ในปี 2008,พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ขอให้มีการสอบสวนรอยแผลของคุณพ่อปีโอขึ้น,จึงมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนในเรื่องนี้ ทำให้ทราบข้อมูลที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
การเปิดเผยครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือชื่อ "Padre Pio Sotto Inchiesta: l''Autobiografia Segreta'" ("Padre Pio Under Investigation: The 'Secret Autobiography'"). ตรวจทานโดยคุณพ่อฟรานเชสโก แคสเตลลี่, นักประวัติศาสตร์แห่งสถาบัน Institute for Religious Sciences in Taranto, Italy.
หนังสือได้เปิดเผยถึงเหตุการณ์ในวันที่คุณพ่อปีโอได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเพราะคุณพ่อเป็นคนสุภาพถ่อมตนและคิดว่าตัวท่านเองไม่เหมาะสมที่จะได้รับพระพรพิเศษเช่นนี้ ดังนั้นท่านจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้แก่ใคร
เอกสารอ้างอิงแต่เพียงอย่างเดียวเท่าที่ทราบได้มาจากจดหมายของคุณพ่อที่เขียนถึงวิญญาณารักษ์ของท่าน, คุณพ่อ เบเนเดทโต ดา ซานมาร์โค อยู่ในลามิส, ท่านเขียนอธิบายแต่เพียงว่า "บุคคลลึกลับได้ปรากฏแก่ท่าน" แต่ท่านไม่ได้บอกเล่ารายละเอียดอะไรเลยเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้น.
คุณพ่อฟรานเซสโก แคสเตลลี่,ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์พระศาสนาจักรและเป็นผู้ศึกษาอัตชีวประวัติของคุณพ่อปีโอ ได้เปิดเผยรายละเอียดการสอบสวนครั้งแรกของสันตะสำนัก(ปัจจุบันคือสมณกระทรวงว่าด้วยคำสั่งสอนและความเชื่อ) ในปี 1921 เกี่ยวกับคุณพ่อปีโอและความน่าเชื่อถือของรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
ในการสอบสวนครั้งแรกที่มีการเปิดเผยมาก่อนนั้นระบุว่ารอยแผลไม่ใช่ของจริงและทางผู้ใหญ่ของสันตะสำนักมีความสงสัยในตัวคุณพ่อปีโอ. แต่ภายหลังจากนั้นกลับชื่นชมและยกย่องท่าน.
ในปี 1921 ทางสันตะสำนักโดยพระสังฆราชคาร์โล ราฟาเอลโล รอซซี่ ซึ่งต่อมาได้เป็นพระคาร์ดินัล,ได้ไปเยี่ยมคุณพ่อปีโอและสอบสวนชีวิตส่วนตัวของท่านพร้อมทั้งดูรอยแผลด้วยตนเอง. ท่านกล่าวในรายงานว่า "ศีรษะของท่านตั้งตรงใบหน้ามีความสงบ ท่านดูมีชีวิตชีวาและอ่อนหวาน คำพูดที่ท่านเอ่ยเต็มไปด้วยความกรุณาและจริงใจ"
การสอบสวนเริ่มต้นในวันที่ 14 มิ.ย.ของปีนั้น กินเวลา 8 วัน ท่านรอซซี่เฝ้าสังเกตคุณพ่อปีโออย่างละเอียด. ท่านเขียนว่าคุณพ่อมีความอ่อนโยนต่อเพื่อนพี่น้องร่วมคณะและเป็นที่รักของผู้ใหญ่ "ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมและไม่ชอบพูดซุบซิบ" คุณพ่อปีโอจะใช้เวลา 10-12 ชั่วโมงต่อวันในการฟังสารภาพบาปและประกอบพิธีมิสซา"ด้วยความศรัทธาอย่างลึกซึ้ง"
ท่านรอซซี่พิจารณาว่าการเฝ้าสังเกตแต่เพียงอย่างเดียวยังไม่เป็นการเพียงพอ. ดังนั้นท่านจึงสัมภาษณ์คุณพ่อด้วยคำถามทั้งหมด 142 คำถามภายใต้คำสาบานต่อพระคัมภีร์ว่าจะพูดแต่ความจริง. และคำตอบของคุณพ่อก็แสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง.
ตัวอย่างคำถามเช่น "ใครที่ให้รอยแผลแก่คุณพ่อ? ด้วยเหตุผลใด?คุณพ่อจะระบุภารกิจที่แน่ชัดได้ไหม?” และคุณพ่อปีโอตอบด้วยความสงบว่า
"ในวันที่ 20 กันยายน 1918 หลังจากประกอบพิธีมิสซาแล้ว. ขณะที่ผมกำลังสวดภาวนาขอบพระคุณ. ผมก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว. ต่อมาผมก็กลับเป็นปกติและมีความสงบ ผมมองไปเห็นพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในสภาพถูกตรึง - แต่ผมมองไม่เห็นกางเขน- พระองค์โทมนัสโศกเศร้าเพราะไม่ได้รับการตอบสนองจากมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่ถวายตัวแด่พระองค์ซึ่งพระองค์ทรงรัก. พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่ากำลังทนทุกข์ทรมานและทรงปรารถนาวิญญาณที่จะมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความทุกข์ทรมานนี้. พระองค์ทรงเชื้อเชิญผมให้เข้ามาสู่พระมหาทรมานของพระองค์และพักพิงในพระมหาทรมาน. และในขณะเดียวกันเพื่อให้ผมอุทิศตนสำหรับความรอดของคนอื่นๆด้วย. ในทันทีทันใดผมรู้สึกสงสารในพระมหาทรมานของพระองค์ ผมถามพระองค์ว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง. และผมก็ได้ยินเสียงนี้ "เราจะรวมเธอเป็นหนึ่งเดียวกับพระมหาทรมานของเรา" แล้วภาพนิมิตนั้นก็หายไป. เมื่อผมรู้สึกตัวผมก็เห็นรอยแผลซึ่งมีโลหิตกำลังไหล. มันไม่เคยมีมาก่อน"
คุณพ่อปีโอกล่าวว่า รอยแผลไม่ได้มาจากการร้องขอของท่านแต่มาจากการเชื้อเชิญของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงทุกข์ทรมานเพราะความอกตัญญูของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ถวายตนเองแด่พระเจ้า.
