นักบุญมาเดอลีน โซฟี บารัต(madeline sophie barat)
มีสักกี่คนที่ไม่เคยถูกหักหลังจากคนที่ใกล้ชิด? ดูเหมือนว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งบางคนแม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดเรามากก็หันมาต่อต้านเรา และเรามักจะไม่ทันตั้งตัว นอกจากนี้,เรายังไม่แน่ใจด้วยว่าเราควรตอบสนองอย่างไร นักบุญมาเดอลีน โซฟี บารัต(madeline sophie barat) จะแบ่งปันวิธีหนึ่งที่เราสามารถตอบสนองเมื่อเราถูกหักหลัง
ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา
โซฟีเกิดในปี 1779 ในแคว้นเบอร์กันดีของฝรั่งเศส เธอเป็นลูกสาวคนสุดท้องของ Jacques Barat, ซึ่งเป็นชาวสวนองุ่นและช่างซ่อมถังไม้สำหรับใส่ไวน์(cooper) โซฟีคลอดก่อนกำหนดอันเนื่องมาจากไฟไหม้และทำให้ชีวิตของแม่ของเธอตกอยู่ในอันตราย แม่ของเธอฟื้นตัวเต็มที่ แต่โซฟีค่อนข้างอ่อนแอและขี้โรคในช่วงปีแรกๆของเธอ ในที่สุด เธอก็เริ่มมีกำลังมากขึ้นและเริ่มวิ่งไปรอบๆท่ามกลางเนินเขาที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์ ขณะเดียวกันก็เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตและความเชื่อจากแม่ของเธอด้วย
หลุยส์พี่ชายของเธอซึ่งอายุมากกว่าเธอสิบเอ็ดปีได้รับเลือกให้เป็นพ่อทูนหัวของเธอเมื่อเธอรับศีลล้างบาปในวันรุ่งขึ้นหลังจากเธอเกิด ชายหนุ่มจะรับผิดชอบอย่างจริงจัง เมื่อโซฟียังอยู่ในวัยเยาว์,หลุยส์ตอบรับกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์และออกเดินทางไปปารีสเพื่อเริ่มการศึกษา หลังจากได้รับการบวชเป็นสังฆานุกรเมื่ออายุได้ 22 ปี เขาก็ได้รับมอบหมายให้สอนที่วิทยาลัยในบ้านเกิดของเขา
ขณะที่หลุยส์สอนสามเณร,เขารับหน้าที่จัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับโซฟี สำหรับเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ การนั่งอ่านหรือรับคำแนะนำนับว่ามากเกินไปเมื่อมีโลกที่สวยงามภายนอกให้สำรวจ ในที่สุด เมื่อได้รับพื้นที่ส่วนตัวในห้องใต้หลังคาเพื่อเรียนหนังสือ,เธอก็เริ่มอดทน,จากนั้นก็ยอมรับการศึกษาในที่สุด หลุยส์คาดหวังสูงสำหรับโซฟี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา,โซฟีจะได้เรียนรู้วิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ภาษาละติน ภาษากรีก ภาษาอิตาลี และภาษาสเปน
การปฏิวัติฝรั่งเศสและการคุมขัง
ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งโซฟีมีอายุสิบสี่ปี ในระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส,พี่ชายของเธอซึ่งตอนนี้ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว,ถูกจับเข้าคุกเมื่อเขาอยู่ในปารีส ครอบครัวสิ้นหวังกับชีวิตของเขาในขณะที่เขาต้องทนอยู่ในคุกในข้อหาเป็นพระสงฆ์และปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลปฏิวัติ แม่ของโซฟีรู้สึกว้าวุ่นใจมากจนถึงจุดหนึ่ง เธอไม่ยอมกินข้าว โซฟีช่วยชีวิตแม่ของเธอโดยบอกแม่ของเธอว่า เธอเองก็เช่นกัน จะหยุดกินเพื่อที่พวกเขาจะได้ตายไปพร้อมกัน ด้วยความรักที่มีต่อลูก แม่จึงยอมกินอาหาร
ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความศรัทธาของโซฟีต่อดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ในช่วงเวลาที่ถูกคุมขังเป็นเวลาสองปีของหลุยส์,ครอบครัวจะสวดภาวนาต่อพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าเพื่อให้หลุยส์ได้รับการปล่อยตัวและครอบครัวจะได้มีพละกำลังตามที่พวกเขาต้องการ และคำภาวนาของพวกเขาก็ได้รับการตอบสนองเมื่อหลังจากการล่มสลายของผู้นำรัฐบาลปฏิวัติ,โรเบสปีแอร์(Robespierre),หลุยส์ก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก
