วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566

จดหมายของคุณพ่อบอสโกที่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก

 


คุณพ่อบอสโกได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปยังจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ(Emperor Franz Joseph of Austria),จักรพรรดิแห่งออสเตรีย และถ้าหากพระองค์ปฏิบัติตามคำแนะนำในจดหมายของคุณพ่อบอสโกแล้ว ประวัติศาสตร์ของโลกจะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้เลย
 
ให้เรามาดูสถานการณ์ของพระศาสนจักรในโลกและออสเตรียในปี 1873 และดูว่าข้อความในจดหมายนั้นเขียนว่าอย่างไร 
-------------
 
เมื่อนโปเลียนโจมตีออสเตรียในปี 1809,ออสเตรียได้ปกป้องตัวเอง (ออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีอาณาเขตครอบคลุมหลายประเทศในยุโรปในสมัยนั้น)
 
แต่เพราะอ่อนแอลง,เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในยุโรป,ออสเตรียไม่สามารถปกป้องตังเองได้และพ่ายแพ้เช่นเดียวกับ ปรัสเซีย,รัสเซียและประเทศอื่นๆ
 
จักรวรรดิได้สูญเสียรัฐต่างๆไปจำนวนมากให้แก่ฝรั่งเศส ในการนี้,จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสได้เอารัฐที่ยึดมาได้จัดตั้งขึ้นเป็นสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ ส่งผลให้จักรพรรดิฟรานซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ตัดสินใจยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1806 และสถาปนาจักรวรรดิออสเตรียขึ้นมาแทน
 
หลังจากนโปเลียนปราชัยต่อรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศษในวันที่ 18 มิถุนายน 1815.สนธิสัญญาเวียนนารับรองการหมดสิ้นไปของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์โดยเหลือเพียงออสเตรียเท่านั้น
 
บิสมาร์กได้รวมปรัสเซียเข้ากับเยอรมนีและตั้งเป็นจักรวรรดิเยอรมนีพร้อมทั้งเสริมสร้างกำลังทางทหารและทำให้เยอรมนีมีเศรษฐกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดด กระตุ้นให้ประเทศอื่นๆในยุโรปเริ่มทำตามเพื่อเข้าสู่ความก้าวหน้าสมัยใหม่
 
แต่กล่าวอีกนัยหนึ่งความเจริญของเยอรมนีได้กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับความพยายามของฮิตเลอร์ที่จะทำในสิ่งที่เขาต้องการเพื่อพิชิตยุโรปให้สำเร็จ
 
การปฏิวัติซึ่งเริ่มต้นจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาต้องพิชิตคาบสมุทรบอลข่านและส่วนหนึ่งของยุโรปกลางซึ่งยังไม่ได้รับอารยธรรมเต็มที่
 
คาบสมุทรบอลข่านเป็นดินแดนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป และการปฏิวัติต้องทำให้ประเทศเหล่านี้เป็นประเทศอุตสาหกรรมเพียงเพื่อเปลี่ยนจิตใจของผู้คนและครอบงำพวกเขา
 
ในสถานการณ์เช่นนี้ ภารกิจของออสเตรียคืออะไร?
 
เวียนนา(เมืองหลวงของออสเตรีย)ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นศูนย์กลางการธนาคารขนาดใหญ่ที่ขยายเครือข่ายไปทุกที่
 
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ดูดกลืนเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรมในชนบทที่ใช้แรงงานแบบดั้งเดิมไปสู่ระบอบการธนาคารและการเงินสมัยใหม่
 
ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าความก้าวหน้าสมัยใหม่ได้แพร่กระจายไปยังภูมิภาคนั้น เปิดประตูสู่การปฏิวัติทางสังคมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
 
เวียนนาแบบดั้งเดิมที่เคยเป็นศูนย์กลางของการขยายตัวของความเชื่อคาทอลิกและเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผลพวงมาจากพระราชอำนาจของจักรพรรดิชาร์ลมาญ
 
ณ จุดนี้มันได้กลายเป็นเวียนนาแห่งการเงินของความก้าวหน้าสมัยใหม่ เวียนนาแห่งการปฏิวัติซึ่งยังคงมีเงาของความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่เพียงเท่าที่มันทำหน้าที่เป็นทาสแห่งการปฏิวัติเท่านั้น
 
อาจมีบางคนถามว่าพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?ทำไมปล่อยให้เกิดความเย็นเฉยและการทำลายล้างอารยธรรมคริสตชนเช่นนี้ดำเนินอยู่
 
ไม่มีการแทรกแซงจากพระเจ้าเพื่อให้ออสเตรียกลับมาสู่เส้นทางเดิมเลยหรือ?
 
