วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2564

ภัยพิบัติต่างๆเป็นการลงโทษจากพระเจ้าหรือ?

 

บทความจากไอร์แลนด์
 
โลกอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางการระบาดใหญ่ทั่วโลกซึ่งกำลังทำลายล้างภาคส่วนต่างๆเช่น สาธารณสุข,การศึกษา,และเศรษฐกิจ รัฐบาลหลายประเทศกลับเพิกเฉยต่อความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณของพลเมืองของตน ที่นี่ในไอร์แลนด์ผู้คนเข้าไปอัดแน่นในซูเปอร์มาร์เก็ต,สวนสาธารณะและร้านขายสุราแบบซื้อกลับบ้านได้ แต่รัฐบาลกลับสั่งห้ามมิให้ประกอบพิธีมิสซาโดดยเด็ดขาด
 
ทัศนคติโดยทั่วไปของคนในรัฐบาลและสื่อสารมวลชนคือเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณมีความสำคัญน้อยกว่า,เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและต้องถูกลดทอนลง จนกว่า ด้านเศรษฐกิจ,และธุรกิจซึ่งมีความสำคัญมากกว่าจะกระเตื้องขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่จะนำความผาสุกให้แก่ประชาชน ความคิดดังกล่าวอาจถึงวาระที่เปลี่ยนไปแล้วก็เป็นได้ เพราะสถานการณ์เลวร้ายส่งผลถึงจิตใจของผู้คน,ทำให้คนเราหันมาสนใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณมากขึ้น
 
ในวันที่ 25 มกราคม 2018 อันเป็นวันฉลองนักบุญเปาโลกลับใจ,รัฐบาลไอร์แลนด์ตกต่ำลงไปอีก รัฐบาลคว่ำกฎหมายเก่าแก่อายุ 90 ปีที่ให้ความเคารพต่อวันที่พระคริสต์ทรงถูกตรึงกางเขน ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไปบรรดาผับและบาร์สไตล์ไอริชสามารถเปิดให้บริการได้ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ รัฐบาลไม่บังคับให้ชาวไอริชงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อแสดงความเคารพต่อพระเจ้า กฎหมายเดิมถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ในที่สุด,เหมือนเป็นการลงโทษ,ผับและบาร์ก็จำเป็นต้องปิดตัวลงในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ปี 2019 เนื่องจากโรคระบาดและจะต่อเนื่องไปถึงปี2021
 
รัฐบาลไอริชอาจมีปฏิกิริยาต่อโรคระบาดโคโรนาไวรัสราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่ปัญหาด้านสุขภาพทางการแพทย์ แต่สำหรับสายตาของเราผู้มีความเชื่อแล้วมันมีสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นกำลังเกิดขึ้นที่นี่
 
กรณีของคุณพ่อจิโอวันนี คาวัลโคลี่( Fr Giovanni Cavalcoli)
 
ประเด็นที่ว่าพระเจ้าทรงทำให้เกิดภัยธรรมชาติเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของเรานั้น,ได้จัดให้มีการอภิปรายถกเถียงกันในช่วงสั้นๆที่อิตาลีในปี 2016 แต่การอภิปรายถกเถียงกันนั้นก็ถูกระงับอย่างรวดเร็วเนื่องจากทางศาสนจักรกลัวว่าอาจส่งผลให้ผู้คนมีภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่ผิดๆ(ว่าพระเจ้าโหดร้าย) ประเด็นดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเพราะในช่วงเดือนสิงหาคม 2016 กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ในอิตาลีที่อนุญาตให้มีสหภาพแรงงานระหว่างคนเพศเดียวกัน และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2016 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.6 ที่ใจกลางคาบสมุทร นับเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 36 ปี
 
ไม่กี่วันต่อมา,ในการกระจายเสียงทางวิทยุของ Radio Maria,คุณพ่อจิโอวานนี คาวัลโคลีพระสงฆ์คณะโดมินิกันได้กล่าวว่า “แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นการลงโทษจากสวรรค์สำหรับ ความผิดต่อครอบครัวและศักดิ์ศรีของการแต่งงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสหภาพแรงงาน" คำพูดดังกล่าวของ คุณพ่อจิโอวานนี ถูกประณามจากรอบด้านอย่างรวดเร็วโดยกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในศาสนจักร อาร์ชบิชอปแองเจโล เบ็คซิว(Angelo Becciu) – ซึ่งเวลานั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักเลขาธิการแห่งรัฐวาติกัน(แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว) ได้ตอบโต้คำกล่าวของคุณพ่อจิโอวานนี ว่า “สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีความเชื่อและสร้างความขายหน้าต่อผู้ที่ไม่มีความเชื่อ”
 
