วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญโยเซฟ

 



 
กล่าวกันว่าที่ไหนสักแห่งในเบ็ธเลเฮม มีร่างของชายผู้หนึ่งที่เสียชีวิตไปเมื่อสองพันปีที่แล้ว แต่ร่างของเขายังคงสภาพเดิม ไม่เน่าเปื่อย เพียงแต่เย็นเยือกตามกาลเวลา
 
ร่างนี้เป็นร่างของนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนางมารีย์และเป็นบิดาบุญธรรมของพระเยซูคริสต์
 
“มีผู้ชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ติดตามโลงศพไปพร้อมกับพระเยซูเจ้าและพระนางมารีย์ แต่ฉันเห็นบรรดาทูตสวรรค์และมีแสงสว่างล้อมรอบติดตามมาด้วย ในภายหลังศพของโยเซฟถูกเคลื่อนย้ายไปโดยพวกคริสตชนที่เบ็ธเลเฮม,และถูกฝังไว้ ฉันคิดว่าฉันยังคงเห็นร่างของท่านนอนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เน่าเปื่อย”
 
นี่เป็นนิมิตที่อันนา คัทรีน เอมเมอริกได้เห็นและเธอได้เล่าให้เราได้รับรู้ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ในโลกที่ปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าแห่งความสงสัย ความไม่เชื่อ นี่จะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่นี้ที่ช่วยฟื้นฟูความเชื่อของเรา แต่เบาะแสในการค้นพบที่ฝังศพนักบุญโยเซฟที่ซ่อนอยู่นี้จะได้มาจากไหน?
 
ความลับอยู่ที่นี้: ในนิมิตเก่าแก่ที่ถูกลืมของบุญราศีอันนา คัทรีน เอมมาริก Blessed Anne Catherine Emmerich (พ.ศ. 2317-2467) ผู้ได้รับพระพรพิเศษชาวเยอรมัน เธอได้รับรอยแผลลึกลับและเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร
 
ภาพนิมิตที่เธอเห็นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูเจ้า พระแม่มารีย์และนักบุญ ทำให้ทราบถึงเรื่องราวบางช่วงเวลาของท่านเหล่านั้น เธอบรรยายเหมือนกับตัวละครเหนือธรรมชาติที่กระโจนออกมาจากหน้าหนังสือ แม้ว่าอันนาจะไม่เคยไปเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเลย แต่บรรดาผู้ที่ได้เดินทางไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มักพากันประหลาดใจกับความคล้ายคลึงอันน่าทึ่งระหว่างคำอธิบายของเธอกับสถานที่และอนุสรณ์สถานที่เกิดขึ้นจริง
 
แม้ว่าอันนาจะไม่สามารถเขียนหนังสือบรรยายสิ่งที่เธอเห็นในนิมิตได้ เนื่องจากเธอได้รับการศึกษาที่ไม่ดีนัก แต่สิ่งที่เธอเล่าบรรยายไว้ก็ได้รับความเคารพจากนักกวีแนวโรแมนติกชาวเยอรมันชื่อ Clemens Brentano ซึ่งเป็นผู้ที่นั่งอยู่ข้างเตียงของเธอเป็นประจำเพื่อเขียนถ่ายทอดเรื่องราวที่เธอบรรยายจากภาพนิมิตที่เธอเห็น เขาตีพิมพ์หนังสือนิมิตของอันนาเกี่ยวกับชีวิตของพระคริสต์ในหนังสือของทั้งสอง EmmerichและBrentano หนังสือมีชื่อว่า"พระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์" The Dolorous Passion of Our Lord Jesus Christ (1883) ซึ่งเป็นหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ ของเมล กิบสัน เนื่องจากมีรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระมหาทรมานของพระคริสต์ที่มีเขียนอยู่ในพระวรสาร
 
บางคนอาจรู้เรื่องราวของบุญราศีอันนา คัทรีน เอมมาริกมาบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ จึงเป็นการเหมาะสมที่จะรื้อฟื้นคืนเรื่องราวของเธอในวันเกิดของเธอซึ่งตรงกับเดือนกันยายนนี้
 
บุญราศีอันนา คัทรีน เอมมาริกเกิดที่ Flamske ใน Westphalia ประเทศเยอรมนีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 1774 บิดามารดาของเธอเป็นคนยากจนและศรัทธาในศาสนา เมื่อเป็นเด็ก เอมมาริกสามารถแยกแยะได้ว่าศาสนภัณฑ์ต่างๆได้รับการเสกแล้วหรือไม่และเป็นพระธาตุของนักบุญองค์ใด ในค่ำคืนที่มืดมิด เธอมักจะเดินเท้าเปล่าไปบนหิมะ ท้าลมที่พัดแรง เพื่อที่เธอจะได้ข้ามไปยัง Coesfeld เธอชอบกินเศษอาหารที่เหลือและมักจะให้อาหารแก่คนยากจนและคนป่วยเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องอดอาหาร เธอแทบไม่ได้นอนหลับ เมื่ออายุได้ 29 ปี เธอได้เข้าเป็นนักบวชในคณะออกัสติเนียนที่เมืองดูลเมน เวสต์ฟาเลีย(Dulmen, Westphalia)
 
วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังสวดภาวนาเป็นเวลาหลายชั่วโมงเบื้องหน้าไม้กางเขนที่โบสถ์เซนต์แลมเบิร์ต ในเมืองโคสเฟลด์ อันนาได้วอนขอต่อพระเยซูเจ้าทรงอนุญาติให้เธอมีส่วนร่วมในพระมหาทรมานของพระองค์ และอีกหลายปีต่อมาในวันที่ 29 ธันวาคม 1812 เวลา บ่ายสามโมง,ขณะที่เธอล้มป่วยและนอนอยู่บนเตียง เธอได้มีประสบการณ์รอยแผลลึกลับ แพทย์ไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์สำหรับบาดแผลของเธอ
 
อันนา คัทรีน เอมมาริกได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศีจากพระสันตะปาปานักบุญยอห์น ปอลที่ 2 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2004 พระองค์ตรัสในคำเทศน์ของพระองค์ว่า “ข้อเท็จจริงที่ว่าลูกสาวของชาวนาที่ยากจนซึ่งแสวงหาอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะใกล้ชิดกับพระเจ้าได้กลายเป็น 'ผู้ได้รับพระพรพิเศษแห่งดินแดนมุนสเตอร์'(‘Mystic of the Land of Münster’)ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี สิ่งนี้เป็นงานแห่งพระหรรษทานแห่งสวรรค์ ความยากจนทางวัตถุของเธอตรงกันข้ามกับชีวิตภายในที่มั่งคั่งของเธอ”
 
บางคนอาจตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของงานเขียนของเธอ เนื่องจากการเขียนบรรยายของ Clemens Brentano ตลอดจนภาพเชิงลบของเธอที่พูดถึงกลุ่มคนร้ายชาวยิวที่ฟ้องร้องพระเยซูเจ้าให้ถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขน อย่างไรก็ตาม บรรณาธิการของ TAN Books, ดร.พอล ทิกเพ็น(Dr. Paul Thigpen) กล่าวว่า เราควรได้รับแรงบันดาลใจจากความศักดิ์สิทธิ์ของเธอในการเผชิญกับความทุกข์ยากมากกว่านิมิตของเธอ เขากล่าวว่า “สิ่งที่พระศาสนจักรมุ่งเน้นถึงคือความทุกข์ทรมานอย่างกล้าหาญของเธอ และถวายความทุกข์นั้นแด่พระเจ้า … ถ้าเธอได้รับการสถาปนา,เธอจะเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้พิการและผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง”
 
และจากนิมิตของอันนาได้นำไปสู่การค้นพบบ้านของพระแม่มารีย์ผู้เปี่ยมพระหรรษทานในเมืองเอเฟซัส ประเทศตุรกี
 
แล้วเกี่ยวกับร่างของนักบุญโยเซฟล่ะ?
 
ในพระวรสาร เราแทบไม่ได้ยินคำพูดจากนักบุญโยเซฟเลย ท่านเป็นคนเงียบและถ่อมตัว Fr Paul of Mill (1824-1896) เคยกล่าวไว้ว่า “นักบุญองค์หนึ่งขณะที่อยู่ในภวังค์,ได้เห็นร่างของนักบุญโยเซฟที่ถูกเก็บรักษาไว้ไม่เน่าเปื่อยเสื่อมสลายอยู่ในหลุมฝังศพ ซึ่งยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ยิ่งนักบุญโยเซฟ,ภัสดาผู้บริสุทธิ์ของพระนางมารีย์,ได้รับความเคารพนับถือมากเท่าไร การค้นพบศพของท่านก็จะเร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเป็นวันแห่งความปิติยินดีอย่างยิ่งสำหรับพระศาสนจักร”
 
หากนิมิตของอันนาได้นำไปสู่การค้นพบบ้านของแม่พระในเอเฟซัสแล้ว นั่นก็ทำให้เราคิดว่าร่างที่ไม่เน่าเปื่อยเสื่อมสลายของนักบุญโยเซฟ,หนึ่งในนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด,จะไม่รอให้ถูกค้นพบด้วยหรอกหรือ?
 
