วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อัศจรรย์ศีลมหาสนิทที่วัลเดิร์น,เยอรมนี,1330

 


 
หนึ่งในรายงานทางเอกสารที่สมบูรณ์ที่สุดได้บอกเล่าถึงอัศจรรย์ศีลมหาสนิทแห่งวัลเดิร์น(Walldürn) ประเทศเยอรมนีซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1330 และรายงานถูกเขียนรวบรวมโดยพระสงฆ์นามว่าฮอฟฟิอุส(Monk Hoffius)ในปี ค.ศ. 1589 ท่านเขียนว่า ในระหว่างพิธีมิสซา พระสงฆ์ได้บังเอิญทำให้จอกกาลิกษ์ที่บรรจุเหล้าองุ่นล้มคว่ำลงบนผืนผ้ารองจอกกาลิกษ์นั้น พระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ได้ก่อตัวเป็นรูปของพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขนบนผืนผ้า ปัจจุบันพระธาตุผืนผ้าที่รองพระโลหิตได้รับการเก็บรักษาไว้,โดยวางไว้บนแท่นบูชาที่อยู่ด้านข้างในมหาวิหารเซนต์จอร์จในเมืองวอลล์เดึร์น ทุกปีจะมีผู้แสวงบุญหลายพันคนมาที่วัลเดิร์นเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้
 
ดูเหมือนว่าคุณพ่อไฮน์ริช อ็อตตา(Heinrich Otta) ซึ่งกำลังประกอบพิธีมิสซาอยู่ได้บังเอิญพลิกจอกกาลิกษ์เหล้าองุ่น,ไวน์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการเปลี่ยนเป็นพระโลหิตของพระคริสต์แล้ว และในทันทีพระโลหิตอันล้ำค่าได้ก่อตัวขึ้นบนผ้ารองจอกกาลิกษ์เป็นพระรูปของพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขน ล้อมรอบด้วยรูปศีรษะพระคริสต์ที่สวมมงกุฎหนามสิบเอ็ดรูป
 

คุณพ่อไฮน์ริชไม่มีความกล้าที่จะเปิดเผยอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น และเป็นเวลาหลายปีที่ท่านเก็บผืนผ้าไว้ใต้แท่นบูชา จนกระทั่งถึงเวลาที่ท่านใกล้จะเสียชีวิต,ท่านจึงสารภาพและได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์และนำผืนผ้านั้นออกมา
 

รูปพระเยซูเจ้าบนกางเขนเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้แสงอุลตร้าไวโอเล็ต
 
เมื่อเรื่องราวได้รับการเปิดเผย, ผืนผ้าศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับการเคารพเป็นอย่างมาก มีการกลับใจเกิดขึ้นมากมายและมีอัศจรรย์การเยียวยารักษาให้หายจากโรค ด้วยเหตุนี้,พระสันตะปาปายูจีนที่ 4 จึงทรงรับรองอัศจรรย์นี้ในปี ค.ศ. 1445 และทรงประทานพระคุณการุณย์แก่ผู้แสวงบุญ อัศจรรย์ดังกล่าวโด่งดังไปทั่วยุโรปและศิลปินหลายคนได้วาดภาพไว้ มหาวิหารปัจจุบันถูกสร้างขึ้นระหว่างปี 1698 ถึง 1728 โดย Franz Lothar von Schonborn อาร์ชบิชอปแห่งไมนซ์ ในปี1962 พระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ทรงสถาปนาโบสถ์ให้เป็นมหาวิหารรอง พระสงฆ์คณะออกัสติเนียนได้ดูแลปกป้องมหาวิหารมาตั้งแต่ปี 1938
 


คำพูดของนักบุญเกี่ยวกับศีลมหาสนิทและความรักของพระคริสต์
 
“ตามที่เราสวดภาวนาว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของบรรดาผู้ที่เข้าใจและมีความเชื่อ เราจึงเรียกปังนี้ว่า “อาหารของเรา” เพราะพระคริสต์ทรงเป็นอาหารของบรรดาผู้ที่ร่วมเป็นหนึ่งกับพระกายของพระองค์ และเราวอนขอให้พระองค์ประทานปังนี้แก่เราทุกวัน เพื่อว่าเรา,ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์และรับศีลมหาสนิททุกวันเพื่อเป็นอาหารแห่งความรอด,จะไม่อาจแยกจากพระกายของพระคริสต์ได้ด้วยการแทรกซึมของบาปที่ชั่วร้าย
 
- นักบุญซีเปรียน(Cyprian (210?-258)
 