บิชอปนันซิโอ กาลันตีโน(Nunzio Galantino)กล่าวในนามของสภาสังฆราชอิตาลีว่า “ข้อคิดเห็นของคุณพ่อจิโอวานนีเป็นลักษณะของ ลัทธินอกศาสนารูปแบบหนึ่ง” Osservatore Romano ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์อย่างเป็นทางการของทางสันตสำนัก ก็ยืนยันว่าคำพูดของคุณพ่อจิโอวันนีนั้น "ไม่เหมาะสม" และให้ความมั่นใจแก่ผู้ประสบภัยพิบัติว่าพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงอยู่ใกล้ชิดกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ทาง Radio Maria มีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วเพื่อระงับเหตุขัดแย้งนี้และสั่งให้คุณพ่อจิโอวันนียุติการออกรายการทันที ในส่วนของคุณพ่อจิโอวันนี,ผู้เป็นนักเทววิทยาโดมินิกัน,ท่านปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ท่านบอกทางวาติกันให้กลับไป “อ่านคำสอนของพระศาสนจักร” และยืนยันว่าแผ่นดินไหว “เกิดจากบาปของมนุษย์”
 
เหตุการณ์ที่ Norcia และ Notre Dame: เป็นคำเตือนจากพระเจ้าหรือ?
 
การออกรายการของคุณพ่อจิโอวันนีมีพื้นฐานจากพระคัมภีร์และจากคำสอนอย่างที่ท่านกล่าวอ้างจริงหรือไม่? วาติกันมีสิทธิ์ที่จะประณามท่านหรือ? หรือการประณามนี้มีจุดมุ่งหมายที่การแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากแผ่นดินไหวเป็นหลัก? ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม,มันก็ไม่ช่วยคุณพ่อจิโอวันนีมากนัก,ท่านมีชื่อเสียงในเรื่องการพูดตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ท่านกล่าวว่าสหภาพแรงงานของกลุ่มคนรักร่วมเพศกระตุ้นการลงโทษของพระเจ้าเนื่องจากสหภาพแรงงานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับ “บาปที่ผิดธรรมชาติ”
 
จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองนอร์เซียซึ่งเป็นบ้านเกิดของนักบุญเบเนดิกต์เพียง 5 กม. ในศตวรรษที่ 6,คณะนักบวชของท่านนักบุญช่วยให้ศาสนาคริสต์กลับมารุ่งเรืองและทำให้ยุโรปกลับมามีอารยธรรมอีกครั้ง,หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก การเทศนาสั่งสอนพระวรสารได้ช่วยพระสงฆ์นำระเบียบวินัยและการเรียนรู้มาสู่ทวีปยุโรปในช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้นักบุญเบเนดิกต์จึงเป็นหนึ่งในนักบุญองค์อุปถัมภ์ของยุโรป อันที่จริงท่านนักบุญและคณะของท่านถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเสาหลักของอารยธรรมยุโรป ต่อมามีการสร้างโบสถ์บริเวณบ้านที่นักบุญเบเนดิกต์เกิดในนอร์เซีย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 จนถึงปี 2016 โบสถ์แห่งนี้ยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่เวลานี้,สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่คือด้านหน้าและส่วนหนึ่งของประตู เมื่อเราพิจารณาบทบาทของคณะเบเนดิกตินในการสร้างคริสตศาสนาในยุโรป,เราอาจจะเข้าใจคำพูดของคุณพ่อจิโอวันนีได้ดีขึ้นว่า แผ่นดินไหวที่ทำลายบ้านเกิดขององค์อุปถัมภ์ในทวีปนี้ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าชาวยุโรปได้ทรยศต่อรากเหง้าของคริสตศาสนา และพระเจ้าทรงเรียกเราให้กลับใจ หลายคนได้นำเหตุการณ์มหาวิหาร Notre Dame ที่ถูกไฟไหม้ในปารีสเมื่อไม่นานมานี้มาเป็นส่วนหนึ่งของประเด็นถกเถียงนี้ด้วย
 
