วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2565

สูญหายและได้พบ

 



เมื่อขบวนรถไฟบรรทุกนักโทษชาวยิวจำนวนมากมาถึงค่ายกักกันที่เป็นศูนย์ประหารชีวิตชาวยิวของนาซีแห่งหนึ่ง ชาวโปแลนด์จำนวนมากออกมาดูชาวยิวกลุ่มล่าสุดขณะที่พวกเขากำลังถูกพาตัวไป ขณะที่ชาวยิวที่สับสนกำลังรวบรวมสิ่งของเพื่อนำเข้าไปในค่ายด้วย เจ้าหน้าที่นาซีที่ดูแลอยู่ก็บอกชาวโปแลนด์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆว่า “สิ่งของต่างๆที่พวกยิวทิ้งไว้เบื้องหลังนี้ จงไปเก็บเอาไว้ใช้เองเถิด เพราะพวกเขาจะไม่ได้กลับมาเพื่อเอากลับคืนไปได้อีกแน่นอน!"
 
ผู้หญิงชาวโปแลนด์สองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ,เห็นผู้หญิงชาวยิวคนหนึ่งเดินมาทางด้านหลังแถวของกลุ่ม เธอสวมเสื้อโค้ทขนาดใหญ่ที่หนักและมีราคาแพง โดยไม่รีรอให้คนอื่นถอดเสื้อคลุมของเธอก่อน,พวกเขาวิ่งไปหาหญิงชาวยิวคนนั้นและกระแทกเธอลงกับพื้น ถอดเสื้อคลุมของเธอออกแล้วรีบหนีไปพร้อมกับเสื้อคลุม
 
หญิงชาวโปแลนด์รีบวางเสื้อคลุมลงบนพื้นอย่างรวดเร็วเพื่อแยกสิ่งของที่ริบมาได้ซึ่งซ่อนอยู่ภายในเสื้อคลุม พวกเธอค้นกระเป๋าเสื้อพบเครื่องประดับทอง,เชิงเทียนเงิน,และสิ่งของที่เป็นมรดกตกทอดอื่นๆ พวกเขาตื่นเต้นกับสิ่งที่ค้นพบ แต่เมื่อยกเสื้อคลุมขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนหนักกว่าที่ควรจะเป็น,เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม, พวกเขาพบกระเป๋าลับที่ซ่อนอยู่ภายในเสื้อคลุมนั้น และสิ่งที่พบก็คือ .... ทารกหญิงตัวเล็ก ๆ !
 
ด้วยความตกใจในสิ่งที่ค้นพบ,หญิงโปแลนด์คนหนึ่งในพวกเขาได้พูดกับผู้หญิงอีกคนว่า “ฉันไม่มีลูกเลย, และตอนนี้ฉันแก่เกินกว่าจะให้กำเนิดลูกได้แล้ว เธอเอาเงินและทองไปเถิดและให้ฉันเอาทารกนี้ไปเลี้ยง” หญิงชาวโปแลนด์ผู้นั้นพา "ลูกสาว" คนใหม่กลับบ้านไปหาสามีที่มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเลี้ยงดูเด็กหญิงชาวยิวในฐานะลูกสาวของพวกเขาเอง เลี้ยงดูทารกเป็นอย่างดีจนเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่, แต่ไม่เคยบอกอะไรเกี่ยวกับประวัติแท้จริงของเธอเลย เด็กหญิงคนนี้เรียนเก่งและศึกษาในมหาวิทยาลัยในคณะแพทย์ศาสตร์ เมื่อสำเร็จการศึกษาเธอเป็นหมอโดยทำงานเป็นกุมารแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในโปแลนด์
 
เมื่อ "แม่" ที่เลี้ยงดูเธอมาเสียชีวิตในอีกหลายปีต่อมา, มีผู้มาเยี่ยมเยียนหญิงสาว,เป็นหญิงชราคนหนึ่ง,ผู้หญิงที่เคยอยู่กับแม่ของเธอในตอนที่แบ่งของในเสื้อคลุม หญิงชราเข้ามาในบ้านของหญิงสาวและพูดกับเธอว่า "ฉันต้องการให้คุณรู้ว่าผู้หญิงที่เสียชีวิตไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้นไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของคุณ ... " และเธอก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง ตอนแรกหญิงสาวไม่เชื่อเธอ แต่หญิงชรายืนกราน
 
“เมื่อเราพบคุณ คุณสวมสร้อยคอทองคำที่สวยงามและมีตัวอักษรแปลกๆ อยู่บนนั้น ซึ่งต้องเป็นภาษาฮีบรู
 