การย้ายไปปารีส
เพื่อให้โซฟีได้รับการศึกษาต่อไป,หลุยส์ได้ขอร้องพ่อแม่ของเขาว่าขอให้ยอมให้โซฟีย้ายไปปารีส ซึ่งเขาสามารถดูแลเธอและการศึกษาของเธอเป็นการส่วนตัวต่อไปได้ หลังจากการจำคุกของหลุยส์และอันตรายอย่างต่อเนื่องของการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ทั้งต่อต้านพระสงฆ์และต่อต้านพระศาสนจักรคาทอลิก พ่อแม่ของโซฟีก็ลังเลใจที่จะเห็นด้วยกับแผนดังกล่าว ในที่สุดมีการประนีประนอมว่าโซฟีจะกลับบ้านในช่วงเวลาวินเทจ(ช่วงเวลาที่มีการกลั่นเหล้าองุ่น)
โซฟีและหลุยส์อาศัยอยู่ในบ้านของมาดมัวแซล ดูวาล(Mademoiselle Duval) ในแต่ละวันเขาจะแอบประกอบพิธีมิสซาซึ่งเป็นความเสี่ยงสำหรับพวกเขาทั้งสามคน นอกจากนี้หลุยส์เริ่มเปลี่ยนแผนการเรียนของโซฟี แทนที่จะเรียนบทกวีโฮเมอร์, เวอร์จิล, และเซร์บันเตส โซฟีจะอ่านผลงานของบรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรในยุคแรก แผนของเขาคือทำให้แน่ใจว่าเธอพัฒนาจิตวิญญาณของเธอด้วยความจริงแห่งความเชื่อแทนที่จะพัฒนารสนิยมงานทางโลกมากเกินไป
แม้ว่าความตั้งใจของเขาจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่หลุยส์สามารถทำอะไรได้ไกลกว่านั้นเมื่อพยายามทำให้แน่ใจว่าโซฟีพัฒนาการควบคุมตนเองและการปล่อยวาง เธอเป็นช่างเย็บผ้าที่ประสบความสำเร็จและทำงานในโครงการเย็บผ้าหลายโครงการอย่างลับๆ เมื่อพี่ชายของเธอรู้เรื่องนี้ เขาก็ทำลายชุดที่เธอทำเพื่อตัวเองพร้อมกับงานเย็บปักถักร้อยที่เธอทำเป็นของขวัญให้เขา
กลุ่มพระสงฆ์แห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
ความกระตือรือร้นของหลุยส์มีประสิทธิผลมากขึ้นเมื่อเขาเข้าร่วมกับกลุ่มพระสงฆ์แห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์(Fathers of the Sacred Heart) ซึ่งปฏิบัติตามกฎของนักบุญอิกนาเชียส แห่งโลโยลา(St. Ignatius of Loyola) ในเวลานั้น,คณะเยซูอิตถูกระงับจากสันตะสำนัก และพระสงฆ์ของกลุ่มใหม่นี้ก็หวังว่าจะได้เป็นเยซูอิตเมื่อคณะได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ คุณพ่ออธิการคนแรก,คุณพ่อเดอตูร์เนลี(Father de Tournely) เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 30 ปี และคุณพ่อโจเซฟ วาริน(Joseph Varin.)เข้ามาแทนที่ท่าน
หลังจากการล่มสลายของการปฏิวัติฝรั่งเศส,มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณะ,และในหลายกรณี จำเป็นต้องสร้างสิ่งที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่ ในการตอบสนองสิ่งนี้, Fr. de Tournely ได้วางแผนที่จะจัดตั้งคณะนักบวชสตรีที่มีความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์,ซึ่งจะให้การศึกษาแก่ทุกชนชั้น คุณพ่อวาริน,ในฐานะอธิการลำดับต่อมา,จะยึดแผนนี้เหมือนเป็นแผนของท่านเอง
วันหนึ่ง ระหว่างการสนทนา,คุณพ่อ วารินถามหลุยส์ว่าเขามีความผูกพันกับโลกนี้อย่างไร หลุยส์บอกกับคุณพ่อ วารินเกี่ยวกับน้องสาวของเขา,โซฟีที่อยู่ในความดูแลของเขา เมื่อคุณพ่อ วารินได้เรียนรู้เกี่ยวกับโซฟี รวมทั้งพรสวรรค์ด้านการศึกษา และนิสัยใจคอของเธอ ทำให้ท่านสนใจมากขึ้น ในที่สุดท่านก็ยืนยันว่าจะพบเธอ
