้านการศึกษามากขึ้นเพื่อช่วยให้คนรุ่นปัจจุบันและอนาคตเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อยอมให้อคติและความเกลียดชังเจริญงอกงาม ฉันเรียกร้องให้พวกเขาเป็นแกนนำที่มองเห็นได้และมีประสิทธิภาพในการต่อต้านผู้ที่ปลูกฝังความเกลียดชัง”
 
แล้วชาวคาทอลิกจะถูกละเว้นจากการถูกเกลียดชังหรือ? จะได้รับการยกเว้นจากความทุกข์เพราะโมหะคติหรือ?
 
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา, ขบวนการ astroturfing ของโซรอสเริ่มมีความชัดเจนขึ้น เหมือนกับที่เคยทำในไอร์แลนด์ ในปี 2018 เหตุการณ์ "การประท้วงของผู้หญิง"ถูกจัดขึ้นโดยสหภาพ coopted trade unions และเช่นเดียวกับที่ทำในไอร์แลนด์, ในปี 2018 พวกเขาใช้สัญลักษณ์สายฟ้าแบบเดียวกันดังที่เห็นด้านล่าง
 
 
การประท้วงล่าสุดในโปแลนด์ได้รับการจุดชนวนจากประเด็นเดียวคือเพื่อกระตุ้นให้มีการพิจารณาในเรื่องการทำแท้งทารกพิการอย่างผิดกฎหมาย ในไอร์แลนด์ปัญหาสองประการที่ตอกย้ำเรื่องนี้ก็คือการเสียชีวิตของนาง Savita จากการติดเชื้อแบคทีเรีย (แม้ว่ากฎหมายจะคุ้มครองเธอ) และมีการกล่าวหาว่ามีการฝังศพทารก 800 คนในถังบำบัดน้ำเสียใน Tuam (แต่ไม่ได้รับการพิสูจน์) ในโปแลนด์คือการสมคบคิดในเรื่อง “เขตปลอด LGBT” และตอนนี้ยังมีเรื่องการให้สิทธิเด็กพิการที่จะเกิดมาเป็นประเด็นของการชุมนุมแล้ว จุดจบในเกมส์ของโซรอสจะเป็นอย่างไร?
 
ในรายงานปี 2019 ของ Dunja Mijatovic ในฐานะผู้อำนวยการ, ในหน้าเวปไซต์มีลักษณะคล้ายจดหมายรักถึงโซรอสมากกว่าการพูดถึงบทบาทที่เธอได้รับมอบหมาย เช่นเดียวกับที่เธอประณามอย่างเปิดเผยต่อกฏหมายหยุดยั้งโซรอส(Stop Soros Bill)ของฮังการี, ด้วยความไร้ยางอาย, Mijatovic ใช้เอกสารของเธอเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ประเทศที่ต่อต้านการแทรกแซงของโซรอส
 
“คณะกรรมาธิการ(Commissioner)ตั้งข้อสังเกตว่า, การต่อต้านผู้อพยพย้ายถิ่นของรัฐบาลฮังการีทำให้จอร์จ โซรอสผู้ใจบุญ, ในฐานะผู้สนับสนุนการอพยพย้ายถิ่น, ถูกป้ายสีตกแต่งให้มีรูปลักษณ์ที่บิดเบี้ยวไป รัฐบาลฮังการีให้การสนับสนุนในการรณรงค์ด้วยป้ายโฆษณาและสื่อในฮังการี สมาพันธ์ชาวยิวในฮังการีชี้ให้เห็นว่าการรณรงค์ต่อต้านโซรอสดังกล่าวอาจจุดชนวนให้เกิดการต่อต้านยิวขึ้น”
 
ความเจ้าเล่ห์อย่างป่าเถื่อนนี้, เป็นต้นเหตุทำให้โบสถ์ถูกโจมตีในขณะที่นาง Mijatovic กล่าวเสียใจในการที่โซรอส ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เธอกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการต่อต้านยิว, เธอแสดงรูปภาพมือของเธอและกล่าวข้อความข้างต้น เธอบอกว่าไม่เห็นมีอะไรผิดปกติที่โซรอสจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยของฮังการีและยังแสดงความเสียใจที่โซรอสถูกบังคับให้ย้ายสำนักงานในบูดาเปสต์ไปที่เบอร์ลิน
 