คำตอบคือ  มี,และนี่คือจดหมายที่มีชื่อเสียงของนักบุญยอห์น บอสโก ถึงจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟแห่งออสเตรีย
 
“จดหมายจากคุณพ่อบอสโกถึงจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ 
วันที่14 พฤษภาคม 1873
 
นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสกับจักรพรรดิแห่งออสเตรีย: จงมีใจมานะเถิด! จงจัดหาผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์สำหรับเราและสำหรับท่านเองด้วย! ความพิโรธของเราพลุ่งขึ้นเหนือบรรดาประชาชาติทั่วโลก เพราะเจ้าต้องการให้ประชาชนลืมพระบัญญัติของเรา เพื่อนำผู้ที่ลบหลู่พระบัญญัติมาสู่ชัยชนะ และกดขี่ข่มเหงผู้ที่ปฏิบัติตาม 
ท่านจะเป็นไม้เท้าแห่งอำนาจของเราหรือไม่? ท่านจะยอมรับเป็นผู้ทำให้พระประสงค์อันลี้ลับของเราสำเร็จไปและกลายเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อโลกหรือไม่? 
จงพึ่งพาอำนาจจากทางเหนือ แต่ไม่ใช่กับปรัสเซีย สร้างสัมพันธ์กับรัสเซีย แต่ไม่เป็นพันธมิตรกับเขา คบหากับฝรั่งเศส ต่อจากฝรั่งเศส ท่านจะได้สเปน จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและกระทำอย่างเดียวกัน ท่านต้องเก็บงำความลับสูงสุดกับศัตรูแห่งพระนามศักดิ์สิทธิ์ของเรา ด้วยความรอบคอบและด้วยพละกำลัง แล้วท่านจะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครเอาชนะได้ อย่าเชื่อคำโกหกของผู้ที่จะบอกท่านเป็นอย่างอื่น จงเกลียดชังศัตรูของพระผู้ทรงถูกตรึงกางเขน 
จงมีความหวังและวางใจในเรา เราคือผู้ประทานชัยชนะให้แก่กองทัพ,พระผู้ช่วยให้รอดของประชาชนและเป็นพระมหากษัตริย์ อาแมน อาแมน”
 
-------------- 
แล้วท่าทีของ จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟเป็นอย่างไรเมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนี้
 
จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟเป็นตัวแทนของประเทศของพระองค์ในระดับสูงสุด พระองค์เป็นผู้ปกครองที่เป็นศูนย์รวมของประเทศของพระองค์
 
พระองค์มีความสง่างามของจักรพรรดิ ความอ่อนโยนของผู้ดูแลประชาชน ความแน่วแน่ของทหาร และความเมตตาอันล้นเหลือของนักการทูต แต่พระองค์เป็นคนฉลาดหรือไม่? 
มีสองวิธีในการเป็นคนฉลาด
 
วิธีหนึ่งคือการรู้จักใช้เหตุผล เป็นผู้บรรยาย เขียนหนังสือ เป็นต้น แต่อีกวิธีหนึ่งคือการเข้าใจบทบาทและภารกิจของตนและดำเนินการให้ถึงขีดจำกัด
 
สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงการอ่านหนังสือหรือการบรรยาย แต่เป็นรูปแบบที่สูงกว่า มันเป็นความฉลาดของการรู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรในเวลาที่เหมาะสม
 
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ,พระองค์มีอายุมากขึ้น แต่พระองค์ยังคงรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่ง,รักษาความอ่อนเยาว์ในวัยชราของพระองค์
 
พระองค์มีพระชันษา 40 เมื่อได้รับจดหมายที่มีชื่อเสียงจากนักบุญยอห์น บอสโก ซึ่งมีคำแนะนำหลายประการ แต่กล่าวโดยสรุปก็คือ ให้พยายามเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและสเปน ให้ระวังปรัสเซีย รักษาความสัมพันธ์กับรัสเซีย แต่อย่าใกล้ชิดเกินไป อย่าเริ่มทำสงครามหรือมีส่วนร่วมในสงคราม เป็นผู้นำในการเป็นคาทอลิกทั่วยุโรป เริ่มต้นในออสเตรียเอง ลงโทษคนชั่วและสนับสนุนผู้ที่ติดตามพระศาสนจักรคาทอลิก
 
เราสามารถสรุปคำแนะนำทั้งหมดนี้ได้ด้วยคำพูดเดียวคือ เพื่อต่อต้านการปฏิวัติที่กำลังเกิดขึ้น
 
โดยอาศัยคุณพ่อบอสโก, พระเจ้าทรงสัญญากับจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟว่าพระองค์จะทรงยืนเคียงข้างพระองค์ และนำอำนาจแห่งราชวงศ์ออสเตรียไปสู่ความรุ่งโรจน์สูงสุด เพื่อที่ว่าก่อนที่ราชวงศ์ออสเตรียจะล่มสลาย ก่อนที่ดอกไม้จะร่วงโรยและผลจะร่วงหล่นจากลำต้น,พระเจ้าจะทรงสำแดงพระเมตตาของพระองค์อีกครั้ง โดยตรัสว่า
 