ก่อนที่เธอจะได้พบกับคุณพ่อ วาริน,โซฟีผู้อาจไม่เคยเห็นแม่ชีหรือซิสเตอร์จริงๆมาก่อน เชื่อมั่นว่าเธอถูกเรียกให้เข้าสู่ชีวิตนักบวช จากการอ่านของเธอ เธอคุ้นเคยกับคณะคาร์เมลในสเปน และเธอจินตนาการว่าวันหนึ่งตัวเองได้เข้าร่วมในคณะคาร์เมลไลท์ อย่างไรก็ตาม หลังจากได้พบกับคุณพ่อ วารินทั้งโซฟีและคุณพ่อ วารินสัมผัสได้ถึงแผนการของพระเจ้าที่ให้เธอช่วยก่อตั้งคณะใหม่หรือนักบวชสตรีที่มีพันธกิจในการสอนหนังสือ
การก่อตั้งและการแต่งตั้งเป็นคุณแม่อธิการ
ไม่นานหลังจากการประชุม,คุณพ่อ วารินเขียนกฎบางอย่างสำหรับคณะใหม่ และในไม่ช้า,โซฟีและหญิงสาวอีกสามคนที่เข้าร่วมในพิธีมิสซากับคุณพ่อ,ก็เตรียมที่จะดำเนินการขั้นแรกในการก่อตั้งคณะ ดังนั้น,เมื่ออายุยี่สิบปี ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1800 โซฟีและหญิงสาวคนอื่นๆได้ทำพิธีถวายตัวอย่างสง่าแด่ดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นรากฐานสำหรับสิ่งที่จะกลายเป็นคณะแห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์(Society of the Sacred Heart.)
ไม่ถึงหนึ่งปีต่อมาในวันที่ 17 ตุลาคม 1801 ผู้หญิงเหล่านี้เข้าควบคุมโรงเรียนที่ปิดไปแล้วในอาเมียงเพื่อเริ่มงานสอนอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากที่อธิการิณีคนแรกทำงานไม่ได้ผล,คุณพ่อ วารินเลือกโซฟีให้อธิการิณีคนต่อไปเมื่ออายุยี่สิบสาม เมื่อเธอรู้ว่าเธอได้รับเลือก,เธอน้ำตาไหลและขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ อย่างไรก็ตาม,คุณพ่อ วารินยืนกรานให้เธอเป็นอธิการิณี โซฟียอมรับและจูบเท้าของหญิงสาวอีกคนทันทีเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอจะเป็นคนรับใช้ของพวกเขามากกว่าเจ้านายของพวกเขา ต่อมาเมื่อกฎระเบียบอย่างเป็นทางการได้รับการอนุมัติ,โซฟีจะได้รับเลือกให้เป็นอธิการิณีของคณะอีกครั้ง และเธอได้เป็นจวบจนเสียชีวิต
การที่เธอทำตามหน้าที่ได้อย่างดีมากตั้งแต่เริ่มแรก ภายใต้การนำของเธอ โรงเรียนแห่งแรกประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนต้องทำการย้ายโรงเรียนไปที่แห่งใหม่หลายครั้งในรอบหลายปีเพื่อหาที่พักให้พอดีกับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากผู้หญิงที่เข้าร่วมตั้งแต่แรกแล้ว หญิงสาวใหม่หลายคนก็เข้าร่วมในคณะด้วย พวกเขาทั้งหมดถูกทดลองโดยเตาหลอมของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งช่วยให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตที่ยากจน,การถือพรหมจรรย์,และการนบนอบเชื่อฟัง และส่งต่อภูมิปัญญาของพวกเขาไปยังเด็กๆภายใต้การดูแลของพวกเขา
ในไม่ช้าคณะดังกล่าวก็ได้ก่อตั้งคอนแวนต์ใหม่สองแห่งใน Sainte-Marie-de'en-Haut และ Poitiers คอนแวนต์ที่ Poitiers นี้กลายเป็นบ้านที่สมาชิกใหม่เข้ารับการฝึกเป็นโนวิส และโซฟีเองก็ย้ายมาที่คอนแวนต์แห่งนี้เพื่อทำหน้าที่หัวหน้าโนวิส
เมฆพายุ
หลายปีต่อมาในปี 1808 โซฟีกลับไปเยี่ยมคอนแวนต์แห่งแรกในอาเมียงเพียงเพื่อพบว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของบรรดาซิสเตอร์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่แสดงไว้ในกฎทั่วไปของคณะ ชีวิตของคอนแวนต์ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างลับๆ โดยมาดามโบเดอมองต์ อธิการิณีของคอนแวนต์ภายใต้การดูแลของคุณพ่อ เดอ เซนต์ เอสตีฟ(Fr. de St. Esteve) คุณพ่อได้ละทิ้งจิตวิญญาณของคณะและแทนที่ด้วยวิธีการที่เข้มงวดมาก แรงจูงใจของคุณพ่อไม่อาจถือว่าไร้เดียงสาได้ เนื่องจากเขาไม่เพียงต้องการควบคุมคอนแวนต์เท่านั้น แต่มีเป้าหมายที่จะเข้าควบคุมคณะทั้งหมด ในความเป็นจริงคุณพ่อ de St. Esteve อ้างตัวเองว่าเป็นผู้ก่อตั้งและละทิ้งการปฏิบัติตามกฎของ St. Ignatius และความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