วันที่ 12 เมษายน 2018 นิตยสารรายสัปดาห์Figyelőได้เผยแพร่บทความ “The Speculator’s People” ซึ่งประกอบด้วยรายชื่อบุคคลประมาณ 200 คนที่ถูกกล่าวหาว่าทำงานให้กับองค์การของโซรอส(“Soros organisations”.) รายชื่อดังกล่าวมีชื่อของนักวิชาการหลายคนของ CEU และสมาชิกขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านคอร์รัปชั่น, รวมถึงคณะกรรมการฮังการีเฮลซิงกิ, แอมนาสตี้สากลฮังการี, สหภาพเสรีภาพพลเมืองของฮังการี, สภาความโปร่งใสระหว่างประเทศของฮังการีและ K-Monitor, และเจ้าหน้าที่NGOs ที่ทำงานร่วมกับ Roma และผู้อพยพย้ายถิ่น . จอร์จ โซรอสผู้ใจบุญได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐบาลในการรณรงค์โฆษณาในสื่อต่างๆในฮังการี มูลนิธิ Open Society Foundations ที่ก่อตั้งโดย Soros ได้ปิดสำนักงานในบูดาเปสต์ในเดือนสิงหาคม 2018 และย้ายไปที่เบอร์ลิน
 
ฮังการีและโปแลนด์ต่อต้านมาตรการอพยพย้ายถิ่นของสหภาพยุโรปด้วยเหตุผลง่ายๆคือ ฮังการีและโปแลนด์มีอัตราการทำแท้งที่ค่อนข้างต่ำ, หมายความว่าประชาชนไม่ต้องการการทำแท้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮังการีได้ปลูกฝังสังคมที่แพร่หลายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ครอบครัวที่ให้กำเนิดลูก จากนโยบายเหล่านี้ฮังการีมีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้น 0.67% ในปี 2020 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซรอสระบุว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา, เนื่องจากทำให้สองประเทศนี้ต่อต้านนโยบายการย้ายถิ่นฐานของโซรอสเอง, ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นหลักการพื้นฐานของสหภาพยุโรป การย้ายถิ่นฐานอย่างเสรีเป็นการอพยพย้ายถิ่นของชาวยุโรปเอง, ไม่ใช่การอพยพจำนวนมากของคนที่ไม่ใช่ชาวยุโรป ในช่วงเวลาที่อัตราการเกิดในยุโรปลดลง บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ The Guardian เขียนเกี่ยวกับแนวทางของโปแลนด์และฮังการีโดยระบุว่าการอพยพชาวโปแลนด์จำนวนมากนับตั้งแต่เข้าร่วมสหภาพยุโรปส่งผลต่ออัตราการเกิดของพวกเขา เมื่อเทียบกับฮังการี, อัตราการเกิดของไอร์แลนด์เป็นการ anti National ideals ของโซรอสและบุคคลอื่นๆ, ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอัตราการเกิดและทำให้ประเทศในยุโรปเป็นหน่วยเศรษฐกิจที่ไม่ดีขึ้น, โดยลดลง 24% ใน 5 ปีหลังจากอัตราการทำแท้งเพิ่มขึ้น, จากตัวเลขหลักเดียวเป็น 6,666 ในปี 2019 สื่อในยุโรปได้ระบุเมื่อเร็วๆนี้ว่าการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆเกี่ยวกับการลดลงของประชากรในยุโรปเป็นเพราะการสมคบคิดที่เรียกว่า Great Replacement Theory ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติและแม้แต่ต่อต้านยิวด้วย พวกเขาไม่เคยยอมรับความจริงในเรื่องนี้ แม้แต่พระสันตะปาปาฟรังซิสและพระคาร์ดินัลซาราห์ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราการเกิดที่ต่ำในยุโรป
 
เมื่อไม่นานมานี้, พระสันตปาปาฟรังซิสทรงออกสมณลิขิต Fratelli Tutti ประณามความคิดของโซรอสและของคนอื่นๆที่นำไปสู่อัตราการเกิดที่ลดลงและพยายามเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นหน่วยทางเศรษฐกิจแทนที่จะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่ส่งเสริมครอบครัวและความเชื่อ
 
[19] การลดลงของอัตราการเกิดซึ่งนำไปสู่ยุคผู้สูงวัยในประเทศ, พร้อมกับการผลักไสผู้สูงอายุไปสู่ความโดดเดี่ยวและชีวิตความเป็นอยู่ที่น่าเศร้า, นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา, ความกังวลของแต่ละบุคคลคือสิ่งที่สำคัญ
 