เมื่อเราพูดว่า "โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้" โดยที่ "วันนี้" เราหมายถึง "ในเวลานี้" เมื่อเราวอนขอความพอเพียงนั้นหมายถึงเราวอนขอความต้องการทั้งหมดของเราภายใต้ชื่อขนมปังซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด อันเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีความเชื่อซึ่งจำเป็นในเวลานี้เพื่อจะได้รับความสุขชั่วคราวจนกว่าจะได้บรรลุถึงความสุขนิรันดร์นั้น"
 
- นักบุญออกัสติน
 

“การอยู่บนสวรรค์เป็นความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นการได้อยู่กับพระเยซูเจ้า แต่ที่นี่,เราก็มีความสุขเท่ากันมิใช่หรือ? เราไม่ได้ครอบครองพระองค์ในศีลศักดิ์สิทธิ์ดอกหรือ? เราควรรู้จักที่จะรับพระคุณต่างจากการปรากฏอยู่ของพระองค์ เราจึงไม่ควรที่จะอิจฉาชาวเมืองสวรรค์แต่อย่างใด"
 
- มารี เอสเทลล์ ฮาร์แปง (ค.ศ. 1814-1842)
 
พระเยซูเจ้าตรัสกับเหล่าศิษย์ของพระองค์ว่า “เราเป็นหนทาง, ความจริงและชีวิต ไม่มีใครสามารถมาหาพระบิดาได้เว้นแต่ผ่านทางเรา ถ้าท่านรู้จักเรา,ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย และท่านรู้จักพระองค์ตั้งแต่เวลานี้แล้ว เพราะท่านได้เห็นพระองค์” ฟิลิปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดสำแดงพระบิดาให้เราเห็นก็พอแล้ว” พระเยซูตรัสกับเขาว่า: "เราอยู่กับท่านมานานขนาดนี้แล้วและท่านยังไม่รู้อีกหรือว่าเราเป็นใคร? ฟิลิปใครที่เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดาของเราด้วย" (ยน. 14, 6-9)
 
บัดนี้ พระบิดาทรงสถิตในความสว่างที่ไม่สามารถทะลุเข้าไปได้ (1 ทธ. 6,16) และพระเจ้าทรงเป็นจิต (ยน. 4, 24) และไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า (ยน. 1, 18) เพราะพระเจ้าทรงเป็นจิต ดังนั้นพระองค์จึงสามารถมองเห็นได้โดยทางจิตวิญญาณเท่านั้น เพราะเป็นจิตที่ให้ชีวิต เนื้อหนังไม่มีประโยชน์อะไรเลย (ยน. 6, 64)
 

แต่เนื่องจากพระบุตรเป็นเหมือนพระบิดา จึงไม่มีใครมองเห็นพระองค์ได้นอกจากพระบิดาที่ทรงเห็นหรือพระจิตเจ้าที่ทรงเห็น ดังนั้นผู้ที่เห็นพระเยซูคริสตเจ้าตามแบบของมนุษย์เท่านั้นและไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรที่แท้จริงของพระเจ้าทั้งพระวิญญาณและพระธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์, พวกเขาทั้งหมดจะถูกสาปแช่ง
 
ดังนั้น ผู้ที่ได้เห็นศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งได้รับการเสหด้วยพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนแท่นบูชา โดยอาศัยมือของพระสงฆ์ ในรูปของขนมปังและเหล้าองุ่น ถ้าพวกเขาไม่เห็นและเชื่อว่าเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์,องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขาก็จะถูกสาปแช่ง เพราะพระผู้สูงสุดผู้ทรงเป็นพยานถึงเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า "นี่คือกายของเรา และนี่คือโลหิตของเรา ,โลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่" (มก 14, 22-24) และ "ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร" (ยน. 6, 55)
 
- งานเขียนของนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีเรื่อง The Blessed Sacrament
 
“การสวดภาวนาเป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดสำหรับการรับศีลมหาสนิท การสวดภาวนาเป็นการปลุกจิตสำนึกของเราให้คิดถึงพระเจ้า เมื่อเราสวดภาวนา,เราจะพบกับพระคริสต์ที่เสด็จมาหาเรา หากพระผู้สร้างและพระผู้ช่วยให้รอดมาจากสวรรค์ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่นั้น,ก็เป็นการสมควรที่เราจะไปเฝ้าพระองค์และนี่คือสิ่งที่เราควรทำเมื่อเราใช้เวลาในการสวดภาวนา”
 
- นักบุญเบอร์นาดีนแห่งเซียนา (1380-1444)
 