(หมายเหตุ - สถานที่ฝังศพของนักบุญโยเซฟอยู่ที่ไหนนั้น ไม่ทราบแน่ชัด ได้แต่คาดเดากัน ผู้น่าเคารพเบเด(Venerable Bede) บอกว่าที่ฝังศพนักบุญโยเซฟอยู่ที่หุบเขาโยเซฟัต(อาจหมายถึงหุบเขากิดโรนซึ่งอยู่ระหว่างเยรูซาเล้มและภูเขามะกอก) ส่วนนักบุญเจโรมเชื่อว่าอยู่ที่สวนเก็ธเซเมนี อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานที่น่าเป็นไปได้คือร่างของนักบุญโยเซฟถูกฝังไว้ที่นาซาเร็ธ อันเป็นสถานที่ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ร่วมกันในเวลาที่พระเยซูเจ้าทรงอยู่ในวัยรุ่น)
 
----------------------
 
การเสียชีวิตของนักบุญโยเซฟ
 


เรื่องราวของนักบุญโยเซฟที่เขียนในพระวรสารมีน้อยมาก และระบุเพียงว่าท่านเป็นบิดาเลี้ยงของพระเยซูเจ้า
 
ผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์ส่วนใหญ่เชื่อว่านักบุญโยเซฟเสียชีวิตก่อนที่พระเยซูออกประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ที่แน่ๆคือก่อนพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน เพราะพระวรสารไม่ได้บอกว่านักบุญโยเซฟปรากฏตัวที่กางเขน และพระเยซูเจ้ายังทรงมอบพระมารดาให้นักบุญยอห์นเป็นผู้ดูแลอีกด้วย
 
ตามธรรมประเพณีมากมายเชื่อว่านักบุญโยเซฟเสียชีวิตในอ้อมแขนของพระเยซูและพระนางมารีย์ เป็นภาพที่สวยงาม ซึ่งทำให้ศาสนจักรประกาศให้นักบุญโยเซฟเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของ "ผู้ใกล้ตาย"
 
มีผู้ที่เขียนเรื่องราวช่วงเวลานี้ไว้หลายท่าน แต่ผู้หนึ่งที่เขียนเรื่องนี้ที่น่าประทับใจคือ บุญราศีมารีย์ แห่ง อากรีดา เธอได้เขียนไว้ในหนังสือ “นครลึกลับของพระเจ้า” ซึ่งเธอได้รับการเปิดเผยในภาพนิมิตจากสวรรค์เป็นการเปิดเผยส่วนบุคคล ข้อเขียนเป็นดังนี้
 
แล้วนั้น,คนของพระเจ้าได้หันหน้าไปที่พระคริสตเจ้าด้วยความเคารพเทิดทูนสุดจิตใจ ท่านปรารถนาจะคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์พระองค์ แต่พระเยซูเจ้าผู้อ่อนโยนเสด็จมาใกล้ท่านและประคองท่านขึ้นมาและโอบศีรษะของท่านในอ้อมแขน โยเซฟพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า,เจ้านายสูงสุดของข้าพเจ้า,พระบุตรแห่งพระบิดานิรันดร,พระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของโลก โปรดอวยพระพรแก่ผู้รับใช้ของพระองค์และผลงานของพระองค์ผู้นี้ด้วยเถิด โอ้,พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเมตตา,โปรดอภัยความผิดที่ข้าพเจ้าได้ทำในการรับใช้พระองค์ด้วย ข้าพเจ้าเคารพเทิดทูนพระองค์และขอบพระคุณชั่วนิรันดรด้วยสิ้นสุดหัวใจของข้าพเจ้า ในการที่ทรงพระกรุณาเลือกข้าพเจ้าให้เป็นคู่สมรสของพระมารดาที่แท้จริงของพระองค์ ขอให้พระเกียรติรุ่งโรจน์ของพระองค์เป็นการขอบพระคุณของข้าพเจ้าตลอดนิรันดรด้วยเทอญ” องค์พระผู้ไถ่ของโลกทรงประทานการอวยพรโดยตรัสว่า “คุณพ่อของลูก, จงพักผ่อนในสันติและในพระหรรษทานแห่งพระบิดานิรันดรและของลูกเถิด, บรรดาประกาศกและนักบุญทั้งหลายกำลังรอคอยท่านในสถานที่แห่งการรอคอย(limbo) ขอให้ท่านนำข่าวที่น่ายินดีของการไถ่กู้ของพวกเขาที่ใกล้จะมาถึงไปบอกพวกเขาด้วย” เมื่อพระเยซูตรัสวาจาเหล่านี้,นักบุญโยเซฟก็จากไป พระเยซูเองทรงเป็นู้ปิดตาของท่านนักบุญ
 
นักบุญโยเซฟ”เสียชีวิตอย่างมีความสุข” โดยมีพระนางมารีย์และพระเยซูเจ้าที่ท่านรักมากที่สุดในจักรวาลอยู่เคียงข้างท่าน
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น