"ฉันแน่ใจว่าแม่ของคุณเก็บสร้อยคอไว้ ไปดูเอาเองเถอะ” หญิงสาวไปค้นสิ่งของในกล่องเครื่องประดับของแม่ที่เสียชีวิตไป และพบสร้อยคอตามที่หญิงชราอธิบายไว้ เธอตกใจมาก มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าเธอมีเชื้อสายยิว แต่มีหลักฐาน,มันอยู่ที่นั่นในมือของเธอ เนื่องจากนี่เป็นสายสัมพันธ์เดียวของเธอกับอดีตที่แท้จริง, เธอจึงหวงแหนสร้อยคอนี้มาก เธอนำสร้อยไปขยายให้ยาวขึ้นเพื่อให้พอดีกับคอและสวมมันทุกวัน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับรากเหง้าความเป็นยิวของเธออีกต่อไป
 
ในเวลาต่อมา, เธอไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดในต่างประเทศ และได้พบกับเด็กชายชาวยิวสองคนที่ยืนอยู่บนถนนสายหลัก พวกเขาพยายามดึงดูดความสนใจให้ชาวยิวที่ผ่านไปมาให้สวมสร้อย Tefillin บนแขนของพวกเขา (สร้อยสำหรับผู้ชาย) หรือจุดเทียน Shabbos ในบ่ายวันศุกร์ (สำหรับผู้หญิง) หญิงสาวฉวยโอกาสนี้เล่าเรื่องราวทั้งหมดของเธอให้พวกเขาฟังและแสดงสร้อยคอให้พวกเขาดู เด็กชายยืนยันว่ามีชื่อชาวยิวจารึกไว้บนสร้อยคอ แต่ไม่ทราบสถานะของเธอ พวกเขาแนะนำให้เธอเขียนจดหมายถึงที่ปรึกษาของพวกเขา รับไบ Lubavitcher Rebbe ซึ่งเขาจะอธิบายได้ทุกอย่าง ถ้าใครอยากจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร, ก็คงต้องปรึกษาเขานี่แหละ
 
เธอทำตามคำแนะนำและส่งจดหมายไปในวันเดียวกัน เธอได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็วโดยบอกว่ามันชัดเจนมากในข้อเท็จจริงที่ว่าเธอเป็นเด็กหญิงชาวยิว และบางทีเธออาจพิจารณาที่จะใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอในการทำงานที่อิสราเอลซึ่งกำลังมีความต้องการกุมารแพทย์ที่มีความสามารถ ด้วยความอยากรู้ของเธอทำให้เธอเดินทางไปอิสราเอล ซึ่งเธอได้ปรึกษากับศาลสูงทางศาสนายิว Rabbinical Court (Beit Din) ซึ่งประกาศให้เธอเป็นชาวยิว ในไม่ช้าเธอก็ได้รับงานจากโรงพยาบาลเพื่อทำงาน และที่นั่น,เธอก็ได้พบกับสามีและสร้างครอบครัวในอิสราเอล
 
ในเดือนสิงหาคม 2011, ผู้ก่อการร้ายได้ระเบิดร้านกาแฟ Sbarro ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเยรูซาเล็ม ผู้บาดเจ็บจำนวนมากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่หญิงสาวคนนี้ทำงานอยู่ ผู้ป่วยรายหนึ่งถูกนำตัวเข้ามา เป็นชายสูงอายุที่อยู่ในอาการช็อก เขากำลังค้นหาหลานสาวของเขาที่สูญหายไปเมื่อนานมาแล้วตามสถานที่ต่างๆ
 
เมื่อมีคนถามว่าเขาจะจำเธอได้อย่างไร คุณปู่ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับสร้อยคอทองคำที่เธอสวมอยู่
 
ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกันในหมู่ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ
 
เมื่อเห็นสร้อยคอเส้นที่ชายชราสวมใส่อยู่, กุมารแพทย์ถึงกับชะงัก เธอหันไปหาชายชราแล้วพูดว่า "คุณซื้อสร้อยคอนี้มาจากที่ไหน?"
 
“คุณซื้อสร้อยคอแบบนี้ไม่ได้” เขาตอบ “ผมเป็นช่างทองและผมก็เป็นคนทำสร้อยคอนี้เอง จริงๆ แล้วผมทำสร้อยคอที่เหมือนกันนี้สองชิ้นสำหรับลูกสาวแต่ละคน นี่คือหลานสาวของผมจากลูกสาวของผมคนหนึ่งในนั้น ส่วนลูกสาวอีกคนของผม,ไม่รอดชีวิตจากสงคราม"
 
และนี่คือเรื่องราวของเด็กสาวชาวยิวที่ถูกพรากจากแม่อย่างโหดเหี้ยมในค่ายกักกันนาซีเมื่อเกือบหกสิบปีก่อน และเธฮได้กลับมาพบกับปู่ของเธออีกครั้ง .....
 
นำมาจากหนังสือ "Heroes of Faith (วีรบุรุษแห่งความเชื่อ)"
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น