วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564

อับราฮัม บิดาแห่งผู้มีความเชื่อ

 


 
เชื่อกันว่าอับราฮัมมีชีวิตอยู่ในช่วง 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ถือกำเนิดที่เมืองอูร์ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปยังดินแดนคานาอันพร้อมกับภรรยาและหลานชาย อับราฮัมได้รับการเรียกจากพระเจ้าให้ไปยังดินแดนซึ่งพระเจ้าจะนำทาง ซึ่งก็คือดินแดนแถบประเทศอิสราเอล ปาเลสไตน์ และเลบานอนในปัจจุบัน
 
อับบราฮัมเป็นบุคคลสำคัญที่ปรากฏชื่อในคัมภีร์ของศาสนาสำคัญของโลก 3 ศาสนาคือศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ทั้งสามศาสนาถือว่าอับราฮัมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสนาตน ศาสนาของอับราฮัมคือศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวผู้ที่บอกให้ไปยังดินแดนซึ่งพระเจ้าจะนำทางและความเชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียวคือหลักการของศาสนาสำคัญทั้งสามของโลก นี่คือความสำคัญของเมืองอูร์ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อสำคัญของโลก
 

บ้านของอับราฮัมในเมืองอูร์ ซึ่งถ่ายในปี 2016
 

แผ่นโลหะจากเมืองอูร์ อายุประมาณ 2500 ปีก่อนคริสตกาล ขณะนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติช
 
แต่คนเมืองอูร์ไม่ได้นับถือศาสนาแบบอับราฮัม พวกเขานับถือเทพเจ้าแห่งพระจันทร์ (Nanna) ก่อนที่อับราฮัมจะพบกับพระเจ้าองค์เดียวหรือพระเจ้าของชาวอิสราเอลนั้น อับราฮัมทำงานในร้านขายเทวรูปบูชาของบิดามาก่อนเรื่องนี้ปรากฎในคัมภีร์ปฐมกาลของชาวยิว (Genesis Rabbah)
 
ในคัมภีร์เล่าว่าครั้งหนึ่งตอนที่บิดาไม่อยู่ มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาขอซื้อรูปบูชาเทพเจ้า อับราฮัมถามเขาว่าเขาอายุเท่าไหร่ ชายคนนั้นตอบว่า "อายุ 50 ปี" จากนั้นอับราฮัมกล่าวว่า “คุณอายุ 50 ปีแล้วยังจะกราบไหว้รูปปั้นอายุหนึ่งวัน!” เมื่อถึงจุดนี้ชายคนนั้นก็จากไปด้วยความละอายใจ
 

กษัตริย์อูร์-นัมมู ผู้ก่อตั้งมหาซิกกูแรตแห่งอูร์
 
ต่อมามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านและต้องการที่จะเซ่นไหว้รูปเคารพ อับราฮัมจึงเอาไม้ทุบรูปเคารพและวางไม้นั้นไว้ในมือของรูปเคารพที่ใหญ่ที่สุด เมื่อบิดากลับมาเขาถามอับราฮัมว่าเกิดอะไรขึ้นกับรูปเคารพทั้งหมด อับราฮัมบอกเขาว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่รูปเคารพ รูปเคารพต่างถกเถียงกันว่าองค์ใดควรเสวยเครื่องบูชาก่อน จากนั้นรูปเคารพที่ใหญ่ที่สุดจึงเอาไม้ทุบและทุบรูปเคารพอื่นๆ ทั้งหมด บิดาของอับราฮัมตอบว่าพวกเขาเป็นเพียงรูปปั้นจะมีปัญญาได้อย่างไร จากนั้นอับราฮัมตอบว่าพ่อปฏิเสธปัญญาของพวกเขา แต่พ่อยังนมัสการพวกเขาอยู่อีก!
 
เรื่องที่ปรากฏในคัมภีร์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของศาสนายูดาห์และศาสนาอิสลาม (รวมถึงศาสนาคริสต์บางนิกาย) ที่ปฏิเสธรูปเคารพและนับถือพระเจ้าองค์เดียว เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเมืองอูร์ดินแดนที่ร่ำรวยไปด้วยเทพเจ้าและตำนานโบราณ แต่อับราฮัมจะจากเมืองนี้ไปและเผยแพร่ศาสนาใหม่
 