ที่น่าสนใจคือ โซฟีตัดสินใจปล่อยให้สถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามเหตุผล เธอคิดว่าการเผชิญหน้าโดยตรงประเภทใดก็ตามมีแต่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งซึ่งไม่ให้ผลลัพธ์ในเชิงบวก แต่เธอมอบเรื่องทั้งหมดไว้ในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าด้วยการสวดภาวนา,การสำนึกผิด,และความอดทน นอกจากนี้ เธอให้เหตุผลว่ามันไม่ดีที่จะพยายามแสดงอำนาจของเธอและแก้ไขการละเมิดเนื่องจากโรงเรียนดำเนินไปด้วยดีและมีความสงบสุขและความสามัคคีในชุมชนของบรรดาซิสเตอร์ โซฟีกลับให้ความสำคัญกับการสนับสนุนคอนแวนต์อื่นๆ และเป็นผู้นำในการพัฒนาผู้สมัครเข้าคณะและบรรดาโปสตูลันต์
ผลแห่งความอดทนและการสวดภาวนา
วิธีการของโซฟีได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ในปี 1812 คุณพ่อ de St. Esteve ถูกจับกุมโดยรัฐบาลของจักรวรรดิ ธรรมนูญที่เขาเสนอซึ่งถูกส่งไปยังคอนแวนต์อื่นๆถูกปฏิเสธเนื่องจากขาดความความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ จากเหตุการณ์เหล่านี้ โซฟีไปเยี่ยมคุณพ่อ วารินที่ถูกเนรเทศเพื่อร่างธรรมนูญอย่างเป็นทางการสำหรับคณะ
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบสิ้น เมื่อจักรวรรดิฝรั่งเศสล่มสลาย คุณพ่อ de St. Esteve ได้รับการปล่อยตัวจากคุก คุณพ่อเดินทางไปกรุงโรมเพื่ออ้างว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งคณะตัวจริง และธรรมนูญของเขาเป็นเพียงฉบับเดียวที่ควรได้รับการอนุมัติจากพระสันตปาปา
มาถึงตอนนี้คณะเยซูอิตได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ โซฟีขอร้องให้คณะเยซูอิตเข้าแทรกแซงและแก้ไขสถานการณ์นี้ เป็นไปได้ว่าทางคณะเยซูอิตไม่ได้เห็นจดหมายของโซฟี แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, เลขานุการได้ตอบเธอว่าพระสันตปาปาทรงรับรู้กฎระเบียบที่นำเสนอโดยคุณพ่อ de St. Esteve และใครก็ตามที่ขอถอนตัวจากการเป็นผู้นำของคุณพ่อ de Esteve จะถูกคว่ำบาตร และยิ่งไปกว่านั้น คอนแวนต์ใดที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของเขาจะถูกระงับ
คุณพ่อ วารินแนะนำให้โซฟีปฏิบัติตามคำสั่งนี้ซึ่งเธอก็ทำตามอย่างเต็มใจ พระเจ้าทรงตอบแทนความอ่อนน้อมถ่อมตนของเธอเมื่อพบว่าคุณพ่อ de Esteve เป็นผู้อนุญาตให้ส่งจดหมายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะเยซูอิต เรื่องอื้อฉาวของการหลอกลวงนี้ทำให้คุณพ่อ de Esteve สูญเสียผู้สนับสนุนในกรุงโรมและในที่สุดอิทธิพลของเขาที่มีต่อคณะก็สิ้นสุดลง
โดยอาศัยการสวดภาวนา,การทนทุกข์ทรมาน,การรอคอย,และความหวังของโซฟี คณะแห่งพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์จึงปลอดภัยและได้รับอนุญาตให้เติบโตต่อไปด้วยจิตวิญญาณแห่งอิกนาเชียสดั้งเดิมและความศรัทธาอย่างมั่นคงต่อดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า เมื่อโซฟีเสียชีวิตในปี 1865, คณะได้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นบ้าน 105 หลังซึ่งมีซิสเตอร์ 3,500 คนซึ่งให้การศึกษาแก่เด็กหญิงและหญิงสาวในยุโรป แอฟริกาเหนือ อเมริกาเหนือและใต้
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น