พระเจ้าจะไม่ทรงละทิ้งเราในช่วงเวลาแห่งความตาย
โดยนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์
ดังเช่นมารดาที่อ่อนโยนพาลูกเล็กๆของเธอไปด้วย,ช่วยลูกให้เดิน,อุ้มลูกตามที่เห็นว่าจำเป็น หรือยอมให้ลูกเดินเองตามทางที่ราบเรียบไม่เป็นอันตราย บางครั้งมารดาก็จับมือลูกไว้อย่างมั่นคงและจูงไป บางครั้งก็อุ้มลูกไว้ในอ้อมแขนสักครู่หนึ่ง
เช่นเดียวกัน,พระเจ้าของเราทรงดูแลและชี้นำบรรดาบุตรธิดาของพระองค์อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ บรรดาคนเหล่านั้นที่มีใจเมตตากรุณา, ทรงทำให้พวกเขาเดินไปเบื้องพระพักตร์พระองค์, ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์มายังพวกเขาในความยากลำบาก และทรงอุ้มพวกเขาในการทดลองซึ่งพระองค์เห็นว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น,พวกเขาจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง
พระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนี้โดยผ่านทางประกาศกอิสยาห์ว่า “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจับมือเจ้าและบอกกับเจ้าว่า อย่ากลัวเลย เพราะเราได้ช่วยเจ้าแล้ว” และพระวาจานี้เต็มไปด้วยความอ่อนหวาน พระเจ้าทรงทอดพระเนตรวิญญาณของพวกเขาตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มเข้าสู่ชีวิตแห่งการมีใจเมตตากรุณาจนกระทั่งถึงความสมบูรณ์ครบครันในขั้นสุดท้ายของพวกเขา,ซึ่งจะบังเกิดผลในเวลาแห่งความตายเท่านั้น ผู้ที่เพียรทนจนถึงวันสุดท้ายจะได้รอด
ในที่สุด,กษัตริย์แห่งสวรรค์,เมื่อได้ทรงนำทางวิญญาณที่พระองค์ทรงรักไปจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิตของเขาแล้ว,พระองค์ยังคงช่วยเขาให้อยู่ในสถานะแห่งพระพรในเวลาที่เขาต้องจากไป โดยพระองค์นำพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดรมายังเขา,ซึ่งเป็นรางวัลอันน่าชื่นชมยินดีสำหรับความพากเพียรอันศักดิ์สิทธิ์
แล้วนั้นวิญญาณ,เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักต่อผู้เป็นที่รักของเขา,อันแสดงถึงความโปรดปรานและความช่วยเหลือมากมายที่พระองค์ทรงป้องกันและช่วยเหลือเขาในระหว่างวันแห่งการจาริกแสวงบุญของเขาบนโลก เขาจุมพิตพระหัตถ์อันหอมหวานของพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน,พระหัตถ์ซึ่งนำพาเขาไปตลอดทาง วิญญาณสารภาพว่าทุกสิ่งมาจากพระผู้ช่วยให้รอดอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ทำให้เขาได้รับความสุขทั้งหมด เนื่องจากพระองค์ทรงทำทุกสิ่งที่ยาโคบ,ปฐมอัยกาผู้ยิ่งใหญ่ปรารถนาสำหรับการเดินทางของเขา, เมื่อเขาเห็นบันไดที่พาดลงมาจากสวรรค์
“พระเจ้าข้า” วิญญาณกล่าวว่า “พระองค์ทรงสถิตอยู่กับข้าพเจ้า และทรงช่วยข้าพเจ้าให้อยู่ในหนทางที่ข้าพเจ้าจะต้องเดิน พระองค์ทรงประทานขนมปังแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพื่อบำรุงเลี้ยงข้าพเจ้า พระองค์ทรงสวมใส่ข้าพเจ้าด้วยเสื้อมงคลสมรสแห่งความรักความเมตตา พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาสู่ที่ประทับแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ซึ่งเป็นบ้านของพระองค์ ข้าแต่พระบิดานิรันดรของข้าพเจ้า! ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดที่จะทำได้นอกจากประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์” อาเมน
นั่นคือลำดับความก้าวหน้าของเราสู่ชีวิตนิรันดร,สำหรับความสำเร็จของผู้ซึ่งพระญาณเอื้ออาทรอันศักดิ์สิทธิ์ได้ทรงสถาปนาไว้ไห้เขาตั้งแต่นิรันดร, ความช่วยเหลือต่างๆและพระหรรษทานที่จำเป็นมากมายเหลือล้นซึ่งพวกเขาได้รับ
* * * * * * *
บทความนี้นำมาจากบทหนึ่งในหนังสือ Consoling Thoughts on Sickness and Death โดยนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ซึ่งตีพิมพ์โดยTAN Books.
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น