กระเบื้องโมเสคจากสุสานราชวงศ์อูร์ ทำจากปูนแดง ยางบิทูเมน ไพฑูรย์ และเปลือกหอย
 
เรื่องเหล่านี้เป็นตำนานทางศาสนา แต่ในทางประวัติศาสตร์เมืองอูร์มีอายุประมาณ 3,800 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีกษัตริย์องค์แรกคือเมซานนี ปาดดา ต่อมาเมื่อช่วง 2047 ถึง 2030 ปีก่อนคริสตกาลกษัตริย์อูร์ นามมูเข้ามามีอำนาจปกครอง โดยสร้างโบราณสถานไว้มากมายรวมถึงซิกกูแรตแห่งอูร์ ตลอดจนมีการปรับปรุงระบบชลประทานสำหรับการเกษตร และคิดค้นประมวลกฎหมาย ต่อมากษัตริย์อามาร์ ซิน, ซู ซิน และอิบบิ ซิน ก็ขึ้นปกครองเมืองอูร์ตามลำดับ
 
ตามรายงานระบุว่าจากการประมาณการพบว่าครั้งหนึ่งอูร์เคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วง 2030 ถึง 1980 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยจำนวนประชากรถึง 65,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.1 ของประชากรทั่วโลกในขณะนั้น
 
อูร์เป็นศูนย์กลางเมืองที่สำคัญของสุเมเรียน-อัคคาเดียนบนที่ราบเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบสุสานหลวงได้ยืนยันถึงความงดงามและความยิ่งใหญ่ของเมืองอูร์ นอกจากนี้อูร์ยังเป็นเมืองท่าสำคัญในอ่าวเปอร์เซียซึ่งขยายออกไปไกลกว่าปัจจุบันมาก
 

พระมาลาทองคำของกษัตริย์เมสกาลัมดุก (Meskalamdug) มีอายุประมาณ 2,600-2,500 ปีก่อนคริสตกาล ภาพโดย Akieboy
 
การนำเข้าสินค้าสู่เมืองอูร์มาจากหลายส่วนของโลก โดยสินค้านำเข้า ได้แก่ ทองคำ เงิน ไพฑูรย์ และคาร์เนเลียน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าเมืองอูร์มีระบบสังคมที่แบ่งชนชั้น รวมถึงทาส (ชาวต่างชาติที่ถูกจับตัวได้), ชาวนา, ช่างฝีมือ, หมอ, อาลักษณ์ และนักบวช
 
ตำรารูปคูนิฟอร์มหลายหมื่นชิ้นได้รับการกู้คืนจากวัด พระราชวัง และบ้านแต่ละหลังซึ่งบันทึกสัญญาสินค้าและเอกสารของศาล ซึ่งเป็นหลักฐานของระบบเศรษฐกิจและกฎหมายที่ซับซ้อนของเมือง
 
นอกจากนี้ยังพบว่าชาวเมืองอูร์มีการละเล่นเครื่องดนตรี โดยมีการขุดค้นพบพิณซึ่งรูปร่างคล้ายกับพิณสมัยใหม่ แต่ปลายของพิณเป็นรูปวัวและมี 11 สาย
 

พิณหัวกระทิงที่ค้นพบจากสุสานหลวงแห่งอูร์ อายุ 2,550-2,450 ก่อนคริสตศักราชทำจากทองคำประดับลาพิสลาซูลี ถ่ายภาพที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีและมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (พิพิธภัณฑ์เพนน์) ในฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ภาพโดย Mary Harrsch
 
นักโบราณคดีเริ่มทำการขุดสำรวจเมืองนี้ในช่วงปี 1853-1854 และ 1922-1934 โดบพบโบราณสถานและโบราณวัตถุมากมาย รวมถึงสุสานจำนวนมหาศาลราว 2,000 แห่งพร้อมด้วยสมบัติล้ำค่ามากมาย
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุสานหลวงแห่งอูร์ซึ่งเป็นสุสานสำหรับราชวงศ์ สมาชิกชนชั้นสูง และข้าราชบริพาร มีการขุดค้นพบสมบัติจำนวนมาก อาทิ เครื่องทองของกษัตริย์, ผ้าโพกศีรษะและเครื่องประดับของราชินี, หัวสิงโตซึ่งทำด้วยเงิน ไพฑูรย์ และเปลือกหอย เป็นต้น
 
หลังสงครามอิรักผ่านพ้นไป สหรัฐอเมริกาบรรลุข้อตกลงทางการทหารกับอิรักเพื่อสนธิกำลังปกป้องคุ้มครองโบราณสถานเมืองอูร์ โดยในปี 2009 กองทัพสหรัฐได้ส่งคืนพื้นที่เมืองอูร์ให้แก่ทางการอิรักซึ่งหวังว่าจะพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
 

ทหารสหรัฐขึ้นบนซิกกูแรตแห่งอูร์ที่บูรณะใหม่ในปี 2010
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น