[12] "การเปิดโลกกว้าง"(“Opening up to the world”) เป็นสำนวนที่เกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจและการเงิน, และปัจจุบันใช้เฉพาะในการเปิดกว้างต่อผลประโยชน์จากต่างประเทศหรือเสรีภาพของอำนาจทางเศรษฐกิจในการลงทุนโดยไม่มีอุปสรรคหรือความยุ่งยากในทุกประเทศ ความขัดแย้งในท้องถิ่นและการเพิกเฉยต่อผลประโยชน์ส่วนรวมถูกเอาเปรียบจากเศรษฐกิจโลกเพื่อกำหนดรูปแบบวัฒนธรรมเดียว วัฒนธรรมนี้ทำให้โลกเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่แบ่งบุคคลและประเทศชาติเพราะ“เมื่อสังคมกลายเป็นโลกาภิวัตน์มากขึ้นเรื่อยๆ, มันทำให้เราเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่ไม่ได้ทำให้เราเป็นพี่น้องกัน” [9] เราอยู่คนเดียวมากขึ้นกว่าเดิมในโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น, ซึ่งส่งเสริมผลประโยชน์ส่วนบุคคลและทำให้มิติชีวิตของชุมชนอ่อนแอลง มีตลาดที่บุคคลทั่วไปกลายเป็นเพียงผู้บริโภคหรือผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ตามกฎแล้วความก้าวหน้าของโลกาภิวัตน์ประเภทนี้เสริมสร้างอัตลักษณ์ของผู้ที่มีอำนาจมากกว่าซึ่งสามารถปกป้องตนเองได้ แต่มีแนวโน้มที่จะลดทอนอัตลักษณ์ของภูมิภาคที่อ่อนแอและยากจน ทำให้พวกเขาอ่อนแอลงและต้องพึ่งพาพวกเขามากขึ้น ด้วยวิธีนี้ชีวิตทางการเมืองจะเปราะบางมากขึ้นเมื่อเผชิญกับอำนาจทางเศรษฐกิจข้ามชาติที่ดำเนินการด้วยหลักการ "แบ่งแยกและพิชิต"
 
100. ข้าพเจ้าไม่ได้ประสงค์ลัทธิสากลนิยมนามธรรมและระบบเชิงเผด็จการ, ที่ประดิษฐ์หรือมีการวางแผนโดยกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่นำเสนอความคิดของพวกเขาเพื่อแบ่งระดับชนชั้นประชาชน, เข้าครอบงำและปล้นสะดม โลกาภิวัตน์รูปแบบเดียว,ในความเป็นจริง “มีเป้าหมายทำให้เกิดความเหมือนและเท่าเทียมกันในมิติเดียวและพยายามขจัดความแตกต่างและประเพณีทั้งหมด เพียงเพื่อแสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวกันแบบผิวเผิน…หากโลกาภิวัตน์บางประเภทอ้างว่าทำให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกันเพื่อแบ่งแยกชนชั้นของคนทุกคนออกเป็นกลุ่ม โลกาภิวัตน์ประเภทนั้นจะทำลาย พระพรมากมายและทำลายเอกลักษณ์ของแต่ละคน”. [78] ความเป็นสากลที่ผิดพลาดนี้ลงเอยด้วยการพรากโลกแห่งสีสันอันหลากหลาย,ความสวยงาม,และความเป็นมนุษย์ เพราะ“อนาคตไม่ใช่สีขาวดำ, หากเรากล้าหาญเราสามารถพิจารณาได้ถึงความแตกต่างและความหลากหลายของสิ่งที่แต่ละคนมี , ครอบครัวมนุษย์ของเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์และสันติสุขโดยที่เราทุกคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน!” [79]
 
105. ปัจเจกนิยมไม่ได้ทำให้เรามีอิสระมากขึ้น, เท่าเทียมกันมากขึ้น, และเป็นพี่น้องกันมากขึ้น ผลรวมของผลประโยชน์ส่วนบุคคลไม่สามารถสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับครอบครัวมนุษย์ทั้งหมดได้ และไม่สามารถช่วยเราให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วยมากมายที่เพิ่มขึ้นในระดับโลก ลัทธิปัจเจกชนหัวรุนแรงเป็นไวรัสที่กำจัดยากมาก, เพราะมันฉลาด มันทำให้เราเชื่อว่าทุกสิ่งประกอบไปด้วยการให้อิสระแก่ความทะเยอทะยานของเราเอง, ราวกับว่าการทำตามความทะเยอทะยานที่มากขึ้นเรื่อยๆและการสร้างตาข่ายนิรภัย, เราจะทำให้บังเกิดผลประโยชน์ร่วมกัน
 