พระเจ้าตรัสกับเราผ่านความทุกข์เวทนา
 
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และอาจจะถูกต้องที่เจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักรจะแยกตัวออกห่างจากความคิดเห็นของคุณพ่อจิโอวันนีอย่างรวดเร็ว พวกเขาต้องให้ความสำคัญกับผลพวงของแผ่นดินไหวก่อน นั่นคือสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและดูแลผู้ประสบภัย อย่างไรก็ตามคำถามสำคัญยังคงอยู่: “พระเจ้าทรงมีพระเมตตาพร้อมกับทรงลงโทษตีสอนมนุษยชาติได้หรือไม่?” คำตอบสำหรับคำถามนี้คือ “ใช่!” กุญแจสำคัญคือความแตกต่างระหว่างการลงโทษเพราะความโกรธและการลงโทษเพื่อสอนเพื่อนำเราไปสู่ความสมบูรณ์ของชีวิต ในกรณีเช่นนี้พระเจ้าไม่ได้เป็นสาเหตุของความทุกข์เสมอไป แต่พระองค์ทรงยอมให้เกิดความทุกข์เพื่อความดีที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับมนุษย์
 
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยเรื่องราวของพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและพระองค์ยังทรงตีสอน อย่างเช่น ภัยพิบัติของอียิปต์,ชาวอิสราเอลต้องเดินทางในทะเลทรายสี่สิบปี,ชาวยิวถูกเนรเทศไปอยู่ต่างแดน และอื่นๆอีกมากมาย - “เพราะพระเจ้าทรงเฆี่ยนตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงเฆี่ยนตีทุกคนที่ทรงรับไว้เป็นบุตร” (ฮีบรู 12,6) พระเยซูเจ้าเองได้ตรัสในการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายว่า
 
“เราเป็นเถาองุ่นแท้,และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่บังเกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิด เพื่อให้เกิดผลมากขึ้น” (ยอห์น 15, 1-2)
 
ข้อความที่ชัดเจนที่สุดในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้คือลูกา 13: 1-3) .
 
“ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชาaพระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า  ‘ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้ 3มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน. . ’(ลูกา 13: 1-3)
 
เราแต่ละคนสัมผัสกับพระหัตถ์การตีสอนของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงถูกเรียกให้กลับใจและเกิดผล เราไม่ได้ถูกลงโทษเพราะความโกรธเคือง! พระเจ้ากำลังพรวนดินรอบตัวเราหวังว่าเราจะเกิดผลบางอย่าง เราทุกคนต่างพบกับความขัดแย้ง,ความเจ็บป่วยหรือโศกนาฏกรรมในครอบครัวในระดับหนึ่ง คนที่ทนทุกข์ทรมานมากที่สุดคือคนที่มีความผิดมากที่สุดและสมควรได้รับ "การลงโทษ" จากพระเจ้ามากกว่ากระนั้นหรือ? บ่อยครั้งเป็นไปในทางตรงกันข้ามมากกว่า
 
บางครั้งคนที่ทำบาปหนักที่สุดกลับมีชีวิตที่สุขสบาย ทำให้ผู้คนอิจฉาพวกเขาและสิ้นหวังกับความยุติธรรมของพระเจ้า! สถานการณ์ที่ท้าทายเช่นการแพร่ระบาดของโควิด-19,อาจเป็นการเรียกร้องด้วยความรักของพระเจ้าเพื่อให้เราไว้วางใจพระองค์เท่านั้น ชีวิตของนักบุญให้ตัวอย่างในเรื่องนี้ พวกท่านทุกคนยอมรับความทุกข์ทรมานอย่างมาก,แต่ในที่สุดท่านก็ได้รับชัยชนะ เมื่อเห็นเช่นนี้,สมควรแล้วหรือที่เราจะบ่นว่าพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา?
 
