วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2566

การฝึกจิตภาวนา

 


 
วิธีรำพึงไตร่ตรองแบบสั้นๆ โดยนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์:
 
ขั้นแรก- การสถิตอยู่ของพระเจ้า,การเตรียมตัวในขั้นตอนแรก
 
ท่านที่รัก,อาจเป็นไปได้ว่าท่านยังไม่รู้วิธีฝึกจิตภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกละเลยไปเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
 
เพราะฉะนั้น,ข้าพเจ้าจะแนะนำวิธีสั้นๆและง่ายแก่ท่าน จนกว่าท่านจะได้อ่านหนังสือต่างๆที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด,จนกว่าการฝึกปฏิบัติจะสอนท่านให้รู้ถึงวิธีการใช้งานอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
 
ประการแรกสุด,คือการเตรียมตัวซึ่งประกอบด้วยสองขั้นตอน: ขั้นตอนแรก เป็นการวางตัวท่านอยู่ในการสถิตของพระเจ้า และขั้นตอนที่สอง คือการวอนขอความช่วยเหลือจากพระองค์
 
และเพื่อที่ท่านจะวางตัวอยู่ในการสถิตของพระเจ้า,ข้าพเจ้าจะแนะนำข้อควรพิจารณาหลักสี่ประการซึ่งท่านสามารถนำไปใช้ได้เป็นอันดับแรก
 
ประการแรก,การตระหนักรู้อย่างจริงจังและมีชีวิตชีวาว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่อย่างสากล,กล่าวคือพระองค์สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง,ไม่มีสถานที่ใด,ไม่มีสิ่งใดในโลกปราศจากการสถิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ดังเช่นนกที่บินอยู่,ปีกของมันสัมผัสกับอากาศตลอดเวลา เราก็เช่นกัน,ให้เราไปในที่ที่เราจะไป,และให้เราพบกับการสถิตของพระองค์เสมอในทุกหนทุกแห่ง
 
เป็นความจริงที่ทุกคนพร้อมที่จะตระหนักเช่นนี้,แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เท่าเทียมกันในการตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งนี้
 
คนตาบอดเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าชายจะรักษากิริยาให้ดูน่านับถือถ้ามีคนบอกเขาว่าพระมหากษัตริย์อยู่ที่นั่น,ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นพระองค์ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ,สิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นนั้น,มักจะถูกลืมได้ง่าย และมักจะทำให้เขาตกอยู่ในความเลินเล่อและไม่เคารพ
 
ด้วยเหตุที่เราไม่เห็นพระเจ้า และแม้ว่าความเชื่อจะเตือนเราว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่,เพียงแต่เราไม่เห็นพระองค์ด้วยตาของมนุษย์ ดังนั้น,เราจึงมักจะลืมพระองค์และทำราวกับว่าพระองค์อยู่ห่างไกล เพราะถึงแม้เราจะรู้ดีแก่ใจว่าพระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ถ้าเราไม่คิดใคร่ครวญถึงสิ่งนี้,ก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้รับรู้สิ่งนี้
 
ดังนั้น,ก่อนที่จะเริ่มสวดภาวนา,เราจำเป็นต้องปลุกจิตวิญญาณให้ระลึกถึงอย่างแน่วแน่ถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าอยู่เสมอ
 
นี่คือสิ่งที่ดาวิดหมายถึงเมื่อเขาอุทานว่า “ถ้าข้าพระองค์ปีนขึ้นไปบนสวรรค์,พระองค์ก็อยู่ที่นั่น,และถ้าข้าพเจ้าลงไปที่นรก,พระองค์ก็อยู่ที่นั่นด้วย!”
 
และในทำนองเดียวกัน,ยาโคบผู้ซึ่งเห็นบันไดทอดยาวขึ้นไปสู่สวรรค์,เขาก็ร้องขึ้นว่า "แน่ทีเดียว องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ที่นี้” และข้าพเจ้ารู้ว่ายาโคบย่อมคิดถึงเรื่องนี้เสมอ เพราะเขาจะไม่พลาดที่จะรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งและในทุกสิ่ง
 
ดังนั้น,เมื่อท่านพร้อมที่จะสวดภาวนา,ท่านต้องพูดอย่างสุดจิตสุดใจว่า แน่ทีเดียว,พระเจ้าทรงสถิตอยู่ที่นี่จริงๆ
 
วิธีที่สองในการวางตัวท่านอยู่ในการสถิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้านี้ก็คือการระลึกว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่แต่ในสถานที่ที่ท่านอยู่เท่านั้น แต่พระองค์สถิตอยู่ในหัวใจและความคิดของท่านเป็นพิเศษ และพระองค์ทรงจุดประกายและดลใจท่านด้วยการสถิตอยู่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ทรงสถิตอยู่ ณ ที่นั่นดุจดวงพระทัยแห่งหัวใจของท่าน ดุจดังจิตวิญญาณแห่งวิญญาณของท่าน
 
เช่นเดียวกับที่วิญญาณทำให้ทั้งร่างกายและอวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหว พระองค์ทรงสถิตในเรา,ทรงสถิตอยู่ในหัวใจของเราเป็นพิเศษ ดังนั้น,พระเจ้าขณะที่สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง,ทรงสร้างที่พำนักพิเศษของพระองค์ในวิญญาณของเรา
 
เพราะฉะนั้น,ดาวิดจึงเรียกพระเจ้าว่าทรงเป็นความเข้มแข็งแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และนักบุญเปาโลกล่าวว่าในพระองค์,เรามีชีวิต,เคลื่อนไหว,และมีความเป็นอยู่ของเรา
 
ท่านจงดำรงอยู่ในความคิดนี้จนกว่าท่านจะเกิดความรู้สึกเคารพเทิดทูนอย่างสูงต่อพระเจ้าในหัวใจของท่าน,พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่กับท่านอย่างใกล้ชิด
 
วิธีที่สามคือให้ดำรงอยู่ในความนึกคิดถึงพระเยซูเจ้า,องค์ผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ทอดพระเนตรมายังมนุษย์ทุกคน,แต่ทรงทอดพระเนตรมายังคริสตชนทุกคนเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาเป็นบุตรชายหญิงของพระองค์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง,ทรงทอดพระเนตรมายังคนเหล่านั้นที่สวดภาวนา,พระองค์ทรงเฝ้าดูการกระทำของพวกเขา
 
นี่ไม่ใช่เพียงจินตนาการ,แต่เป็นความจริงอย่างยิ่ง,และแม้ว่าเราจะไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังทอดพระเนตรมายังเรา พระองค์ทรงทำเช่นนี้ต่อนักบุญสตีเฟนในช่วงเวลาแห่งมรณสักขีกรรมของเขา,ทรงเฝ้าดูเขา และเราอาจพูดเช่นเดียวกับเจ้าสาวในบทเพลงของโซโลมอนว่า “ดูซิ เขากำลังยืนอยู่หลังกำแพง มองเข้ามาทางหน้าต่าง ลอบมองผ่านลูกกรงเข้ามา” (เพลงของเพลง 2:9 ).
 
จากหนังสือคำแนะนำสู่ชีวิตศรัทธา
 
โดยนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น