38. น่าเศร้าที่บางคน“ถูกดึงดูดโดยวัฒนธรรมตะวันตก, บางครั้งก็มีความคาดหวังที่ไม่มีทางเป็นจริงซึ่งทำให้พวกเขาผิดหวังอย่างมาก ผู้ค้ามนุษย์ที่ไร้ศีลธรรมซึ่งมักเชื่อมโยงกับแก๊งค้ายาเสพติดหรือแก๊งค้าอาวุธ, ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของแรงงานข้ามชาติซึ่งมักประสบกับความรุนแรงจากการค้ามนุษย์, จากการทำร้ายจิตใจและร่างกาย, และความทุกข์ทรมานอย่างบอกไม่ถูกในระหว่างเดินทาง” [37] คนเหล่านั้นที่เป็นผู้อพยพ “ประสบกับการพลัดพรากจากถิ่นกำเนิดและมักจะถูกถอนรากถอนโคนทางวัฒนธรรมและศาสนาด้วย ชุมชนที่พวกเขาทิ้งไว้ข้างหลังจะรู้สึกถึงการแตกเป็นเสี่ยงๆ สูญเสียองค์ประกอบที่เข้มแข็งและความกล้าหาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือครอบครัว, เมื่อพ่อแม่คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนย้ายถิ่นฐานและทิ้งลูกๆไว้ในประเทศต้นทาง” [38] ด้วยเหตุผลนี้“จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยืนยันอีกครั้งถึงสิทธิที่จะไม่อพยพนั่นคือการยังคงอยู่ในบ้านเกิดของตนเอง” [39]
 
41. ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าบางคนลังเลและหวาดกลัวเกี่ยวกับผู้อพยพ ข้าพเจ้าพิจารณาว่าส่วนนี้เป็นสัญชาตญาณการป้องกันตัวตามธรรมชาติของเรา
 
ความรุนแรงในโปแลนด์มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น, อันเนื่องมาจากการสนับสนุนของบริษัททำแท้งนานาชาติหลายแห่ง, สหภาพยุโรป, คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป, และสื่อในเครือของจอร์จ โซรอสหลายแห่ง, ทำให้เกิดแรงกดดันต่อโปแลนด์ เราได้เห็นสิ่งนี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาโดยโซรอสเชื่อมโยงแคมเปญการทำแท้งของชาวไอริชที่ล้อเลียนการโจมตีบ้านของอาร์คบิชอปแห่งรอกลอว์(Archbishop of Wroclaw)
 
 
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มแปลกปลอมเหล่านี้ในโปแลนด์คือการใช้สัญลักษณ์สากลและกลวิธีเพื่อโน้มน้าวผู้คนในโปแลนด์ว่านี่คือหนทางที่โลกกำลังดำเนินไปและพวกเขาจะล้าสมัยหากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม, เหมือนเช่นผู้ที่แต่งตัวเหมือนตัวละครจากรายการทีวีอเมริกัน
 
 
แต่โปแลนด์ยังมีโชคดีที่ไอร์แลนด์ไม่มี, ในโปแลนด์พวกเขามีทั้งนักการเมืองคาทอลิกและสื่อคาทอลิก ไอร์แลนด์ไม่มีทั้งสองอย่างในปี 2018 (และตอนนี้ก็ยังคงไม่มี) Radio Maryja มีผู้ฟัง 1 ล้านคนต่อวัน สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องนำไปใช้ประโยชน์และบิชอปชาวโปแลนด์จำเป็นต้องพูด อะไรที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอันตรายที่อยู่ใกล้ตัวที่จะทำให้ความดีหลุดลอยไป กลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้กำลังได้รับการยกย่องและรับรองโดยผู้มีอำนาจที่พยายามทำให้ความรุนแรงทางศาสนาเป็นสิ่งปกติชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในยุโรปตั้งแต่ทศวรรษ 1990 หากไม่ได้รับการแก้ไข, ในไม่ช้าก็จะจบลงด้วยการนองเลือดและเลือดนั้นจะเปื้อนมือของจอร์จ โซรอส, Dunja Mijatovic และสหภาพยุโรป
 
จอร์จ โซรอสมีความต้องการที่จะเรียกผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยว่า ‘ศัตรู’ ที่ ‘ยึดครอง’ ประเทศของตน นี่เป็นภาษาที่ก่อความไม่สงบและทำให้สถานะของเขาชัดเจนมากขึ้น เขาถือว่าตัวเองไม่ใช่คนโปแลนด์, แต่เป็นผู้ที่ควรกำหนดอนาคตของโปแลนด์ แล้วคำตอบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร?
 
สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าประชาธิปไตยของโปแลนด์คือความศักดิ์สิทธิ์แห่งเสรีภาพในการนมัสการพระเจ้าในแต่ละศาสนาในยุโรป หากแก๊งต่างๆบุกรุกมัสยิดและธรรมศาลาและทุบตีพวกเขา,ข่มขู่ผู้นับถือและข่มขู่อิหม่ามและรับไบ, ผลตอบรับจะเป็นอย่างไร? คุณคงรู้คำตอบแล้ว เหตุใดคุณจึงปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในพระศาสนจักรซึ่งยังรู้สึกลังเลที่จะยืนยันความผิดที่ชัดเจนของการกระทำเหล่านี้
 
 
ชาวโปแลนด์ยี่สิบกว่าคนต่อสู้กับคนของโซรอส 6,000 คนที่หวังจะทำลายโบสถ์ในกรุงวอร์ซอว์
 
-------------------------  
จอร์จ โซรอส (George Soros) เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 1930 ในบูดาเปสต์, ฮังการี พ่อแม่เป็นชาวยิวฐานะดี นำพาครอบครัวรอดพ้นเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวมาได้ด้วยเอกสารปลอมและการหลบซ่อนตัว แต่สื่อในฮังการีตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับครอบครัวนี้ว่า น่าจะสมคบคิดกับนาซีทำให้ครอบครัวชาวยิวอื่นๆต้องประสบเคราะห์ร้ายเพื่อตัวเองเอาตัวรอดไปได้
 
ปี 1992 เขามีรายได้จากการโจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษกว่าพันล้านดอลลาร์ และจัดสรรผลกำไรส่วนหนึ่งเข้าบัญชีมูลนิธิตั้งแต่ปี 1979 ภายใต้ชื่อ Open Society Foundations (OSF) ให้การสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตย ในหลายประเทศ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปตะวันออก เขากระจายเงินทุนสนับสนุนให้กับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในรูปแบบของเงินช่วยเหลือและทุนการศึกษา ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1980s เป็นต้นมา โซรอสบริจาคเงินไปทั่วโลกแล้วถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
 
เขาคือผู้นำที่อยู่เบื้องหลังมหาอำนาจโลก ผู้ให้การสนับสนุนเงินทุนแก่องค์กรช่วยเหลือที่มีเครือข่ายทั่วโลก องค์กรเหล่านั้นเรียกตัวเองว่าเป็นสื่อมวลชน นักกิจกรรมหรือนักสิทธิมนุษยชน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเส้นสายในเครือข่ายของจอร์จ โซรอส รวมถึงนักการเมืองในประเทศต่างๆที่เขาสามารถชักโยงได้ราวกับหุ่นกระบอก 
แต่จุดมุ่งหมายของเขาคือ การปลันวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ประจำชาติของประชากรโลก เพื่อกดขี่บังคับให้พวกเขาตกเป็นทาสชั่วนิรันดร์ และทำให้ประชาชนมีค่าเป็นเพียงหน่วยเศรษฐกิจเท่านั้น
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แนวคิดของโซรอสที่สนับสนุนให้กลุ่มประเทศยุโรปยอมรับผู้อพยพราว 300,000 คนต่อปีโดยผ่านกระบวนการคัดกรอง, สร้างความไม่พอให้กับรัฐบาลในหลายประเทศ ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างรัฐและประชาชนในประเทศ จนเกิดการประท้วง ปี 2018 มูลนิธิของโซรอสถูกรัฐบาลในฮังการีและตุรกีสั่งปิด
 
เขาวางแผนที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนประชากรในยุโรป, ชาวพื้นเมืองที่นับถือคริสต์ศาสนาจะถูกแทนที่ด้วยผู้อพยพชาวมุสลิม
 
จอร์จ โซรอส–พ่อมดการเงิน อายุครบ 90 ปีในปีนี้
 
************************* 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น