จากการสัมภาษณ์คุณพ่อปีโอ,จากจดหมายของคุณพ่อ,จากคำถามของท่านรอซซี่และจากรายงานของท่านรอซซี่เอง, แสดงให้เห็นว่า คุณพ่อปีโอไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับรอยแผลนี้. ท่านได้พยายามซ่อนรอยแผล และไม่ค่อยอยากแสดงรอยแผลตามคำขอของผู้แทนสันตะสำนักเท่าไรนัก
รอยแผลที่ 6
รายงานสรุปของท่านรอซซี่เกี่ยวกับรอยแผล ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับรูปร่างของรอยแผลที่อยู่ที่สีข้างและรอยแผลที่เล่าลือกันว่าเป็นรอยแผลที่ 6 ซึ่งอยู่ต้านหลังของคุณพ่อปีโอ
ท่านรอซซี่กล่าวในรายงานว่า ไม่มีการเปื่อยเน่าของแผล. แผลไม่ได้ปิดตัวและไม่ได้มีการรักษา. รอยแผลยังเปิดอยู่และมีโลหิตไหล. ทั้งๆที่คุณพ่อได้พยายามทำให้เลือดหยุดไหลด้วยการใส่ไอโอดิน.
"รูปร่างของรอยแผลแตกต่างจากรอยแผลอื่นๆที่เคยมี. ไม่ได้เป็นรูปกางเขนไขว้หรือกลับหัว แต่เป็นรูปสามเหลี่ยม และมีขอบที่คมชัด."
ท่านรอซซี่ให้ความเห็นที่แตกต่างจากแพทย์, ท่านสรุปว่ารอยแผลไม่ได้เกิดจากการใช้อุปกรณ์หรือสิ่งของภายนอกกระทำต่อตัวเอง
ท่านรอซซี่ตรวจสอบรอยแผล ขณะทำการตรวจสอบท่านก็สอบถามคุณพ่อปีโอเกี่ยวกับรอยแผลนี้. ท่านบรรยายสภาพรอยแผลที่สีข้างลำตัวว่า "รอยแผลเป็นรูปสามเหลี่ยมในขณะนั้น, ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย, คุณพ่อปีโอได้บอกรายละเอียดว่ารอยแผลที่เท้าและสีข้างนั้นมาจากรังสี"
บทสรุปในรายงานของท่านรอซซี่ คือ รอยแผลไม่ไช่ "ผลงานของปีศาจ" , ไม่ใช่เป็นการ" โกหกหลอกลวงหรือเกิดจากมุ่งร้ายหรือความชั่วร้าย. และรอยแผลก็ไม่ได้เกิดจากการใช้อุปกรณ์ภายนอกกระทำต่อตนเอง" สิ่งที่พิเศษนี้ "เป็นรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงซึ่งเกิดกับคุณพ่อปีโอ" รายละเอียดอื่นๆอย่างเช่นกลิ่นหอมเหมือนน้ำหอมก็เป็นเครื่องยืนยันความเป็นจริงของปรากฏการณ์
"คำพูดนี้แสดงถึงความน่าเชื่อถือของรอยแผล" แคสเตลลี่อธิบาย "เพราะกรดคาร์บอลิก (ซึ่งแพทย์กล่าวว่าคุณพ่อปีโออาจใช้ทำให้เกิดรอยแผล ภายหลังจากใช้แล้วจะกัดกินเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆเป็นรอยแผล) เป็นไปไม่ได้ที่รอยแผลจะยังคงมีสภาพเดิมในรูปร่างเดิมที่คมชัดหลังจากผ่านมานาน 60 ปี. นอกจากนี้รอยแผลยังกระจายกลิ่นหอมกรุ่นเหมือนดอกไวโอเล็ตแทนที่จะเป็นกลิ่นเหม็นเน่าของเนื้อเยื่อทั่วไป"
คุณพ่อปีโอมีรอยแผลที่มือ,เท้าและสีข้าง และไม่มีที่อื่นอีกเลย เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่มีรอยแผลที่หลังดังเช่นแผลของพระเยซูเจ้าซึ่งเกิดจากการแบกกางเขน บางคนเล่าลือว่าท่านอาจมีรอยแผลเช่นนี้ด้วย.
คุณพ่อปีโอเสียชีวิตวันที่ 22 กันยายน 1968. ท่านรอซซี่กล่าวถึงคุณพ่อว่า "คุณพ่อปีโอเป็นแบบอย่างของนักบวชที่ดี มีประพฤติปฏิบัติเปี่ยมด้วยคุณธรรม ศรัทธาเคร่งครัดและมีชีวิตการสวดภาวนาในขั้นสูง ท่านมีความโดดเด่นโดยเฉพาะในด้านความสุภาพถ่อมตนและเรียบง่ายซึ่งไม่หวั่นไหวโอนเอนแม้จะประสพกับช่วงวิกฤตแห่งอุปสรรคความยากลำบากต่างๆ. คุณธรรมต่างๆนี้ได้ถูกทดสอบจากภยันตรายร้ายแรงมาแล้ว.
**********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น