การประจักษ์ของแม่พระและการลงโทษจากสวรรค์
 
การประจักษ์ของแม่พระที่ได้รับการรับรองแล้วจากพระศาสนจักร แม่พระได้ตรัสถึงการลงโทษจากสวรรค์ ที่ฟาติมาพระแม่มารีย์ตรัสว่า สงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้นจะสิ้นสุดลง แต่จะตามมาด้วยสงครามที่เลวร้ายยิ่งขึ้นหากมนุษยชาติไม่เปลี่ยนวิถีทางการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น การลงโทษจากสวรรค์มีสาเหตุมาจากบาปของมนุษย์ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในที่ต่างๆ,การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส,ภูเขาไฟปะทุพ่นลาวา ฯลฯ สามารถโยงไปถึงความตกต่ำของมนุษย์ได้หรือไม่? ในปัจจุบัน,มนุษย์เปลี่ยนไปมาก,เทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า มนุษย์เอาแต่ใจตัวเอง แสวงหาความสุขสบายทางโลกอย่างไม่ยั้งคิด กระทำตัวเองผิดธรรมชาติ สร้างกลุ่มรักร่วมเพศโดยไม่แยแสต่อพระเจ้า มีการทำแท้งมากมาย ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสาเหตุแห่งการตีสอนของพระเจ้าใช่ไหม?
 
****************
 
เรื่องของน้ำวินาศ
 
ความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ
 
พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และใจของเขาคิดแต่สิ่งชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา พระยาห์เวห์เสียพระทัยที่ได้ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดิน ทรงเศร้าพระทัย จึงตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราสร้างมานี้ให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน ไม่ว่าคนหรือสัตว์ สัตว์เลื้อยคลานหรือนกในท้องฟ้า เพราะเรารู้สึกเสียใจที่ได้สร้างมา”
 
การเตรียมการรับน้ำวินาศ
 
พระเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า “เราได้ตัดสินใจว่า มนุษย์ทุกคนมาถึงจุดจบแล้ว โลกมีแต่ความรุนแรงเพราะมนุษย์ ดังนั้น เราจะทำลายเขาพร้อมกับแผ่นดิน
 
โนอาห์สร้างเรือใหญ่ตามที่พระเจ้าทรงสั่ง และในระหว่างนั้นโนอาห์ก็บอกผู้คนทั้งาหลายเกี่ยวกับเรื่องน้ำวินาศที่จะท่วมโลก และชักชวนพวกเขามาขึ้นเรือพร้อมกับท่านด้วย แต่ผู้คนกลับหัวเราะเห็นเป็นเรื่องโง่เขลาไร้สาระ ไม่มีใครสักคนที่เชื่อโนอาห์ เมื่อมีสัญญาณว่าน้ำกำลังจะท่วม มีฝนตกหนัก ก็ยังไม่มีใครเชื่อโนอาห์ จนกระทั่งโนอาห์และครอบครัวและสัตว์ต่างๆขึ้นไปบนเรือจนครบแล้ว โนอาห์ก็ปิดประตู น้ำเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆท่วมคนและสิ่งต่างบนโลก มนุษย์ทุกคนตายหมดยกเว้นโนอาห์และคนรอบครัว
 
โควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลก ก็เหมือนกับน้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์ พระเจ้าทรงเตือนมนุษย์ถึงบาปและความใจแข็งกระด้าง ไม่หันมาหาพระองค์ มนุษย์กำลังหลงมัวเมาในความสนุกสบายต่างๆของโลก บางคนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าที่ทรงสร้างสรรพสิ่ง และพระองค์สร้างมนุษย์มาเพื่อให้มนุษย์รู้จักและรักพระองค์ พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นผู้สร้างโคโรน่าไวรัส  แต่พระองค์ทรงยอมให้มนุษย์ที่ชั่วร้ายสร้างโคโรน่าไวรัสและแพร่กระจายมันออกไป  ทั้งนี้เพราะมนุษย์หันหลังให้กับพระเจ้า พระองค์จึงทรงต้องตีสอนเพื่อที่มนุษย์จะได้กลับมาหาพระองค์เสียใหม่และพระองค์จะทรงเมตตาประทานความช่วยหลือ
 
ผู้คนไม่เชื่อคำพูดของโนอาห์ที่ว่าจะมีน้ำท่วมโลก จึงไม่มีใครได้ขึ้นเรือของโนอาห์ ปัจจุบันนี้ เรือของโนอาห์ก็คือพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่พระเยซูเจ้าทรงสถาปนาขึ้น ใครที่เชื่อในพระเยซูและมาขึ้นเรือนี้ก็จะได้รับความรอด ไม่ใช่จากน้ำท่วมหรือโรคระบาด แต่รอดพ้นจากไฟนรกชั่วนิร้นดรที่ร้ายแรงยิ่งกว่าน้ำท่วมและโรคระบาดเสียอีก
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น