ท่านรู้หรือไม่ว่าพิธีมิสซาคืออะไร? ในพระศาสนจักร,พิธีมิสซาคือดวงอาทิตย์ที่สองสว่างในโลกของเรา คือจิตวิญญาณแห่งความเชื่อของเรา คือศูนย์กลางของศาสนาของเรา คือจุดจบและศูนย์กลางของพิธีกรรมทุกอย่าง เป็นพิธีกรรมศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด โดยสรุปและคือทุกสิ่งที่สวยงามและความดีในพระศาสนจักรของพระเจ้า"
 
- นักบุญลีโอนาร์ดแห่งพอร์ตมอริซ (1676-1751)
 

“ในแต่ละช่วงชีวิตของเรา พระเยซูเจ้าเสด็จมาเป็นอาหารแห่งชีวิตแก่เรา เพื่อให้เราได้กินพระองค์เข้าไป นี่คือวิธีที่พระองค์ทรงรักเรา พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาในชีวิตมนุษย์ผู้หิวโหยซึ่งมีความหวังว่าจะได้รับการเลี้ยงดูด้วยปัง แห่งชีวิต หล่อเลี้ยงหัวใจของเราด้วยความรัก และด้วยมือของเราโดยการรับใช้ ในการรักและรับใช้, เราพิสูจน์ว่าตัวเราได้รับการสร้างมาตามแบบฉบับของพระเจ้า เพราะพระเจ้าคือความรัก และเมื่อเรารัก เราก็เป็นเหมือนพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงหมายถึงเมื่อพระองค์ตรัสว่า "จงเป็นผู้ดีบริบูรณ์เหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงเป็นผู้ดีบริบูรณ์"
 
- คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา
 
“และเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงปรากฏต่อหน้าอัครสาวกในเนื้อหนังที่แท้จริง ดังนั้นเวลานี้,พระองค์ทรงให้เราเห็นพระองค์ในขนมปังอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อบรรดาอัครสาวกมองดูพระองค์ด้วยตาเนื้อของพวกเขา พวกเขาเห็นแต่เนื้อหนังของพระองค์เท่านั้น แต่พวกเขาจำพระองค์ได้ด้วยสายตาแห่งจิต แล้วพวกเขาเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราเห็นขนมปังและเหล้าองุ่นด้วยตาฝ่ายร่างกายของเรา ให้เราเห็นและเชื่ออย่างแน่วแน่ว่านี่คือพระกายและพระโลหิตที่บริสุทธิ์ของพระองค์อย่างแท้จริงและทรงชีวิต
 
เพราะในลักษณะนี้ พระเจ้าของเราทรงสถิตอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ ตามที่พระองค์ตรัสว่า "จงรู้เถิดว่า เราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ" (ม. 28, 20)
 
- นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี
 
"ความถ่อมตนของพระเยซูเจ้าสามารถเห็นได้ในเปล, ในการเนรเทศไปยังอียิปต์, ในชีวิตที่ซ่อนเร้น, ในความสามารถที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจพระองค์, ในการถูกอัครสาวกละทิ้ง, ในความเกลียดชังของผู้ข่มเหงของพระองค์, ในความทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และขณะนี้ในความถ่อมพระองค์ที่ทรงประทับอยูในตู้ศีล ซึ่งพระองค์ทรงลดพระองค์เองให้เป็นเศษขนมปังชิ้นเล็กๆ ที่พระสงฆ์สามารถจับพระองค์ด้วยสองนิ้ว ยิ่งเราทำให้ตัวเองว่างเปล่าเท่าไร, ก็ยิ่งมีที่ว่างมากขึ้นที่เราสามารถให้พระเจ้ามาเติมเต็มชีวิตของเราได้มากขึ้น"
 
- คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา
 
เพราะฉะนั้นพระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งสถิตอยู่ในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์,ซึ่งได้รับพระกายและพระโลหิตอันบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างแท้จริง “ส่วนผู้ที่กินและดื่มโดยไม่ยอมรับรู้พระกาย ก็กินและดื่มการตัดสินลงโทษตนเอง” (1 โครินธ์ 11,29)
 
ดังนั้น,บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย, ประสาทสัมผัสของเจ้าจะมัวไปอีกนานแค่ไหน? (สด 4,3) ทำไมเจ้าจึงมองไม่เห็นความจริงและเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าเล่า? (ยน. 9, 35) ดูเถิด วันแล้ววันเล่าพระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง ประหนึ่งเสด็จลงจากบัลลังก์ของพระองค์ (ปรีชาญาณ. 18, 15) เข้าสู่ครรภ์ของหญิงพรหมจารีย์ วันแล้ววันเล่า,พระองค์เสด็จมาหาเราเป็นการส่วนตัวในสภาพที่ต่ำต้อยนี้ ทุกวันพระองค์ลงมาจากพระอุระของพระบิดามายังแท่นบูชาสู่มือของพระสงฆ์”
 
- งานเขียนของนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น