เราคือผู้ทรงอำนาจ 
เราไม่ได้ต้องการดึงท่านออกจากโลกนี้หรือพิพากษาท่านก่อนที่จะให้โอกาสแก่ท่าน 
มาเถิด,มารักเรา และทำหน้าที่ตามธรรมชาติของท่านก็พอ 
เราจะลืมทุกอย่างที่ผ่านมา เราจะชนะในยุโรปด้วยกำลังแขนของท่าน เราจะใช้แขนของท่าน ดาบของท่าน ศักดิ์ศรีของท่าน ชื่อสกุลและเลือดของท่านเพื่อนำมาใช้ในเหตุการณ์นี้ 
มาเถิด ลูกชายของเราและจงก้าวหน้า
 
แต่....จักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟไม่ได้ทำอะไรเลย
 
พระองค์ไม่ตอบสนอง,ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในจดหมายของคุณพ่อบอสโก สิ่งนี้ทำให้ผลร้ายบังเกิดขึ้นกับออสเตรียเป็นลำดับ
 
จักรพรรดินีเอลิซาเบทได้แยกทางกับพระองค์และใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป แต่ต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกฆาตกรรมโดยฆาตกรชาวอิตาลีในสวิสเซอร์แลนด์
 
รูดอล์ฟ(Rudolph) ผู้เป็นโอรสองค์เดียวและเป็นรัชทายาทของพระองค์ฆ่าตัวตายในวัย 23 ชันษา
 
ฟรานซิส เฟอร์ดินานด์(France Ferdinand) ผู้เป็นหลานชายของพระองค์และตำรงตำแหน่งผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์ที่ซาราเจโว และเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1
 
จักรพรรดิชาร์ลผู้เป็นกษัตริย์ออสเตรียต่อมาก็สิ้นพระชนม์ขณะที่ถูกเนรเทศไปที่เกาะ island of madeira ด้วยโรคเนื้องอก โดยไม่มีใครอยู่ช่วยพระองค์เลย
 
เหล่านี้คือโศกนาตกรรมที่เกิดขึ้นกับราชวงศ์ออสเตรีย
 
เรื่องราวอันน่าสลดใจนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่าอุบัติการร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นกับราชวงค์ของออสเตรียและมันมีนัยบ่งบอกว่าพระเจ้าไม่ทรงรักราชวงศ์เก่าของออสเตรียอีกต่อไปและทรงมอบราชวงศ์นี้ให้ปีศาจทำตามที่มันพอใจ
 
มีความจริงบางอย่างในการพิพากษาลงโทษจากสวรรค์นี้ เพราะเรื่องนี้,พิสูจน์ให้เห็นว่าพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าคือความรัก แต่กลับได้รับการตอบสนองเป็นการปฏิเสธและมันส่งผลอย่างไร
 
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่โหดร้ายยิ่งกว่านั้น มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับจดหมายฉบับนี้ แม้แต่ในออสเตรียในปัจจุบัน ต้นฉบับจดหมายอยู่ในหอจดหมายเหตุส่วนกลางของคณะซาเลเซียน แต่ไม่มีบันทึกของจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่กล่าวถึงจดหมายฉบับนี้ส่งให้แก่บรรดาญาติพระวงศ์หรือบรรดาผู้รับใช้ทางการเมืองของพระองค์เลย
 
มันเป็นเรื่องแปลกเพราะชื่อเสียงของนักบุญยอห์น บอสโกในด้านความศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่รู้จักไปทั่วยุโรปในเวลานั้น แม้กระทั่งนักปฏิวัติอย่างเช่น คาวัวร์เองที่เคยแสร้งทำเป็นชื่นชมดอน บอสโก
 
แต่ดูเหมือนว่าจักรพรรดิแห่งออสเตรียจะไม่สนใจจดหมายของนักบุญและทำให้ความรุ่งโรจน์ของออสเตรียต้องดับลง
 
การวิเคราะห์และข้อคิดเห็นนี้มอบให้เราโดยศาสตราจารย์ Plinio Corrêa de Oliveira นักคิดคาทอลิกที่มีชื่อเสียง ท่านกล่าวคำเหล่านี้เมื่อทราบว่านักบุญยอห์น บอสโกพยายามแทรกแซงบรรยากาศทางการเมืองของโลกที่กำลังทำลายยุโรปด้วยการทำลายร่องรอยของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นคาทอลิก หากจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟทำตามคำแนะนำของนักบุญผู้ยิ่งใหญ่นี้ ประวัติศาสตร์โลกจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
 
(อาจไม่มีสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือ ที่ 2 พระศาสนจักรอาจจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น อาจไม่เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ฯลฯ)
 
จึงเป็นการเพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าการตอบสนองของบุคคลหนึ่งต่อพระประสงค์ของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ไปในทางที่ดีได้อย่างสิ้นเชิง และเราก็สามารถพูดได้ว่าการขาดการตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระเจ้าก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ไปในทิศทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น